ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร


ธรรมบรรยายของ หลวงพ่อปัญญา

เรื่อง ฝึกสติปัญญา ปัญหาไม่มี

2

เดี๋ยวนี้เราช่วยเหลือกันทางจิต ทางวิญญาณน้อย แต่ช่วยเหลือกันทางวัตถุมากพอสมควร ทางวัตถุก็จำเป็นเหมือนกัน ต้องช่วย แต่ถ้าช่วยแต่เพียงวัตถุ หาได้ชื่อว่า ช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริงไม่ แต่ถ้าเราช่วยในทางจิตใจแก่เขา พร้อมๆ กับช่วยเหลือในทางวัตถุ นั่นแหละ เป็นการช่วยทั้งสองฝ่าย ทั้งภายนอก ทั้งภายใน เป็นการช่วยอย่างแท้จริง และถูกต้อง จึงใคร่ที่จะขอฝากแนวคิดนี้ไว้ว่า สมัยนี้มักจะขวนขวายช่วยเหลือกันในทางด้านวัตถุอยู่ แต่ว่ายังขาดการช่วยเหลือกัน ในทางจิตวิญญาณ จึงควรจะได้มีการช่วยเหลือในทางนี้มากขึ้น

ให้สังเกตว่า สมเด็จพระราชชนนี ท่านไปไหน ท่านมีหนังสือธรรมะไปด้วยทุกครั้ง ไปแจกหยูกแจกยาแจกข้าวแจกของ ท่านมีหนังสือธรรมะเล่มน้อยๆ เอาไปแจก ท่านพิมพ์ของท่านเอง เอาเงินของท่านพิมพ์เป็นพันๆ หมื่นๆ เล่ม ไปไหนก็เอาไปแจกเขา นั่นแหละชื่อว่าช่วยเหลือทางจิตวิญญาณ คนเหล่านั้นได้รับหนังสือได้เอาไปอ่าน จะได้เกิดความรู้ความเข้าใจ เราอย่านึกว่า คนบ้านนอกบ้านนา จะอ่านหนังสือไม่ออก ไม่อยากอ่านหนังสือ คนบ้านนอก ขยันอ่านหนังสือ มากกว่าคนบ้านเราเสียอีก แล้วก็อยากมีหนังสือไว้อ่าน อาตมาออกไปตามบ้านนอกบางแห่ง ก็สงสารเขา คือไม่ได้เอาหนังสือไปด้วย

เพราะว่าไปอย่างรีบร้อน เขามาก็ถามว่า อาจารย์มีหนังสือมาบ้างหรือเปล่า ผมอยากได้ไว้อ่าน ผมมีอยู่เล่มหนึ่งอ่านจนจำหมดแล้ว เล่มเดียวแกอ่านจนจำหมดเลย แล้วยกมาพูดให้ฟังเป็นตอนๆ จากหนังสือนั้น หนังสือที่อาตมาแต่ง ยกมาให้ฟังว่า ตอนนั้นว่าอย่างนั้น ตอนนี้ว่าอย่างนี้ มันจับใจเหลือเกิน ผมจำได้หมดแล้วทั้งเล่ม ยกมาว่าให้ฟัง ก็นึกชมน้ำใจว่า ได้เล่มเดียวก็อ่านจนอยู่ในหัวหมดเลย แล้วอยากจะได้เล่มอื่นมาอ่านอีก แต่ไม่ได้มีหนังสือไป เสียดายที่ไม่มีไป ตอนหลังไปไหนก็มักจะมีไปบ้าง ติดเนื้อติดตัวไป เผื่อคนที่สนใจ เขาได้อ่านจะได้ศึกษาเรื่องนั้นต่อไป เขาชอบอ่าน

มีโยมคนหนึ่ง แกมีหนังสือแก่นพุทธศาสน์ ของท่านเจ้าคุณพุทธทาสอยู่เล่มหนึ่ง บอกว่า ผมอ่านแล้วห้าสิบครั้ง เล่มนั้นอ่านห้าสิบครั้ง อ่านทุกครั้งยิ่งใหม่เสมอ ยิ่งได้อะไรใหม่ๆ อันนี้เป็นความจริง คือว่าเราอ่านหนังสือธรรมะ เวลาอ่านแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในใจ มันโพลงขึ้นมา เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นในใจในขณะอ่าน เพราะในขณะอ่านธรรมะ จิตใจสงบ เมื่อจิตใจสงบ มันก็เกิดอะไรขึ้นมา แต่โดยมาก ความคิดที่เกิดผ่านมานั้น มักจะผ่านพ้นไปเฉยๆ เราไม่ได้บันทึกไว้ในสมุด ถ้าสมมติว่ามีอะไรเกิดขึ้น บันทึกไว้ อ่านครั้งหลังมีอะไรเกิดขึ้น ก็บันทึกไว้ แล้วเอาบันทึกที่เราบันทึกไว้นั้น มาอ่านทีหนึ่ง ก็จะเกิดอะไรขึ้นในใจอีกหลายเรื่องหลายประการ นี่คือผลของการอ่านหนังสือธรรมะ หรือการคิดการค้นธรรมะก็เหมือนกัน

ว่างๆ เราไปนั่งคิดนั่งค้นข้อความ เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ นั่งคนเดียว ก็เอาข้อธรรมะข้อใดข้อหนึ่งมาพิจารณา เช่นพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ของสรรพสิ่งทั้งหลาย พิจารณาถึงความทุกข์ ในชีวิตประจำวัน พิจารณาถึงสิ่งที่เรียกว่า เป็นอนัตตา เรานั่งพิจารณา แยกแยะ วิเคราะห์วิจัยไป ความรู้มันจะเพิ่มขึ้นในชีวิตของเรา แล้วทำให้เราเห็นอะไรชัดเจนขึ้น เขาเรียกว่ารู้แจ้ง เห็นจริง ความทุกข์มันค่อยเบาบางไป มีอะไรเกิดขึ้นในใจก็ไม่ต้องร้องให้ร้องห่ม ไม่ต้องเสียใจเกินพอดี เพราะเรามีความซาบซึ้งอยู่ในกฏธรรมชาติ ว่าสิ่งทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรที่เรียกว่า คงทนถาวรอยู่ในโลกนี้สักอย่างเดียว มันช่วยให้จิตใจสบาย ทำให้เกิดอะไรดีขึ้น

แม้คนที่ทำงานทำการอยู่ในหน้าที่ เช่นเราเป็นคนค้าขาย หรือว่าเป็นคนประกอบธุรกิจประเภทต่างๆ  เราอย่านึกว่าธรรมะไม่จำเป็น อาหารของร่างกายจำเป็น ฉันใด ธรรมะก็มีความจำเป็นแก่จิตใจอย่างนั้นเหมือนกัน เราจะเลี้ยงให้ร่างกายเจริญเติบโต แต่ประการเดียวนั้นไม่ได้ แต่เราจะต้องเลี้ยงใจของเราให้เติบโตด้วย จิตใจจะเติบโต ก็เพราะมีอาหารประเภทธรรมะเลี้ยงใจ เราจึงต้องแสวงหาอาหารนี้ ควบคู่กันไปกับการแสวงหาอาหารทางกาย เมื่อรับประทานอาหารทางกายแล้ว ก็ควรรับอาหารทางใจด้วย สภาพจิตใจของเราก็จะดีขึ้น อยู่ในสภาพที่ผ่องใส ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนทางใจ อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นได้จากการกระทำของเราเองประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง จิตใจของคนเรานั้น ถ้าเราไม่คอยควบคุมไว้ ไม่คอยสังเกตไว้เราก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันมีสภาพอย่างไร มันดิ้นรน กวัดแกว่ง ห้ามยาก รักษายากอย่างไรเราไม่รู้ เหมือนกับคนไม่เคยเลี้ยงเด็ก ไม่รู้ว่าเด็กมันมีความซุกซนขนาดไหน จิตใจของเด็กเป็นอย่างไร เราไม่รู้ แต่ว่าเขาให้รับภาระเลี้ยงเด็กสักชั่วโมงหนึ่ง เราจะเห็นว่าเด็กนี้มันซนเอาการ เด็กขนาดคลานได้ เดินได้ จะเห็นว่ามันไม่หยุดเลย มันออกกำลังอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเด็กที่ยังไม่รู้จักคว่ำจักคลานนี้ เลี้ยงง่ายหรอก มันไม่ไปไหน ยกแข้งยกขาชี้ฟ้าอยู่เท่านั้นเอง แต่พอคลานได้ก็จะคลานไป ตกบันไดลงไปทีเดียว นี่มันเป็นเรื่องที่เราเห็นฉันใด สภาพจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปนั่งดูมัน แล้วก็จะเห็นว่า เดี๋ยวคิดเรื่องนั้น เดี๋ยวคิดเรื่องนี้ เดี๋ยวคิดเรื่องโน้น เดี๋ยวไปเรื่องนั่น ไปโน้น เราก็จะเห็นว่า มันดิ้นรนเอาการ กลับกลอกไม่ใช่น้อย เป็นลิงไปเลยทีเดียว เขาว่าไว้อย่างนั้น มันเป็นความจริง

ทีนี้ ที่เราว่าจิตของเรากลับกลอก ดิ้นรนนี่ จะห้ามมันได้ไหม หยุดได้ไหม หยุดได้ ไม่ใช่หยุดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "บัณฑิตผู้มีปัญญา ย่อมห้ามจิต ที่ดิ้นรน กลับกลอก รักษายาก ห้ามยาก นี้ได้" คือว่าทำได้ ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย การทำนั้นก็ต้องคอยควบคุมมันไว้ การควบจิต ก็คือเอาจิตควบคุมจิตต่อไป เอาจิตก็คือเอาตัวสติ ตัวความรู้สึกตัว เข้าไปคุมความคิดของเราไว้ มันคิดอะไรให้เรารู้ไว้ รู้ตัวว่าคิดอะไร มีอะไรเกิดขึ้นในใจ

เช่นจิตมีความโลภก็รู้ว่ามีความโลภ มีความโกรธ ก็รู้ว่ามีความโกรธ มีความหลงก็รู้ว่ามีความหลง มีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ มีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ มีโมหะครอบงำจิต ก็รู้ว่ามีโมหะ มีพยาบาทเกิดขึ้นก็รู้ว่า มีความพยาบาทเกิดขึ้น อะไรตัวใดมาเกิดขึ้นในใจ ต้องกำหนดรู้ ถ้าเรากำหนดรู้อยู่นั้น มันไม่ลุกลาม เหมือนกับต้นไฟ หัวลมดับเสียแต่หัวที มันไม่ลุกลามต่อไปเป็นความคิดแบบฟุ้งซ่านต่อไป แต่มันจะหยุดทันทีเพราะเรารู้มัน อาการที่เราเข้าไปกำหนดรู้นั่นแหละ ทำให้มันหยุดไป หยุดโกรธเพราะเรารู้ตัว ให้ลองสังเกต พอเราโกรธใครพอเรารู้ตัวว่าโกรธ นี่เราหยุดทันที มันเบาลงไป ไม่ใช่หยุดทันที แต่ว่ามันเบาลงไป เพราะว่าเรารู้ตัว พอรู้ตัวมันก็เบาลงไปหน่อย และเมื่อมีความรู้ตัวต่อไปมันก็หยุด มันไม่รุนแรงต่อไป เพราะเรารู้ตัว

คนที่โกรธโดยไม่รู้ตัวมักจะรุนแรง แสดงอาการเช่นพูดคำหยาบออกไป บางทีก็ทุบเข้าให้ บางทีก็ขว้างข้าวของทำให้แตกเสียหาย พอหายโกรธแล้วก็รู้ว่า แหมลืมไป เขาเรียกว่า ลืมตัวไป คือไม่รู้ตัวว่าเรากำลังโกรธนั่นเอง จึงได้มีอาการเช่นนั้น แต่ถ้าเรารู้ตัวมันก็เบาทันที หยุดได้ทันดี เพราะสภาพของคนเรานั้นมันคิดได้ทีละเรื่อง ไม่ได้คิดได้สองเรื่องสามเรื่องในเวลาเดียว ในวินาทีนี้ถ้ามีความโกรธ มันไม่มีอารมณ์อื่น แต่พอเราเกิดความรู้สึกตัว ความโกรธมันก็หายไปทันที หยุดทันที แต่ถ้าเราเผลอมันอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ เผลอนั้นหมายความว่า เราไปคิดถึงเหตุที่ทำให้โกรธ เช่นว่าเด็กทำให้เราโกรธ พอเราเห็นเด็กนั้นแล้วมันหมั่นใส้ขึ้นมา อยากจะเข้าไปหยิกมันให้ขาเขียวทีเดียว พอไปคิดถึงอันนั้นมันก็โกรธ แต่ถ้าพอเรารู้ตัวว่ามาอีกแล้ว มันก็หยุดทันที อันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่าถ้าเรารู้แล้วว่ามันหยุด แต่ถ้าเราไม่รู้มันไม่หยุด มันเกิดลุกลามไปเรื่อย ยืดยาวไปใหญ่โตทีเดียว

ในแง่การปฏิบัติ ท่านจึงสอนให้คอยกำหนดรู้ไว้ แต่ว่าเราจะไปกำหนดรู้จิตทันทีนั้น ไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเราไม่ได้ฝึกฝนไว้ก่อน การฝึกฝนทางจิตนี้ก็คล้ายกับการฝึกฝนทางกาย เรียกว่าบริหารกาย การบริหารกายมีอย่างใด การบริหารจิตก็ควรจะมีอย่างนั้น พลศึกษาที่เขาสอนกันในโรงเรียนนั้น เป็นการฝึกทางกาย เพื่อให้มีกำลัง ให้แคล่วคล่องว่องไว ในการที่จะทำนั้นทำนี้ได้ดังใจปรารถนา นั่นเป็นเรื่องฝ่ายกาย แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีการบริหารจิต มันก็ไปไม่รอด คนที่เรียนเป็นนักมวย อาจจะเอาความเป็นนักมวย ไปต่อยปากใครเมื่อใดก็ได้ เพราะไม่ได้ฝึกจิตหักห้ามจิตการใช้ หรือว่าเรียนเพลงอาวุธ อาจจะเอาปืนไปยิงใคร ให้ถึงแก่ความตาย ก็ถ้าบุคคลนั้นไม่มีการฝึกหัดห้ามจิตใจ เรื่องการฝึกจิตนี้เป็นเรื่องสำคัญ ควบคู่กันกับการฝึกกาย ถ้าเราฝึกกายแล้วก็อย่าลืมฝึกจิตด้วย

วันก่อนนี้ เขานิมนต์ไปเทศน์ที่กรมพลศึกษา ก็บอกไว้เหมือนกัน บอกว่าถ้าเรียนแต่พลศึกษา ฝึกกายอย่างเดียวนั้นมันไม่พอหรอก ต้องเรียนพลศึกษาในการฝึกจิตด้วย เรียกว่า จิตศึกษาก็ต้องมี ต้องฝึกเด็กให้รู้จักยับยั้งชั่งใจ ให้ห้ามใจของตนได้ ตามวิธีการของธรรมะในทางพระพุทธศาสนา แต่ว่าโดยมากไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องนี้ เพราะหลักสูตรเขาไม่ได้วางไว้ ก็ฝึกกันแต่เรื่องพละนี่แหละ ออกกำลังกันเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน หัดเล่นฟุตบอลล์กีฬาประเภทต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลาแข่งขันกีฬาทีไร ก็ต่อยกันทุกที ที่ต่อยกันทุกที เพราะอะไร

ก็เพราะว่าไม่สอนการฝึกจิตให้แก่เด็ก ไม่สอนเด็กให้รู้จักควบคุมตัวเอง ให้รู้จักบังคับตัวเอง แต่ว่าสอนให้เล่นเพื่อชนะ อย่าให้แพ้เป็นอันขาดแพ้แล้วเสียชื่อ สอนให้อยาก ไม่ได้สอนให้หยุดอยาก ไม่เล่นกีฬาเพื่อให้หยุดอยาก แต่ว่าเล่นกีฬาเพื่อให้อยาก เพิ่มราคะเพิ่มโทสะเพิ่มโมหะ เพื่อความต้องการให้เกิดขึ้นในจิตใจ ทีนี้คนเราตามปกติมันก็อยากอยู่แล้ว ถ้าไปสอนเพิ่มความอยาก มันก็อยากใหญ่ เลยไปกันนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้น เวลาเล่นเพื่อให้ชนะ เอาชนะตรงๆ ไม่ได้ก็เอาแบบที่เรียกว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ต้องเสกคาถามั่งละ เลยมันก็เล่นเกเร ต่อยตีกันในสนามอะไรต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหาย เสียชื่อมานานแล้ว ทีตอนนี้ไม่ได้ข่าวเพราะว่าโรงเรียนปิดอยู่ แล้วไม่ใช่ฤดูแข่งกีฬา พอถึงฤดูแข่งกีฬาเราจะเห็นว่าเป็นอย่างนั้น อันนี้คือความบกพร่องในทางการฝึกจิต

เรื่องการฝึกจิตนี้เราต้องฝึกไปตั้งแต่ในบ้าน พ่อแม่นั่นนแหละเป็นผู้ฝึกลูก ให้มีสภาพจิตเป็นปกติเรียบร้อย แต่ว่าพ่อแม่จะฝึกลูกต้องฝึกตัวเองก่อน ถ้าฝึกตัวเองไม่ได้ เช่นเป็นคนใจร้อนใจเร็วหุนหันพลันแล่น พอโกรธขึ้นมาก็เหวี่ยงปังไปไม่รู้ว่าถูกตรงไหน อย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เราจะไปห้ามเด็กมันก็ลำบาก เราจึงต้องฝึกด้วย พ่อแม่นี้ต้องฝึกจิตไปแต่เริ่มต้น คือเมื่อแต่งงานนี้ ต้องเริ่มฝึกจิต แล้วต้องบังคับตัวเอง ให้อยู่ในระเบียบวินัย ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปตามอารมณ์และสิ่งแวดล้อม คอยควบคุมไว้ตลอดเวลา

พอเริ่มมีลูกทั้งสองคนคนต้องปรึกษากันแล้ว ว่าเราต่อไปนี้ไม่ได้แล้ว เรากลายเป็นสิ่งที่เด็กมันจะถ่ายภาพไว้ตลอดเวลา ลูกน้อยนั้นคือคนถ่ายภาพของเราไว้ เขาจะถ่ายไว้ตลอดเวลา เราแสดงอาการอย่างไร มันก็ถ่ายไว้ แสดงดีมันก็ถ่ายดีไว้ แสดงไม่ดีมันก็ถ่ายไว้ แล้วมันไม่ถ่ายเปล่ามันเอาไปใช้เสียด้วย มันเอาไปใช้เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เราจึงมักจะพูดว่า เจ้านี่มันเหมือนแม่ของมันเปี๊ยบเลย คือแม่เป็นอย่างใด ลูกก็เป็นอย่างนั้น พ่อเป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น สุดแล้วแต่ว่าเด็กชอบใครมาก โปรดใครว่าอย่างนั้น โปรดคุณแม่ก็เหมือนคุณแม่ทุกอย่าง ถ้าโปรดคุณพ่อก็เหมือนคุณพ่อทุกอย่าง อันนี้คือการถ่ายทอด

เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่แสดงภาพอันใด ในทางที่เรียกว่า ไม่รู้จักควบคุมจิตใจให้เด็กเห็น อยู่ในบ้านของเราอยู่ต่อหน้าลูก ต้องคอยควบคุมอย่างที่สุด ให้ถือว่าลูกคือแขกพิเศษ ที่มานั่งอยู่ในบ้านของเรา สมมติว่าแขกเข้าบ้านเรา ต้องควบคุมกิริยามรรยาทอย่างที่สุด จะไม่แสดงอะไรให้แขกเห็นว่า เราไร้การศึกษา ไร้การอบรมในเรื่องต่างๆ ฉันใด ในขณะที่เราอยู่ต่อหน้าลูกของเรา ต้องถือว่า นี่เป็นแขกพิเศษของเรา มานั่งอยู่ในบ้านของเรา เราจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะไม่แสดงอะไรออกไป ถ้าหมั่นควบคุมอย่างนี้แล้ว อะไรๆ ก็จะดีขึ้น ในขณะที่อยู่ในบ้าน

ทีนี้เมื่อเราไปอยู่ในสำนักงานก็เหมือนกัน เราก็ต้องควบคุมเหมือนกัน เราเป็นหัวหน้าคน ถ้าหากว่าเป็นคนใจน้อยสร้อยสั้น อ่อนแอ คนอ่อนแอคือคนที่มักโกรธ หุนหันพลันเล่น ใจร้อนใจเร็ว นี่เขาเรียกว่า คนอ่อนแอ ไม่มีความแข้มแข็ง ไม่มีความหนักแน่นในตัวเอง จึงมีสภาพจิตใจอย่างนั้น ถ้าหากว่าเรารู้สึกตัวว่าเป็นอย่างนั้น เราต้องควบคุมแล้ว คอยเตือนคอยบอกตัวเองไว้ คอยสอนตัวเองไว้ตลอดเวลา ในเรื่องที่เราบกพร่อง ต้องพูดกับตัวเองบ่อยๆ พูดว่า ระวังนะ อย่าให้เป็นเช่นนั้น ขายหน้าเขา เขาจะดูหมิ่นเราได้ ว่าเราไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่รู้จักรักษาจิตใจอะไรต่ออะไรหลายอย่าง คอยพูดคอยเตือนไว้

ถ้ามีอารมณ์อันใดจะมากระทบ เราก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน คล้ายกับทหารที่รู้ว่าข้าศึกจะมา ก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ขวัญไม่เสีย แล้วก็คิดว่าจะต้องสู้กับมันอย่างไร เพื่อให้ข้าศึกต้องถอยหลังกลับไป ให้ได้เห็นหลังข้าศึกว่าอย่างนั้น คือมันหนีเราก็ได้เห็นหลังมัน อย่างไรจะได้เห็นหลังข้าศึกบ้าง ต้องคิดเตรียมตัวฉันใด อารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจของเรานี้ก็เหมือนกัน

เราจะต้องคอยระมัดระวังไว้ เช่น เราจะไปหาใครจะไปสนทนากับใคร ก็ต้องรู้ว่าคนนั้นมีลักษณะอย่างไร เป็นคนชอบยั่วหรือ เป็นคนชอบเย้าให้เกิดอารมณ์ หรือว่าเป็นคนที่มีเหลี่ยมพราวไปทั้งตัว ถ้าเราเผลอนิดเดียวก็เรียกว่าแกกัดเอาเท่านั้นเอง เราก็ต้องเตรียมพร้อมแล้ว ใจต้องเย็นต้องสงบ ถ้าใจใม่เย็นเสียท่าเขา เขาเอาเปรียบเราได้ แต่ถ้าเราใจเย็นไม่แสดงอาการอะไร ควบคุมตัวเองไว้ได้ ไม่แสดงอาการวิการ แม้ทางหน้าตาทางมือทางไม้ บางคนคุมใจได้ แต่มีแสดงอาการ เช่นหน้าแดงหูแดง มือไม้สั่นปากคอสั่นริกๆ ขึ้นมาทีเดียว เพื่อนเขาสังเกตรู้ว่าเรากำลังแพ้เขาแล้ว เพราะว่าสั่นกลัวตกอกตกใจ ขวัญเสียอย่างนี้ เราเสียเปรียบข้าศึกแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องคอยควบคุมไว้ ต้องมีสติคอยกำหนดไว้ ถ้าเราเคยฝึกอานาปานสติคือการกำหนดลมหายใจเข้าออก ใช้วิธีนี้ต่อสู้ได้ คือ กำหนดลมหายใจไว้

การกำหนดลมหายใจ มันได้ประโยชน์อย่างหนึ่ง คือทำให้การหายใจเป็นปกติ ไม่หนักไม่เบาไม่รุนแรง แต่ว่าเป็นไปปกติ ขณะหายใจเข้าเราก็กำหนดรู้ไว้ หายใจออกก็คอยกำหนดรู้ไว้ อาการหายใจนั้นเป็นปกติ วันก่อนนี้ได้พบคนคนหนึ่ง แกเป็นโรคเบาหวานมาหลายปี แต่ว่าเดี๋ยวนี้หายเด็ดขาด ไปตรวจปัสสาวะ หมอบอกว่าแปลกจริงหายได้อย่างไร เป็นมาตั้งยี่สิบกว่าปีไม่ใช่น้อย แล้วหายขาด ไม่มีน้ำตาลปรากฏในปัสสาวะเลย เจาะโลหิตดูก็ไม่มีน้ำตาลเลย หมอก็ถามว่ากินยาอะไร แกบอกว่า เรื่องยานี้ไม่รู้ว่ากินยาอะไร เขาบอกว่าดีกินทั้งนั้น ใบไม้ก็กินรากไม้ก็กิน ยาตำราโรงพยาบาลก็กิน กินทั้งหมดทุกอย่าง ไม่รู้ว่ามันหายด้วยอะไร

แล้วหมอก็สงสัยต่อไปก็เลยถามว่า ได้ไปทำอะไรเกี่ยวกับจิตไหม แกบอกว่า เรื่องนี้ผมทำอยู่ คือได้ฝึกจิตเจริญอานาปานสติ ตามแบบหนังสือของท่านเจ้าคุณพุทธทาส ทำจริงจังเลยทีเดียว เพราะเป็นคนที่เรียกว่า ไม่มีปัญหาทางครอบครัว ลูกเต้าเติบโตหมดแล้ว ไม่เดือดร้อนในทางทรัพย์สมบัติ นั่งฝึกจิตนานๆ ก็ได้ ก็เลยฝึกอานาปานสติ ฝึกไปๆ โรคเบาหวานมันหายไป วันหนึ่งมาเยี่ยมท่านเจ้าคุณที่ไชยา ก็เล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่าอานิสงส์มันมากกว่านั้น ไม่ใช่เพียงแต่โรคเบาหวานหรอกโรคอื่นก็แก้ได้เหมือนกัน ขอให้ทำจริงๆ แล้วกัน อันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่ามีบุคคลปรากฏอย่างนี้

การฝึกจิตใจนี้ทำให้จิตใจสงบเยือกเย็น แล้วเมื่อจิตใจสงบ ต่อมต่างๆ ในร่างกายก็สงบ อันนี้ต้องคุยกับแพทย์ ว่าอะไรบ้างมันไม่ขลุกขลักขึ้นมา มันเป็นปกติ คนเราถ้าจิตมันผิดปกติแล้ว สั่งการสั่งงาน มันไม่ปกติ เลยมันก็เสียไปหมด ท่านเคยเป็นโรคท้องผูกหรือไม่ โรคท้องผูกมันเป็นจากเรื่องความกังวลตอนเช้า ขออภัยถ้าเข้าไปในห้องน้ำ ถ้าไปนั่งวิตกกังวลแล้วถ่ายไม่ออก ถ้าไปคิดเรื่องอะไรวุ่นวายใจแล้วมันไม่ออก แต่ถ้าเราไปนั่งเฉยๆ ทำใจให้ปกติ เดี๋ยวก็ออกไปเลย มันออกคล่องๆ มันเกี่ยวกับอะไรๆ ในร่างกายเหมือนกัน

นี่ต้องปรึกษากับหมอ ว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น อาตมาเมื่อก่อนมันเป็นโรคอย่างนี้ประจำเหมือนกัน ไปนั่งนานๆ เวลาถ่าย ก็จับสาเหตุได้ว่าจิตไม่ค่อยปกตินั่นเอง ทีนี้หัดทำจิตให้ปกติ ตื่นเช้าทำให้ไม่มีความกังวลห่วงใยอะไร ไม่คิดถึงปัญหาว่า เงินมันจะไม่พอหรืออะไรในเรื่องการก่อสร้าง ลืมมันเสียเช้าๆ อย่าไปยุ่งกับมัน เฉยๆ แล้วก็ไปนั่งทำใจให้สงบ ไม่กี่นาทีประเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อย อันนี้ใช้ได้ อำนาจจิตมันสำคัญ

คนเราถ้ารู้จักบังคับตัวเองแล้วอะไรๆ มันดีขึ้นหมดเพราะฉะนั้นต้องฝึกเหมือนกัน ฝึกเจริญอานาปานสติไว้ กำหนดหายใจเข้าออก ทำเอาเองก็ได้ ไม่ใช่ยากเย็นอะไรแล้วก็ทำบ่อยๆ สภาพการหายใจปกติ ความคิดก็จะเป็นเรื่องปกติขึ้นมา อะไรในร่างกายมันเรียบร้อยหมด ค่อยปกติโดยลำดับขึ้นมา ลองเอาไปใช้ดูจะเป็นประโยชน์ ทีนี้เมื่อเราเคยฝึกหัดอย่างนั้น พอไปประสบอารมณ์อะไรเข้า จะทำให้เกิดความปั่นป่วนทางจิตใจ เราก็เริ่มหายใจตามแบบที่เคยหายใจ เจริญกรรมฐาน เท่ากับว่าเตรียมกำลังเพื่อต่อสู้ เราทำใจของเราให้สงบ ด้วยการเจริญอานาปานสติ สภาพจิตก็จะเรียบร้อยไม่วุ่นวาย ทีนี้การพูดอะไรก็เป็นปกติ นั่งตัวตรงหายใจเป็นปกติ สงบใจ ฟังเขาพูดในเรื่องที่เขาว่าให้เราฟัง เมื่อเราจะตอบอะไรก็ตอบด้วยใจเย็นใจสงบ อย่างใจร้อนอย่าใจเร็ว อันนี้จะช่วยได้มาก จะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น

การนอนไม่หลับก็เกิดจากจิตผิดปกติ อาหารไม่ย่อยโรคปวดหัวมัวตา อะไรต่างๆ มันเกิดจากเรื่องนี้ทั้งนั้น ให้ดูคนแก่ที่โกรธบ่อยๆ นอนไม่ค่อยหลับ แล้วบางทีโกรธหนักเข้าหัวสั่น นั่งสั่นงกเง็กๆ อยู่อย่างนั้นเหมือนกับตุ๊กตากล นี่ก็คือเรื่องจิตนั่นแหละไม่ใช่เรื่องอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเรามีจิตเป็นปกติแล้วไม่ค่อยมีเรื่อง พบคนแก่บางคนใจดีๆ อายุยืนตั้งเก้าสิบกว่าปีแล้ว หน้าตายังผ่องใส ไม่ค่อยโกรธเคืองใคร ใจเฉยๆ นี่เขาเข้าถึงธรรมะ เป็นคนใจสงบใจเย็น ขอให้สังเกตคนแก่ที่ใจสงบนี่อายุยืน ร่างกายเป็นปกติ ไม่ค่อยมีอะไรวุ่นวายทางจิต เพราะฉะนั้นให้พยายาม ที่จะบังคับจิตใจของเราไว้ ด้วยมีสติกำหนดอาการของมันไว้ สิ่งใดไม่ดีเกิดขึ้นก็ไล่มันออกไป อย่าให้มันอยู่ในใจของเรา เราก็อยู่อย่างปกติ มีความสุขตามสมควรแก่ฐานะ ดังที่ได้กล่าวมา เพื่อเป็นเครื่องชึ้แนะแนวทางเตือนจิตสะกิดใจ แก่ญาติโยมทั้งหลาย ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ขอยุติการกล่าวปาฐกถาไว้แต่เพียงนี้.

<< ย้อนกลับ

» มองทุกให้เห็นจึงเป็นสุข

» ทุกข์ซ้อนทุกข์

» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย

» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่

» มันเป็นเช่นนั้นเอง

» ศีลธรรมและสัจจธรรม

» แหล่งเกิดความทุกข์

» องค์สามของความดี

» หลักใจ

» ทำดีเสียก่อนตาย

» ตามรอยพุทธบาท

» ฐานของชีวิต

» ความพอใจเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

» ชั่งหัวมัน

» อนัตตาพาสุขใจ

» ฤกษ์ยามที่ดี

» อดีต ปัจจุบัน อนาคต

» วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า

» สำนึกสร้างปัญญา

» สอนลูกให้ถูกวิธี

» ปฏิวัติภายนอกกับภายใน

» ร้อนกายไม่ร้อนใจ

» อย่าโง่กันนักเลย

» การทำศพแบบประหยัด

» คนดีที่โลกนับถือ

» ความจริงอันประเสริฐ

» เสรีต้องมีธรรม

» ทาน-บริจาค

» เกียรติคุณของพระธรรม

» เกียรติคุณของพระธรรม (2)

» พักกาย พักใจ

» เกิดดับ

» การพึ่งธรรม

» อยู่ด้วยความพอใจไม่มีทุกข์

» มรดกธรรม

» ฝึกสติปัญญาปัญหาไม่มี

» ทำให้ถูกธรรม

» วางไม่เป็นเย็นไม่ได้

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย