ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
เรื่อง มรดกธรรม
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2520
2
บางคนหนักเข้าไปกว่านั้น รับถึงกินเลย ไม่ได้นึกว่าเชื้อโรคหลวงพ่อจะติดลูกศิษย์ กินเข้าไปเลยที เดียว นี่อย่างนี้เป็นตัวอย่าง ที่มีกันอยู่ทั่วไป แปลว่าพอหลวงพ่อขลังๆ มาก็ต้องไปกันกุฏิจะพังให้ได้ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า วัดต่างๆ เวลานี้ มักจะโฆษณาว่า หลวงพ่อนั้นมาพักอยู่ที่วัดนั้น หลวงพ่อมาพักอยู่ ที่วัดแล้วคนก็ไปกัน ไม่ได้ไปศึกษาธรรมะเลย ไม่ได้ไปหาวิธีการดับทุกข์โดยทางที่ถูกที่ชอบเลย แต่ไป ต้องการวัตถุเครื่องรางของขลัง อะไร ๆ ต่างๆ ขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์สักหน่อย หรือว่าได้อะไรมา สักชิ้นหนึ่งจากหลวงพ่อ จะเป็นเศษใบไม้ก็ยังดี ให้ได้มาก็แล้วกัน นี่เขาเรียกว่าติดอยู่ในวัตถุตลอดเวลา ไม่พยายามที่จะเข้าถึงสิ่งที่เป็นเนื้อแท้คือธรรมะ แล้วพระศาสนาจะอยู่ได้อย่างไรในรูปอย่างนี้ จิตใจคนไม่เข้าถึงสิ่งที่เป็นเนื้อ เลยก็ไม่รู้จักศาสนา ที่นี้เมื่อไม่รู้จักตัวแท้ จะรักษาไม่ถูกเหมือนกัน คือไม่รู้ว่าอะไรที่เราควรจะรักษา จะรักษาไว้อย่างไร ก็ไปสนใจแต่เรื่องวัตถุที่เสียหาย
สมมติว่าขโมยมาลักตัดเศียรพระพุทธรูปไป ตกอกตกใจกันเหลือเกินแล้ว พวกมารร้ายมันทำลายศาสนา แต่ว่าคนที่พูดนั้น ไม่ได้มีตัวศาสนาอยู่ในตัวเลย ความจริงตัวที่ไม่ได้ตัดคอพระพุทธรูปนั้น ก็ทำลายศาสนาอยู่เหมือนกัน ทำลายอย่างใด คือไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ไม่ปฏิบัติตามศาสนา นั่นแหละคือการทำลาย เหมือนเราปลูกต้นไม้ แล้วเราไม่ใส่ปุ๋ย ไม่พรวนดิน ไม่เอาตัวพยาธิที่มาทำลายต้นไม้ ต้นไม้นั้นมันก็ตายไป ไม่ได้ประโยชน์อะไร ศาสนาก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่รู้จักจะรักษาไว้ได้อย่างไร รักษาไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ เหมือนคนที่มีของมีค่า แต่ไม่เอาไปเก็บไว้ในที่เหมาะที่ควร คนอื่นรู้จักว่าเป็นของมีค่า เลยมาเอาของนั้นไปเสีย อย่างนี้จะเกิดเรื่อง
ในเรื่องชาดกเล่าไว้ว่า ยายกับหลานอยู่ด้วยกัน คือว่าเป็นเศรษฐีตกยาก ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่มี แต่ว่ามีถาดอยู่ใบหนึ่ง แต่ว่าถาดนี้ขี้ฝุ่นจับเกรอะกรัง สกปรกรุงรัง แล้วก็มีพ่อค้าคนหนึ่งมาถึง ก็ถามว่า บ้านยายมีอะไรบ้างที่พอจะขายได้ คล้ายกับเจ็กมาซื้อขวดไปขายอย่างนั้น แกก็บอกว่าไม่มีอะไรมีถาดเก่าๆ อยู่ใบหนึ่ง อยากได้ไหมล่ะ ก็เอามาให้ดู พอเอามาดูก็รู้ว่าเป็นอะไร แล้วอะไรขีดหน่อยหนึ่ง แล้วก็โยนเลย บอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ความเลย จะเอามาขายฉัน ให้เปล่าๆ ฉันก็ไม่เอา ก็ไปไม่ต้องการที่ทำ อย่างนั้นไม่ใช่ว่าไม่อยากได้ อยากได้เปล่าๆ ไม่อยากจะซื้อ เพราะว่ามันมีค่าเหลือเกิน ถาดใบนั้นมันเป็นทองคำ
แล้วก็มีพ่อค้าอีกคนหนึ่งมา พูดดี แล้วยายก็ยกมาให้ บอกว่า ยายเก็บไว้อย่างนี้เองหรือ เปิดเผยอย่างนี้หรือ ยายรู้ไหมของนี้มีค่าเท่าใด นี่มันทองทั้งใบนะ ราคามันเหลือหลายนี่ ยายพอรู้ก็ว่า ฉันไม่เอาไว้ เดี๋ยวโจรจะมาปล้นฆ่าฉันตาย ท่านจะต้องการไหมละ บอกว่า ฉันก็อยากได้เหมือนกันยายจะเอาราคาเท่าไหร่ ยายนั้นก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ ก็บอกว่า เอาไปเถอะให้เท่าใดก็พอใจ เลยให้ราคาตั้งห้าพันกหาปณะ เป็นเงินไม่ใช่เล็กน้อย พอให้แล้วแกก็ลงเรือรีบไปเลย เจ้าคนโน้นวกมาอีก บอกว่าเมื่อกี้ อ้ายถาดสัปรังเคอยู่หรือเปล่า เจ้าของบอกว่า สับปะรังเคอะไร พ่อค้าคนหนึ่งมาบอกว่า ทองคำเขาซื้อไป แล้วเขาซื้อเท่าไหร่ ซื้อห้าพัน เจ้านี่ว่า ไปไหนแล้ว โน่นเขาข้ามฝั่งไปแล้ว รีบลงเรือพายใหญ่เลย จะตามให้ทันคนนั้น เพื่อจะแย่งถาดใบนั้น
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็น ว่าของดีมีค่า ถ้าไม่รู้จักราคามันก็ไม่ได้เรื่อง ความมีค่ามันอยู่ที่ราคาของของนั้น แล้วราคามันหมายถึงความต้องการของคน สิ่งใดที่มีค่า ก็หมายความมีคนต้องการมาก กระดาษธรรมดาอย่างนี้ ทิ้งเฉยๆ ไม่มีใครเก็บ แต่ถ้ามันเป็นธนบัตร พอคนเห็นก็แย่งกันเลย ต่างคนต่างก็จะเอา ความจริงมันก็กระดาษด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าเขาสมมติว่า เป็นธนบัตร มีค่าหนึ่งร้อยบาท ยี่สิบบาท ห้าบาท สิบบาท คนก็ต้องการ แต่ถ้าเป็นกระดาษเฉยๆ ไม่มีใครต้องการ ราคามันอยู่ที่ความต้องการของคน ของอันใดคนต้องการมากก็มีราคา ถ้าคนไม่ต้องการก็ไม่มีราคา อันนี้เป็นเรื่องทางวัตถุ
ทีนี้เรื่องถึงธรรมะ หรือเรื่องเกี่ยวกับจิตใจของคนนี้ก็เช่นเดียวกัน เราจะรักษาพระศาสนาไว้ เดี๋ยว นี้เราจะได้ยินวิทยุพูดบ่อยๆ ให้รักชาติ ศาสนา รักพระมหากษัตริย์ รักชาติก็พอจะเข้าใจ องค์พระมหากษัตริย์ ก็รักกันอยู่พอแรงแล้ว เรียกว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหนก็ไปต้อนรับ เกิดความปลาบปลื้มปิติดีอกดีใจ แสดงความรักอยู่ แต่รักพระศาสนานี้ เป็นปัญหาอยู่ เราจะรักอะไร รักสิ่งใด แล้วเราจะถนอมสิ่งนั้นในรูปใด ให้สมกับว่าเรารักจริงๆ เรามีเงินมีทอง มีข้าวมีของ เพชรนิลจินดา เรารักเราต้องเก็บใส่ตู้เซฟ แข็งแรง ถ้าที่บ้านตู้เซฟไม่แข็งแรง ก็เอาไปฝากธนาคารไว้ เพื่อความปลอดภัย แต่ตัวธรรมะตัวศาสนานี่ จะเก็บไว้ที่ไหน จะรักษาไว้ที่ตรงไหน นี่เป็นปัญหา ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็รักษาไม่ถูก อาจจะทำลายศาสนาไปเสียก็ได้
เดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ ว่ามีบุคคลไม่ใช่น้อย ที่ทำลายศาสนาโดยไม่รู้ตัว โดยไม่รู้ตัวว่าตัวกำลังทำลายพระศาสนา คือบุคคลที่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง ห่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำคนให้มืดให้หลง ให้เข้าใจผิดในเรื่องอะไรต่างๆ ทั้งพระทั้งชาวบ้าน กำลังร่วมแรงร่วมใจกันทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว ทำไมจึงได้ทำอย่างนั้น ก็เพราะว่าเห็นแก่อามิส รางวัลสิ้นจ้างที่จะได้รับ คือปัจจัยนั่นแหละไม่ใช่เรื่องอะไร ปัจจัยที่จะได้จากสิ่งนั้น เช่นว่าทำของอะไรขึ้นขาย ได้เงินได้ทอง ได้ของได้แก้ว ปลุกเสกพักเดียวก็ได้เงินล้าน ไม่ต้องนั่งเรี่ยไรอยู่นานๆ ไม่ต้องประกาศวิทยุบ่อยๆ คนมากันล้นหลาม แย่งกันซื้อไปเลย เลยก็ได้เงินมาก ต่างสน ต่างทำกันใหญ่ นี่แหละ คือการทำลายสัจจธรรม ของพระพุทธเจ้า
ทำไมจึงได้กล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่าคนไปหลงใหลมัวเมาอยู่ในสิ่งที่เป็นวัตถุ ไม่พยายามที่จะเข้าถึงธรรมะ พยายามที่จะเอาธรรมะ มาปฏิบัติ แต่ว่าไปติดอยู่ในวัตถุนั้นๆ นึกว่าวัตถุนี่จะช่วยตัวได้ เพราะการโฆษณาว่าศักดิ์สิทธิ์ มีลาภมีโชค มหาโชค มหาลาภ มีแล้วจะปราศจากทุกข์โศกโรคภัย นี่วิเศษเหลือเกิน ใครได้แล้วไปไว้ที่บ้านจะร่ำรวยเป็น เศรษฐีมหาเศรษฐี มีเงินแสนมีเงินล้านไปตามๆ กัน อันนี้ทำให้คนไม่รู้จักปฏิบัติธรรม ไม่คิดช่วยตัวเอง แต่ว่าจะไปขอพึ่งสิ่งเหล่านั้น ซึ่งตนนึกว่าจะช่วยตนได้ เลยไม่ปฏิบัติธรรมะ นั่นคือการทำลายธรรมะโดยไม่รู้ตัว ทำลายสัจจธรรม แล้วอะไรมันจะเหลืออยู่บนแผ่นดินได้ เหลือแต่สิ่งที่เป็นวัตถุซึ่งสร้างด้วยปัจจัยอย่างนั้น ใหญ่มโหฬาร แล้วสิ่งนั้นจะช่วยพระศาสนาได้หรือ
สมัยหลังพุทธกาล พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างเจดีย์มาก เขียนไว้ในประวัติศาสตร์ว่าตั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ แล้วในประเทศลังกาก็สร้างเจดีย์กันใหญ่ มากมายก่ายกอง สิ่งเหล่านั้นเวลานี้กลายเป็นกองอิฐกองปูนเก่าๆ เป็นโบราณวัตถุสำหรับนักทัศนาจรไปชมเท่านั้นเอง ตัวศาสนามีอยู่ ในประเทศอินเดียหรือเปล่า ไม่มีแล้ว มีแต่แผ่นกองอิฐทั้งหลาย ซึ่งเราไปดูกันเป็นขวัญตา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้นสำหรับคนที่ดูเป็น แต่ถ้าดูไม่เป็นก็ดูอย่างนั้นแหละ เหลือแต่สิ่งเท่านั้น ตัวธรรมะไม่มี เพราะไม่ได้บำรุงในด้านธรรม
ในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน เราไม่ได้ชักจูงส่งเสริมคนให้ประพฤติธรรม ให้เข้าใจธรรมะ ไม่เอาธรรมะมาแก้ไขปัญหาชีวิต แต่เราให้คนแก้ปัญหาด้วยวัตถุ ด้วยการมีพระสมเด็จมีหลวงพ่อมี แหวนสวมนิ้วพระห้อยคอ แล้วที่บ้านก็มียันต์แขวนที่ประตูบ้าง ติดที่เพดานร้อยแปด โจรเข้าบ้านทีไร ยกเกลี้ยงทุกที เหลือแต่ผ้ายันต์เพดานที่มันไม่เอา นอกนั้นเอาหมด นี่มันจะช่วยได้อย่างไร ทำให้คนหลงไหล มัวเมาทั้งนั้น แล้วก็ส่งเสริมกันนักหนา แพร่หลาย นี่แหละ ขอให้ญาติโยมเข้าใจ ว่าเป็นเรื่องของการรักษาเปลือก ไม่เข้าไปรักษาเนื้อแท้พระธรรมของพระพุทธเจ้าเลย
ทีนี้ถ้าเราจะรักษาสัจจธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เราต้องช่วยกันศึกษาธรรมให้เข้าใจ เราต้องช่วย กันศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ต้องช่วยกันฉันท์มิตรสหายให้มาศึกษา แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตนตามหลักธรรมะใน ชีวิตประจำวัน อย่าเอาวัตถุมาเป็นเครื่องช่วย แต่เอาธรรมะมาเป็นเครื่องช่วย ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เราถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ถึงรูปวัตถุทั้งหลายเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ เอาธรรมะเป็นสรณะ เอาธรรมะเป็นที่พึ่งกันจริงโดยลำดับขึ้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตของเรา เช่นเรามีความทุกข์มีความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็สอนทางให้แล้ว บอกว่า เมื่อมีความทุกข์มีความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็สอนทางให้แล้ว
บอกว่าเมื่อมีทุกข์มักก็เกิดจากเหตุ เหตุมันมี แล้วเหตุนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่การกระทำของเราเอง อยู่ที่การคิด การพูด การกระทำ การพูดกับการกระทำนั้น เริ่มต้นจากการคิด ถ้าคิดผิดมันก็เป็นทุกข์ ถ้าคิดถูกมันก็ไม่เป็นทุกข์ พูดผิดก็เป็นทุกข์ พูดถูกมันก็ไม่มีความทุกข์ พูดผิดก็มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ทำถูกก็ก็หมดทุกข์ ทำผิดก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน มันอยู่ที่การกระทำอย่างนั้น เราต้องแก้ที่การกระทำของเราเอง ต้องหมั่นศึกษา หมั่นพิจารณาตัวเองในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ทำอะไรแล้วก็ต้องจำไว้ ว่าเราได้ทำสิ่งนั้น ผลมันมีอะไร เกิดขึ้นในรูปใด
สมมติว่าเราไปดื่มเหล้า เมาแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราไปบ่อนการพนัน เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราไปด่าคนนั้นคนนี้ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราคิดริษยาคนอื่น ใจเรามันเย็นหรือใจเราร้อน มีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ในใจ คอยตรวจสอบพิจารณา ศึกษาค้นคว้า จากในจิต จากการคิดของเรา เราก็จะมองเห็นความจริงในเรื่องนี้มากขึ้นๆ รู้เรื่อง เข้าใจเรื่องถูกต้อง เราเอาหลักนี้มาปฏิบัติ ให้จิตใจเรา โปร่งอยู่ด้วยคุณธรรม ความเจริญของพระศาสนา อยู่ที่จิตใจคนผู้นับถือ พระศาสนาเจริญด้วยคุณธรรม เจริญด้วยการละอายบาป เจริญด้วยความกลัวบาป เจริญด้วยความเมตตา เจริญด้วยขันติ ความอดทน เจริญด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าความเห็นแก่ตัวเจริญ ศาสนาไม่เจริญ หลักการมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่า เรามีศาสนาอยู่ในใจของเราหรือเปล่า มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของเราหรือเปล่า มีพระธรรมอยู่ในจิตในใจของเราหรือเปล่า มีพระสงฆ์อยู่ในจิตใจของเราหรือเปล่า เราต้องรู้ว่ามีหรือไม่มี เวลาใดที่เรามีพระ ใจสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่เร่าร้อน เวลาใดไม่มีพระ ใจเร่าร้อนวุ่นวาย มืดบอด คือไม่มีพระ ไม่มีธรรมประจำใจ แล้วมันก็ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น ให้รู้ว่าความแตกต่างระหว่างการไม่มีพระ กับการไม่มีพระ มันมีสภาพอย่างไร ให้รู้จิตว่าเวลาเป็นทุกข์ กับจิตที่ไม่เป็นทุกข์แตกต่างกันอย่างไร แล้วให้รู้ว่าอะไรมันเป็นเหตุให้เกิดอาการอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้เกิดสุขคืออะไร สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์คืออะไร สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์มันคืออะไร ต้องศึกษาต้องค้นคว้าอยู่บ่อยเมื่อมีเวลา
เวลาไปทำงานอะไรเราก็ไปทำ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราทิ้งหน้าที่การงาน ทิ้งงานทิ้งการออกมาอยู่ในที่ สงบอยู่ตลอดเวลา เราต้องทำงานตามหน้าที่ที่เรามี มีกิจอะไรที่ต้องจัดต้องทำก็ทำไป แต่ว่าทำไปด้วย ความมีศาสนาประจำใจ มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ มีพระอยู่ในใจ ก็หมายความว่า ทำงานด้วยปัญญา ทำงานด้วยจิตใจ ที่เต็มไปด้วยความกรุณา ทำงานด้วยจิตใจที่เป็นตัวเอง คือบริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นตัวเองแท้ๆ คือใจที่บริสุทธิ์ ถ้าเศร้าหมองแล้ว ก็ไม่ใช่ของเดิม มันมีอะไรปะปนแล้ว จึงเปลี่ยนสีไป
เหมือนกับผ้าธรรมดาที่ขาว ผ้าหม่นก็ไม่ใช่สีขาวแล้ว ผ้าแดงก็ไม่ใช่สีขาวแล้ว ผ้าเขียวก็ไม่ใช่สีขาวแล้ว มันต้องมีอะไรเข้าไปปนแล้ว มันจึงได้เปลี่ยนสีไปอย่างนั้น ฉันใด สภาพจิตของคนเราก็อย่างนั้น มันผ่องใส ไม่มีอะไรเศร้าหมอง ความเศร้าหมองมันเกิดขึ้นมา เพราะมีสิ่งไปกระทบ แล้วเราไม่รู้เท่าทันต่อสิ่งนั้น มันจึงเกิดการปรุงแต่ง เป็นราคะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ เป็นริษยา พยาบาทอะไรต่างๆ ขึ้นมา ไม่เป็นตัวเองในขณะนั้น แล้วเราจะรู้สึกว่า ร้อนกระวนกระวาย
เช่นคนมีความโกรธคนอื่น ลุกขึ้นจะไปต่อยเขานั้นไม่ใช่ตัวเองไปแล้ว แต่ความโกรธมันบังคับให้ไป ความพยาบาทกรุ่นอยู่ในใจ ไม่ได้ทำแล้วมันนอนไม่หลับ ต้องทำไป ที่ทำไปนั้นด้วยอำนาจกิเลสมันสั่ง มารสั่งไม่ใช่พระสั่ง ถ้าเป็นคำพระสั่งของพระต้องนั่ง สงบ ไม่มีเรื่องอะไรทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำตัวให้เดือดร้อน ไม่มีความคิดที่เบียดเบียนใคร เพราะ จิตใจมีปัญญา รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้กาล ทุกสิ่งทุกประการเรียบร้อย เรื่องยุ่งมันก็ไม่มี เวลาเกิดเรื่องยุ่ง ก็บอกตนเองว่า เอาอีกแล้วๆ ไม่เป็นตัวเองอีกแล้ว รีบบอกตัวเอง รีบแก้ไข นั่งลงสงบจิตสงบใจ คอยเตือน ไว้ แต่ต้องทำบ่อยๆ สติมันไม่คล่องถ้าไม่ทำบ่อยๆ ต้องคอยกำหนดไว้ รู้อาการของจิตใจเราบ่อยๆ แล้ว เราจะรู้ว่าเราเป็นคนสงบเยือกเย็น ไม่ใจร้อนไม่ใจเร็ว ไม่หุนหันพลันแล่นต่ออะไรที่เกิดขึ้น แล้วจะได้ รู้ต่อไปว่า มันสุขกายเย็นใจ คนเราวันหนึ่งถ้ามีโกรธใครสักหนหนึ่ง เฉยสักวันหนึ่งใจมันสงบ ไม่มีความคิดริษยาใคร ไม่พยาบาทใคร หรือไม่เกลียดใคร มันสบาย มันสบายทั้งวันเลย คนอย่างนี้อายุมั่นขวัญยืน คือร่างกายมันปกติ จิตใจก็ปกติ
ความปกติทางร่างกายนั้น เกิดจากจิตปกติก่อน ถ้าจิตปกติแล้ว ร่างกายก็พลอยปกติไปด้วย อะไรๆ ในร่างกายมันเรียบร้อย ถ้าร่างกายไม่เรียบร้อย สมองทำงานไม่เรียบร้อย ตับไตใส้พุงก็ไม่เรียบร้อย ล่อแหลมต่อการที่จะเป็นโรคประสาท อันนี้มันไม่ได้เกิดจากอะไร เกิดจากความคิดผิดปกติของจิต ที่ปล่อยให้สิ่ง ภายนอกครอบงำ ไม่เป็นไท ไมีมีอิสรภาพ ไม่เป็นตัวเอง จึงต้องควบคุมไว้ มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา เวลาทำงานก็รู้อยู่ที่งาน เวลาหยุดงานก็รู้อยู่ที่จิตที่ความคิดของเรา พออะไรที่เป็นฝ่ายอกุศล เช่นราคะ โทสะ โมหะ ริษยา อารมณ์อะไรที่เรียกว่า กิเลสประเภทต่างๆ ซึ่งเราควรจะรู้จักมันไว้
พอโผล่มีอ้าวโผล่มาอีกแล้ว วันก่อนมาทีหนึ่งแล้ว ทำให้ข้ายุ่งทั้งวัน เอาออกไป ขับไล่มันออกไป ก็เรารู้เท่ารู้ทัน เรารู้เท่ารู้ทัน มันก็หายหน้าไป หายไปไม่เท่าใดก็แอบมาอีก ไม่ค่อยได้อะไร อย่างนี้ มันชอบแอบมา มาสะกิดหลังเราบ่อยๆ เราจึงต้องคอยกำหนดรู้ไว้ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไป อันนี้แหละจะทำให้เราสบายใจ เป็นความสุข โดยที่ไม่ต้องมีอะไรเป็นเครื่องประกอบ อยู่ที่ไหนก็มีใจเป็นสุข มีความสงบในทางด้านจิตใจ เพราะไม่มีอะไร ทำให้เราเต้นแร้งเต้นกา ต้องลุกขึ้นทำท่าอย่างนั้น อย่างนี้ มันก็เป็นสุขสบาย ใครอยากจะอยู่อย่างนี้บ้าง ญาติโยมทุกคนก็ย่อมต้องการ ไม่อยากจะอยู่ขึ้นๆ ลงๆ ผุดลุกผุดนั่ง ประเดี๋ยวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ไหว เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น จึงต้องควบคุมไว้ด้วยสติด้วยปัญญา สติรู้ทัน ปัญญารู้เท่า พออะไรเกิดก็รู้ เช่นจะโกรธแล้ว จะเกลียดอีกแล้ว จะริษยาอีกแล้ว คอยว่ามันไว้ พอมันจะเกิด เกิดขึ้นเราก็รู้มาอีกแล้ว แล้วไม่ใช่ตัวเรา ไม่เอา ไม่ใช่ของเดิม ไล่มันออกไปบ่อยๆ เจ้านั่นก็ถอยไป ประเดี๋ยวมันมาอีก ทำบ่อยๆ ทำนานเข้า จิตมันคล่อง เรียกว่าคล่องตัว พอคล่องตัวแล้วมันไม่เกิดไม่กล้ามาแล้ว มาทีไรถูกน็อคทุกที มาไม่ ไหวแล้ว มันก็ถอยไป ไม่ยุ่งกับเราต่อไป เราก็จะอยู่ได้สงบทุกกาลทุกเวลา ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เรามีจิตใจสงบ ใครจะมาด่าเราก็เฉยๆ เขาบอกว่าคนนั้นนินทาคนนี้ ไม่เป็นไร เรื่องธรรมดา ไม่มีอะไร ถ้าเราไม่โกรธไม่เกลียดใคร แล้วใจจะสบายหรือไม่ญาติโยมลองคิดดู จะรู้สึกว่ามันมีความสุข สบายใจเหลือเกินในสภาพอย่างนั้น
ใจขณะที่เรามีใจสงบนั่นแหละ พระมีในใจของเรา ศาสนาอยู่กับเรา การรักษาพระศาสนา ก็คือการรักษาตัวเรา ให้มีจิตใจสงบ รู้เท่ารู้ทันต่อปัญหาของชีวิต อะไรเกิดขึ้นเราก็แก้ได้ ไม่ต้องไปเที่ยวบนบานศาลกล่าวใคร ไม่ต้องไปขอให้ใครสะเดาะความทุกข์ความโศกให้เรา เราเป็นหมอของเราเอง เราแก้ของเราเอง ด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปใช้ให้คนอื่นทำให้ คนที่ให้คนอื่นทำให้ คือยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร เลยต้องไปขอร้องให้สะเดาะเคราะห์ สะเดาะโศกให้หน่อย อย่างนี้เป็นตัวอย่าง
ไม่ต้องทำ เราสะเดาะของเราเอง ด้วยปัญญาของเรา ด้วยสติของเรา แล้วสิ่งนั้นมันไม่มารบกวนให้เกิดปัญหาต่อไป นี่แหละคือประโยชน์ของพระศาสนา เรามาวัดก็เพื่อมาศึกษามาปฏิบัติเรื่องนี้ แล้วต้องสังเกตว่า มาวัดฟังธรรมะ อะไรมันเปลี่ยนแปลงบ้าง ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงเลย ก็แสดงว่ายังไม่เข้าถึงวัด ยังไม่เข้าถึงธรรม ยังไม่เข้าถึงพระ จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในด้านนี้ แต่ถ้าว่าเรารู้สึกว่าจิตใจดีขึ้น สงบขึ้น มีความโกรธน้อย มีความโลภน้อย มีปัญญาขึ้นแล้ว จงพยายามก้าวต่อไป รักษาความดีนั้นต่อไป เพื่อให้เจริญงอกงามไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น เราก็จะได้รับประโยชน์สมความปรารถนา นี่ประโยชน์มันอยู่ตรงนี้ นี่พระศาสนาที่เราควรรักษาอยู่ในรูปอย่างนี้ จึงนำมากล่าวให้ญาติโยมได้เข้าใจ ดังที่ได้แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้.
<< ย้อนกลับ
» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
» หลักใจ
» เกิดดับ
» มรดกธรรม