ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
เรื่อง ทำให้ถูกธรรม
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2520
2
เรื่องอย่างนี้ จึงใคร่จจะขอฝากพวกญาติโยมไว้ ได้ยินได้ฟังอะไร เหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น เราต้องวินิจฉัยด้วยความเป็นธรรม เอากฎหสาย เป็นหลักวินิจฉัยบ้าง เอาศีลธรรมเป็นหลักวินิจฉัยบ้าง แล้วเราก็จะเห็นว่าความจริงมันคืออะไร เนื้อแท้มันคืออะไร ไม่อย่างนั้นแล้ว เกิดความเสียหายขึ้น ด้วยประการต่างๆ ทำให้เกิดปัญหารวนเรต่อไป นี้ประการหนึ่ง เป็นข้อคิดที่อยากจะนำมาฝากกับญาติโยมทั้งหลายไว้ ว่าสังคมในยุคปัจจุบันนี้ มันมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในสังคมของเราตลอดเวลา แล้วเราจะได้ยินคนพวกหนึ่ง พูดว่าอย่างนี้ อีกพวกหนึ่งพูดว่าอย่างนั้น เราจะเอาอย่างไร เหมือนกับชาวกาลามชนนั่นแหละ ที่ได้ฟังครูอาจารย์ทั้งหลายมาเทศน์ ครูคนนั้นเทศน์ว่าอย่างนั้น ครูคนนั้นเทศน์ว่าอย่างนี้ แล้วก็เทศน์เข้าข้างตัวทั้งนั้นแหละ คือบอกว่า ของตัวถูก ให้มาเป็นพวกตัวทั้งนั้น พวกนั้นก็ลังเลใจไม่รู้จะรับของใครดี ก็พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จมา พวกนั้นก็แห่กันเข้าไปถามทีเดียว
พระองค์ก็บอกว่า ชอบแล้วที่ท่านลังเลใจอย่างนั้น ชอบแล้วที่ท่านไม่เชื่อ ในรูปความคิดอย่างนั้น อันนี้เรียกว่าเป็นเรื่องแปลก ไม่มีอยู่ในประเทศอินเดียในสมัยนั้น มีอยู่ในน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสออกมา ในรูปอย่างนั้น แล้วก็บอกว่าอย่าไปเชื่อง่ายๆ อย่าเชื่องมงาย ให้เชื่อด้วยการคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ เช่นไม่ให้เชื่อข่าวลือ ไม่เชื่อเขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ให้เชื่อว่ามีอยู่ตำรา ไม่ให้เชื่อว่าคนนี้พูดเก่ง คนนี้ต้องเชื่อ ไม่ให้เชื่อว่า คนนี้เป็นครู อาจารย์ ของเรา พูดอะไรเราก็เชื่อไปหมด มันก็ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น สิ่งที่เราตัดสินใจ ยอมรับอะไรในเรื่องนั้น เราจะต้องเอาไปกรองหลายชั้น กรองให้เหลือแต่เนื้อแท้ๆ เหมือนกับกรองน้ำกะทิ ถ้ากระชอนมันห่าง มันมีกากติดเข้าไป เพราะฉะนั้นต้องกรองให้ละเอียด ต้องกรองด้วยผ้าจึงจะได้น้ำกะทิล้วนๆ ไม่มีกากมะพร้าวเข้าไป แต่ถ้ากรองไม่ดีแล้ว กากก็ติดเข้าไปเยอะทีเดียว
เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่กรองให้รอบคอบ ก็ไม่ได้ ที่เขาพูดกันว่า ข่าวกรองนะ สมัยนี้เขาพูดกันว่าข่าวกรอง บางทีข่าวนั้นยังไม่ได้กรองหรอก เอามาทั้งดุ้นนั้นแหละ ยังไม่ได้คั้นเลย แล้วก็ยังไม่ได้กรองเลย แล้วก็เอามาพูด เอามาเขียนกัน ลงไปในหน้ากระดาษต่างๆ บางทีก็เรียกว่าเป็นเรื่องแปลกๆ เขาเขียนไปอย่างนั้นแหละ
จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เรื่องวันวานนี้แหละ ที่เขาประหารท่านผู้หนึ่งไป บอกว่า ก่อนประหารนี่ ขอให้นิมนต์ให้ท่านเจ้าคุณปัญญา มาเทศน์ให้ฟังหน่อย มานิมนต์แล้วท่านไม่ไป มันไม่มีแม้สักนิดเดียว แล้วคนที่ถูกประหารชีวิต เขาจะมีความคิดอะไรอย่างนั้น ไม่ได้เตรียมตัวนี่ ปุปปับเขาก็มาหิ้วรักแร้ท่านไปเอง ในเรือนจำเขาอย่างนั้น ไม่ได้บอกล่วงหน้า เออเย็นนี้นะเตรียมตัวไว้ ฉันจะเอาไปฆ่าแล้ว เรือนจำเขาไม่ได้ทำอย่างนั้นละโยม เขาไปถึงหิ้วมาเลย คนไหนจะถูกประหารวันนี้ เขาก็ไปหิ้วมาเท่านั้นละ ไม่ได้ไปบอกเขาไว้ก่อน ไม่ได้คนมันเยอะแยะ เดี๋ยวมันจะเกิดเรื่องกัน ไปถึงหิ้วปีกมาเท่านั้นเอง พอมาสู่สำนัก พิมพ์นิ้วลายมืออะไรต่ออะไรเรียบร้อย เสร็จแล้วอ่านคำประกาศของศาลให้ฟัง แล้วนิมนต์พระไปเทศน์ ไปเหอะ องค์ไหนๆ ก็เทศน์ไปเหอะกูฟังทั้งนั้นแหละ เพราะว่าจะตายแล้ว เขาไม่ได้เลือกนี่ ฟังได้ทั้งนั้นแหละ แล้วพระที่ไปเทศน์ ไม่ต้องเทศน์ให้ยืดยาวอะไร เจ้าหน้าที่บอกเทศน์น้อยๆ เรียกว่าพอเทศน์กันเป็นพิธี ไม่ใช่เทศน์กันนานๆ
อาตมาก็เคยไปเทศน์ ที่ได้ไปเทศน์นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก คืออยากจะดูการประหารนักโทษ อยากจะสัมนา อยากจะคุยกับเขาสักหน่อย ก่อนที่เขาจะถูกประหารนี่ ว่าเขามีความคิดอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร ก็เลยสั่งเจ้าหน้าที่ไว้ บอกว่าวันไหน จะมีการประหารนักโทษละบอกด้วยนะ เขาก็มาบอก มาบอกว่าอย่าไปดูเฉยๆ ไปเทศน์ให้เขาฟังสักหน่อย ก็เลยไปเทศน์ให้เขาฟัง นักโทษที่จะไปแดนประหารนี่ บางคนเขาพูดว่าน้ำใจอดทน เข้มแข็งดี มันเหมือนๆ กันทุกคนละที่อาตมาไปดูแล้วนะ คือว่ามันเดินไปปกติอย่างนั้น อาจจะมีบางคน มืออ่อน ตีนอ่อน มันไม่อยากเดิน นี่ มันไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ต้องเอารถใส่มันไป มันคงเกิดอารมณ์ว่า ไหนๆ กูจะตายแล้ว ขอใช้พวกนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วมันก็ไม่เดินเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละ
อันนี้เจ้าหน้าที่ก็เอารถมา มาวางไว้บนแล้วเข็นไป มันก็กระหยิ่มใจว่าถึงกูจะตายกูก็ยังใช้พวกนี้ได้ อยู่มันอย่างนั้น อารมณ์มันไม่ใช่เรื่องอะไร แต่ว่าที่อาตมาไปพูดให้ฟังนี่เขาก็เดินไปยิ้มย่องผ่องใส โบกไม้โบกมือกับเพื่อนฝูงที่อยู่ชั้นบน นักโทษที่อยู่ชั้นบนมันมี มองเห็น เขาก็โบกมือ ลาก่อนพรรคพวก ชาติหน้าค่อยพบกันใหม่แล้วก็บอกว่าฉันจะมาคุยมาพบกันอีก แล้วมันก็เดินไป
อาตมาก็สัมภาษณ์ว่า เรานี่รู้สึกอย่างไรในการที่จะถูกประหารวันนี้ เขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้สึกอะไรละ เขาบอกว่าเขารู้นานแล้วว่า จะต้องถูกฆ่าสักวันหนื่ง แล้วเรารู้ไหมว่าเราถูกฆ่านี้เพราะอะไร รู้ฮะ รู้อย่างไร ก็ผมฆ่าเขาก่อนเขาก็ต้องฆ่าผมมั่งแหละ มันก็พูดดีและเมื่อผมฆ่าเขา เขาก็ต้องฆ่าผมบ้างละ เลยก็ถามต่อไปว่า ทำไมจึงได้ฆ่ากัน โกรธอะไรกันนักหนา อยู่รวมแผ่นดินกันไม่ได้ บอกว่ามันก็ไม่ได้โกรธกันมาก่อน แต่ว่ามันโกรธขึ้นมาไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลยฆ่ามันตายไป ฆ่าที่ไหน ถามต่อไป เขาบอกว่าฆ่าในเรือนจำที่จังหวัดลำพูน ผมไปติดคุก ไอ้เจ้านั่นก็ไปติดคุกแล้วก็นอนใกล้กัน ถกเถียงกันอารมณ์มันหุนหันเลยบีบคอตายเลย
นี่มันเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้มีแผนว่าจะฆ่าไอ้นี่อะไรหรอก แต่มันโมโหขึ้นมา แล้วก็ฆ่าตาย แล้วเรามาติดคุกเรื่องอะไร ถามต่อไป ผมก็ติดคุกเรื่องพยายามจะฆ่าคน นี่เรื่องอะไรถามต่อไป ผมก็ติดคุกเรื่องพยายามจะฆ่าคน นี่เรื่องจะฆ่าคนอีกแล้ว ถามว่าเราพยายามอย่างไร ผมไปซุ่มอยู่จะยิงมันให้ตาย แล้วได้ยิงมันหรือเปล่า ยิงมันเหมือนกัน แต่มันไม่ถูก ไม่ถูกแล้วคนไม่ตาย คนหนึ่งมันได้ยินเสียงปืน แล้วเขาก็มาล้อมจับได้ทั้งปืน เลยก็ตัดสินเข้าคุกไป
เอ้า...มาอยู่ในคุกกลัวว่าจะไม่ตาย เลยไปฆ่าเขาให้มันตายเสีย เลยก็ได้ประหารสมใจ แล้วเวลาไปประหารมันกสั่งเจ้าหน้าที่บอกว่าผ้าขนหนูผืนน้อยนี่ อย่าเอาออกจากคอนะครับ อาตมาก็ถามว่าผ้าผืนนี้มีอะไรเป็นพิเศษ แฟนให้ถึงได้รักใคร่นักหนา ไม่ใช่แฟนอะไรหรอก วันจะขึ้นรถไฟคุณแม่มาแล้วคุณแม่ผูกคอให้ เป็นผ้าที่คุณแม่ผูกคอให้ เป็นผ้าที่คุณแม่ผูกคอให้เป็นที่ระลึก ไหนๆ จะตายแล้วก็ขอให้อยู่กับเนื้อกับตัวว่าช่วยเอาผ้าผืนนี้ช่วยผูกตาหน่อย เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้เขามีผ้าแล้ว ถ้ายังงั้นก็อย่าเอาออกจากคอก็แล้วกันผูกไว้อย่างนี้แหละ แล้วก็คุยกันเรื่องอื่นกันต่อไป
พอไปถึงที่ใกล้ประหาร เขาก็ให้นั่งเอาดอกไม้ให้ชุดหนึ่ง ไอ้ตรงนั้นมันอยู่ใกล้วัดเห็นโบสถ์ เขาก็ให้หันหน้าไปทางโบสุ์วัดบางแพรก ให้ไหว้พระสวดมนต์ อาตมาก็เข้าไปใกล้เขาบอกว่า อย่าลืมนะภาวนาให้ดี พุทโธ พุทโธ ให้แข็งไว้ อย่าไปโกรธใครเชียวนะ ทำใจให้ดีๆ เราหลับตาตายด้วยใจบริสุทธิ์ จะได้ไปเกิดใหม่ ต้องบอกมันหน่อย ให้มันไปเกิดใหม่ที่ดีๆ มันอยากเกิดดีให้ทำดีตรงนั้นแหละเป็นนาทีสุดท้าย มันก็ภาวนา พุทโธ พุทโธ ย่างทุกก้าวพุทโธ พุทโธ จนกระทั่งไปถึงหลักนั่นแหละ
เมื่อไปถึงหลัก อาตมาก็ยังเข้าไปพูดกับมันอยู่ เขายังไม่ยิง พูดกันจนกระทั่งว่าเจ้าหน้าที่เขาเตรียมปืน เตรียมอะไรเสร็จ ติดป้ายเสร็จ ก็ออกมานั่งอยู่ข้างๆ มันก็พุทโธ พุทโธ อยู่นั่นแหละ ไม่ได้หยุดปากหรอก จนกระทั่งเขายิงเปรี้ยง เปรี้ยง เข้าให้ ก็เลยตายไป อย่างนั้นแหละ ก็มันใจก็ดีแหละ มันไม่ได้เป็นทหารก็ใจดีเหมือนกัน เขาว่ามันก็อย่างนั้น
ไอ้คนที่มันฆ่าคนใจมันก็อย่างนั้น ไม่ค่อยหวาดกลัวความตายพวกนี้ มันใจเฉยๆ เพราะมันรู้ว่าศาลตัดสินแล้ว ศาลชั้นต้นตัดสิน อุทธรณ์ตัดสิน ฏีกาตัดสิน เขายังให้ทูลเกล้าได้อีกนะว่าประวิงเวลา แล้วก็รอคำทูลเกล้าโดยมากไม่ค่อยได้ผลหรอก มาได้ผลเอาตอนนี้ ตอนในหลวงเสวยท่านมีพระชนมายุครบ 48 นักโทษคนใดศาลตัดสินก่อนเหตุการณ์นั้นคิดว่าบุญแท้ รอดไปหลายคนในตอนนั้น ได้รับทูลเกล้าถวายฏีกาให้ขังไปตลอดชีวิตมันได้มีชีวิตมาจนบัดนี้ พวกนั้นไม่ต้องถูกฆ่า แต่เหลือจากนั้นก็ไม่มี เขาฆ่ากันทั้งนั้น
อาตมาไปเทศน์มาหลายศพแล้ว แล้วก็เดินทุกศพเจ้าหน้าที่ก็ยังพูดชมอยู่ว่า เจ้าคุณเทศน์ดีไม่ต้องเอารถเข็นมาเดินไปได้ ว่าเราไปให้กำลังใจมันไม่ใช่เรื่องอะไร ให้กำลังใจมันให้มันรู้สึกเนื้อ รู้สึกตัว ให้มันคิดในทางที่ถูกไหนๆ มันจะตายแล้ว ก็พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยใช้เวลา 10 นาที ไอ้เจ้าหน้าที่มันก็คอยขยิกอยู่ มันกลัวจะช้ามันกลัวจะไม่ได้ฆ่าทันใจ เลยก็พูดน้อยๆ เสร็จแล้วก็เอาไปฆ่ากันตามเรื่อง นี่มันเป็นอย่างนั้น คนที่ใกล้จะตายมันเป็นอย่างนั้น อาตมาก็เคยไปอย่างนี้ บอกว่า ให้นิมนต์ไปแล้วไม่ได้ไปนี่มันไม่ถูก หนังสือพิมพ์มันลงอย่างนั้น บางทีมันมาถ่ายรูปถึงวัดมันก็ยังว่าไม่ถูก มันบอกว่าเจ้าคุณปัญญานันทะ นำศพขึ้นสู่เมรุ ความจริงไม่ใช่ ความจริงเจ้าคุณวัดบวรนั้นเป็นคนนำ อาตมานั่งเฉย แล้วมันเอารูปไปลงมันไม่ใช่รูปเจ้าคุณปัญญา แต่ว่ามันอ้วนคล้ายกันเท่านั้น เลยก็คนบ้านนอกที่ไม่เคยเป็นเจ้าคุณปัญญา ก็นึกว่าเจ้าคุณปัญญาได้เกียจตินำศพคราวนี้ มันไม่ใช่เรื่องอย่างนั้นก็ใส่ส่งเดชทั้งนั้น แล้วก็ยังว่าอีกว่า มีจ๊อกกี้บวชหน้าศพแล้วก็อาตมาบวชสามเณรอยู่พอดี มันมาถ่ายรูปปรับเข้าแล้วเอาไปลงหนังสือพิมพ์ว่า สามเณรบวชหน้าศพอุทิศให้ ความจริงศพอื่นไม่ใช่ศพนั้น มันคนละศพ แล้วเวลามันถ่ายรูปก็บอกด้วยนะว่ามันคนละศพนะ ไม่ใช่ศพนั้นคนละศพ พอมันไปถ่ายแล้วมันก็ไปลง บวชในศพนั้น ตามเรื่องของเขาอย่างนั้น
การที่ทำอย่างนี้นี่ เป็นการลดเกียรติตัวเอง หนังสือพิมพ์นั่นแหละลดเกียรติของตัวเอง คือเขียนข่าวไม่ตรงตามความจริง ไม่ตรงตามเรื่องที่ถูกต้อง เช่นคำสัมภาษณ์อะไรนี้ บางทีเราพูดไปสิบคำนี่ เอาไปลงเพียงสองสามคำ ลงที่เขาชอบเป็นประโยชน์แก่เขา ไอ้เรื่องถูกไม่ค่อยลง นักหนังสือพิมพ์เรานี่มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็ดูเหตุการณ์ที่เข้ามาทำบางทีจุ้นจ้านไป พูดกันไม่ค่อยจะรู้ภาษา อันนี้พูดไว้ให้เขาเข้าใจ ว่านักหนังสือพิมพ์อย่าไปโกรธ วินิจฉัยให้ถูกต้องว่า กูนี่ผิดหรือถูกที่เจ้าคุณปัญญาว่าเอา ถ้าว่าผิดก็ไปแก้เสีย ถ้าว่าถูกเขาก็ไม่ว่า ไปว่าทำไมถ้าถูกแล้ว สิ่งใดที่ไม่ถูกเขาจึงว่าสิ่งนี้เป็นตัวอย่างในเหตุการณ์ทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้น
คนโบราณจึงพูดว่า ฟังศึกให้ไปฟังข้างเหนือ ฟังเสือให้ไปฟังข้างใต้ นี่มันเป็นภาษิตคนทางใต้ เหนือของทางใต้ไม่ใช่ทิศเหนือ มันทิศตะวันตก คือทิศตะวันตกมันเป็นภูเขา ภูเขานั้นระหว่างพัทลุงกับตรัง เขาเรียกว่าเหนืออันนี้ถ้าพูดว่าเรื่องศึกต้องไปฟังข้างเหนือ เรื่องมันเยอะแต่ถ้าฟังเรื่องเสือต้องไปฟังชายทะเล ซึ่งไม่มีเสือแต่คนแถวนั้นพูดเรื่องนั้น เรื่องมันไม่มีแต่มาคุยกันเรื่องเสือ ถ้าไกลๆ ก็ไปคุยกันเรื่องศึก เหตุการณ์ตามชายแดนอะไรก็เหมือนกันเราฟังกรุงเทพมันใหญ่โต แต่ถ้าไปถึงที่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่อย่างนั้น ชาวบ้านก็เป็นปกติไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรหรอก ก็มีเหตุการณ์บ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้ามาฟังที่ไกลแล้วเรื่องมันใหญ่
นี่เหละคนโบราณเขาจึงว่า กาเช็ดปากกลายเป็นกาเจ็ดปากมาเลย ครั้งแรกเขาบอกว่ากาเช็ดปากคือมันกินอะไรแล้วก็เช็ดไปเช็ดมาเขาเรียกว่ากาเช็ดปาก พูดไปๆ เป็นกาเจ็ดปากมาแล้ว มันขยาย มนุษย์เรานี่มันชอบขยาย รู้เล็กๆ น้อยๆ ขยายให้มันกว้างออกไป อันนี่ที่ขยายออกไปอย่างนี้มันเรื่องอะไร มนุษย์เรานี้อย่างหนึ่งที่จะเป็นเครื่องมือคนอื่นโดยไม่รู้ตัวคือชอบพูดข่าวลือนั่นเอง
ข่าวลือนี้ชอบพูดกันจริงๆ พอได้อะไรหน่อยก็อมไปพูดกันที่นั่นที่นี่ นี่เรารู้ไหมว่าเรากลายเป็นเครื่องมือเขาโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายตรงกันข้ามเขาออกอุบายง่ายๆ เขาทำข่าวลือแล้วเวลาทำข่าวลือเขาคุยซุบซิบกัน ไอ้คุยซุบซิบนี่คนสนใจ ถ้าเราไปนั่งซุบซิบกันในร้านกาแฟนี่คนเอียงหูฟังกัน มันซุบซิบกันเรื่องอะไรกัน อันนี้เขาซุบซิบเรื่องที่จะให้คนลือนี่แหละ พอคนนั่นได้ฟังเข้าก็ออกไปเขาว่าอย่างนั้นเขาว่าอย่างนี้ เขาว่าจะปฏิวติกันอีกว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ เป็นเครืองมือเขาโดยไม่รู้ตัว
จึงอยากจะขอฝากเอาไว้สักหน่อยว่า อย่าพูดข่าวเล่าลือ ข่าวอะไรที่เป็นข่าวเล่าลือนี้หยุดพูดเสียเลย ให้ถือหลักสัจจวาจา สัมมาวาจา สัมมาวาจานี่เขาเรียว่าพูดคำอ่อนหวานสมานสามัคคีมีประโยชน์ ไม่ให้พูดคำหยาบ คำเหลวไหล คำเพ้อเจ้า คำเพ้อเจ้อมันอยู่ในข่าวลือ เช่นเราได้ฟังอะไรมาก็เอาไปเล่า เที่ยวบอกว่านี่รู้ไหมเขาว่าอย่างนั้นๆ อย่างนั้นละแล้วคนนั้นก็ไปบอกเพื่อนอีก รู้ไหมเขาว่าอย่างนั้นๆ วันหนึ่งข่าวออกไปไกลนะที่เขาว่าออกจากหูเข้ารูล่าละไปตั้งไกลไปตั้งวันละร้อยโยชน์ ข่าวไปเร็วเหลือเกิน ไปบนรถไฟก็ไปกับรถไป สถานีไหนลงข่าวมันก็ลงด้วยละ โอนกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียว ลือไปทั่วประเทศแล้ว กว่ารัฐบาลจะประกาศทางวิทยุกระจายเสียง ลือกันทั่วประเทศแล้ว เสียกำลังใจไปแล้ว เสียขวัญไปแล้ว
อันนี้เป็นเรื่องร้าย เป็นเรื่องทำลายสมรรถภาพทางใจของคนโดยไม่รู้สึกตัว จึงขอให้เราได้ยกเว้น มี ลูกมีหลาน ก็ขออย่าให้มาคุยข่าวลือให้ฟัง ถ้าพอจะเอ่ยพูดก็บอกว่า อย่าพูดเลยลูกเอ๋ย นี่มันข่าวลือไม่จริงหรอก พูดแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้นอย่าไปพูดต่อไป ให้มันเหยียบไว้ตรงนั้นละ อย่าพูดต่อไป แต่ไม่ค่อยได้ คนที่เขาสร้างข่าวลือนี่ เขานั่นเองทำอย่างนั้น อย่าไปบอกใคร เป็นความลับ ไอ้นี้ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ต้องการให้บอกนั่นเอง ถ้าต้องการให้บอกนี่ ถ้าบอกนี่ไม่ได้ แต่มนุษย์เรานี้มันชอบดื้อเสียด้วย เขาเขียนป้ายบอกไว้ว่า ห้ามเดินตัดสนามคนก็ชอบเดินแหละ แต่ว่าถ้าเขียนว่า ให้เดินทางนี้ดันเดินทางโน้น เขาเรียกว่าความดื้อของมนุษย์มันเป็นอย่างนั้น ไอ้สิ่งใดที่เขาให้ทำกลับไม่เอา แต่ถ้าเขาไม่ให้ทำแล้วกลับชอบเป็นอย่างนั้น เขาเรียกว่าพวกดื้อพวกนี้สร้างข่าวประเภทต่างๆ ให้เกิดความวุ่นวายให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมเราเป็นประการต่างๆ พุทธบริษัทเราจึงควรจะช่วยกัน
ถ้ามีข่าวอะไรอย่างนั้นขึ้น เราควรจะหยุดข่าวเหล่านั้นเสีย นอกจากจะหยุดแล้วเราควรจะอธิบายเหตุผลให้เข้าใจว่า มันไม่มีความจริงหรอก เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่สร้างให้เกิดความตื่นเต้น ให้เกิดความตระหนักตกใจอะไรกันต่างๆ ตัวอย่างเช่นข่าวลือเรื่องสินค้าแพง เรามักจะตื่นเต้นกัน แล้วจะไปซื้อกัน เราไม่รู้ว่าการไปซื้อกันมากๆ นั้นแหละทำให้สินค้าแพง เพราะคนขายนี่เขาต้องดูความต้องการของคนซื้อ ถ้าเห็นว่าคนซื้อมาก เขาก็ต้องขึ้นราคา เพราะรู้ว่าคนกำลังต้องการ นี่เราอย่าแสดงอาการตกใจรีบไปซื้อ คืออย่ากลัวว่าจะไม่ได้ซื้อของนั้น อย่ากลัวว่ามันจะหมดเสียก่อน ไม่หมดหรอก พ่อค้าเขาไม่ให้หมดหรอก ไอ้อะไรที่คนใช้ เขาจะสต็อกไว้เรื่อยๆ เราก็ค่อยๆไปซื้อ อย่าไปกันทีเดียวเต็มร้านเลย เลยเห็นคนเข้ามาสองสามคน ราคาห้าบาทพอยี่สิบคนหกบาท ขึ้นไปแล้วประเดี๋ยวเดียวก็ขึ้น พักเดียวเพราะเห็นคนแย่งกันซื้อ อย่างนั้นไม่ได้ ใจเย็นๆ เราเป็นพุทธบริษัทต้องใจเย็นๆ หน่อย อย่ารีบร้อนในการใช้จ่ายจะซื้อ
แล้วอย่าไปแสดงความสนใจมากเกินไปในของนั้น คนขายเขาดูรู้นะ ว่าสนใจในของนั้นเลยบอกผ่านให้แพงหน่อย ถ้าเป็นของผ่าน อันนี้บางทีไปแล้ว วกกลับอีก รู้ว่าต้องเอาแน่ๆ กูต้องยืนราคานี้ไม่ลดเลย มาถึงต่อ เช่นเขาบอกว่าสิบบาท เอาเจ็ดบาทได้ไหม มันไม่ลด รู้ว่าอย่ากจะได้กูไม่ลด แล้วมันก็ต้องยืนไว้อย่างนั้น แล้วก็เดินไป เดี๋ยวกลับมาอีกละ เป็นก็ต้องยืนไว้อย่างนั้น แล้วก็เดินไป เดี๋ยวกลับมาอีกล่ะ เป็นไงเจ็ดบาทได้ไหม แหมไม่ได้ครับขาดทุนถ้าขายเท่านั้น เวลานี้น้ำมันขึ้นมันก็แพง ค่าขนส่งก็แพงต้องสิบบาท ครับเราก้ต้องซื้อสิบบาทเสียท่าแล้ว เพราะความต้องการมันมากไป แสดงออกให้เขาเห็นว่าเราต้องการ เขาจึงต้องขึ้นราคาเป็นเรื่องธรรมดา
อาตมาสมัยเด็กๆ นั้นมันก็เป็นมนุษย์แปลกเหมือนกัน ไปที่ปีนังไปกับหลวงลุง วันหนึ่งหลวงลุงท่านไปตลาดเขาเรียกว่า ยายโมล่า เขาขายของถูก แล้วเขาก็ซื้ออะไรๆ กันหลวงลุงก็ถามว่า แกไม่ซื้ออะไรบ้างหรือ ของผมดูๆ แล้วไม่รู้ซื้ออะไร หลวงลุงก็ยิ้มๆ ว่าไอ้นี่มันท่าจะไม่ได้ความละ มันมาเดินอยู่ในตลาดจะซื้อเสื้อสวยๆ ก็ไม่ซื้อ ซื้อการเกงก็ไม่ซื้อ รองเท้ามันก็ไม่ซื้อ มันไม่ต้องการ คือใจมันอย่างนั้น มันเฉยๆ เขานึกว่าเรามีอยู่แล้ว รองเท้ายางก็สวมอยู่แล้ว การเกงก็สวมอยู่แล้ว แล้วก็มีอีกสำรองอีกตัวหนึ่ง แล้วก็มีอีกตัวสำรองอีกตัวหนึ่ง แล้วจะซื้อไปทำไมก็ไม่ซื้อ เป็นอย่างนั้นเป็นนิสัยอย่างนั้นไป ไหนๆ ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร
เวลาไปอินเดียนี่ พาโยมเข้านิวมาเก็ต โยมก็ซื้อกัน อาตมาก็เดินต่อให้ ต่อราคาให้ช่วยซื้อให้โยม แต่ตัวเองไม่ได้ซื้ออะไรเลย เขาถามว่าไม่ซื้ออะไร ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรจีวรมันก็ไม่มีขายในตลาดนิวมาเก็ต แล้วจะไปซื้อ แต่ถ้าว่าไปเจอะร้านหนังสือก็ซื้อบ้าง เข้าไปดูๆ ก็ซื้อติดไม้ติดมือมาสักเล่มหนึ่ง สองเล่ม อย่างนั้นซื้อ ของอื่นนี่มันไม่จำเป็น แล้วเวลาเดินทางไกลๆ นี่นึกได้ แหมไอ้เราไปไกลๆ หอบผ้าไปมากๆ แต่ว่าโยมมันจำเป็นสำหรับโยมนะ เพราะคุ้นเคยอย่างนั้น เคยนุ่งหลายชุด อาตมานี่มันชุดเดียวจีวร ไปไกลๆ สี่ห้าวันชุดเดียวพอแล้ว ยังไม่ทันเปียกเหงื่อเท่าไร พอใช้ได้ เลยลองไปอย่างนั้น อ้าว...ชุดเดียว มันก็อยู่ได้สบาย เลยไม่ต้องพรุงพรัง บ้านเรือนเราเหมือนกัน ของอื่นก็เหมือนกัน ในสมัยที่ข้าวของแพงนี้ นี่ใครๆ ก็บ่นว่าของนั้นแพงของนี้แพง
มันแพงตรงที่เราจะซื้อจะเอานั่นเอง ถ้าเราไม่เอามันก็ไม่แพง อะไรติดราคาไว้ ฉันไม่ตัองการมันก็เฉยๆ อันนี้อย่าไปซื้อมันไม่จำเป็น เอาเท่าที่จำเป็น อะไรๆ ที่ญาติโยมมีอยู่เวลานี้มันก็พอใช้แล้วทั้งนั้น ของใช้ สมมติว่าอะไรแพง ที่เขาแพงเวลานี้ สมมติว่าสบู่แพงเราใช้สบู่ถูกๆ ก็ได้ ไม่ต้องใช้สบู่ก้อนหนึ่งหลายๆ บาท ไอ้หลายๆ บาทมันก็อย่างนั้นแหละ ถูแล้วก็ล้างน้ำออกไปเท่านั้นเอง มันติดตัวอยู่เมื่อไร เราถูสบู่เพื่ออะไร เพื่อขัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง อันนี้อะไรมันก็ขัดข้องได้อะไรมันก็ใช้ได้ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำถู มันก็ออกเกลี้ยงเหมือนกันแหละ แต่บางทีบ่นไม่มีสบู่จะใช้ ลองใช้อย่างนั้นก็ได้ เมื่อไม่มีก็ใช้ได้ อยู่ได้ด้วยความเรียบร้อย
แต่ว่าคนเรามันติดนี่ ถ้าเคยใช้อะไรแล้วมันติดสิ่งนั้น ใช้สบู่ยี่ห้อไหนต้องใช้สบู่ยี่ห้อนั้น ยาสีฟันชนิดไหน แปรงอย่างไรมันติดทั้งนั้น ติดข้าวติดของ เลยมีความทุกข์เดือดร้อนใจ อย่าไปติดของเหล่านั้น ใช้เท่าที่มีได้ แล้วจิตใจจะสบาย อย่าให้เกิดอารมณ์เวลาไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วจะไปดุคนนั้นคนนี้ มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำใจให้มันสงบทุกโอกาส เราจะมีแต่เรื่องไม่วุ่นวาย ดังที่ได้พูดมาก็สมควรแก่เวลา.
<< ย้อนกลับ
» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
» หลักใจ
» เกิดดับ
» มรดกธรรม