ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร


ธรรมบรรยายของ หลวงพ่อปัญญา

เรื่อง เสรีต้องมีธรรม

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2525

2

หรือว่าคนที่มีความรู้ในทางด้านอื่น เป็นสถาปนิกวิศวกร เรียนในเรื่องอะไรต่างๆ นาๆ เวลามีปัญหาเกิดขึ้นก็จนตา เข้าตาจนทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร เลยก็ต้องหันเข้าหาสุราเมรัย ดื่มกันเป็นการใหญ่ พวกนักเขียนนวนิยาย ถ้าพระเอกกลุ้มใจก็ให้กินเหล้าทุกที แล้วก็ให้เด็กอ่าน เด็ก ก็จะจำไว้ว่า กลุ้มใจต้องกินเหล้า กลุ้มใจต้องไปเที่ยวดูหนังฟังเพลง แล้วมันแก้ได้เมื่อไร มันก็แก้ไป อย่างนั้นมันไม่มีทางจะแก้ได้ เพราะว่าคนเหล่านั้น ก็ไม่ได้ศึกษาแนวทางชีวิตในแง่ธรรมะ ไม่เอาธรรมะ ไปปลอบโยนใจพระเอก หรือว่านางเอกเกิดกลุ้มใจขึ้นมา เขียนให้ร้องไห้ หมอนทั้งใบเปียกโชกไปด้วยน้ำตา ที่หลังออกมาในยามราตรี ว่าได้สวยอย่างนั้น แล้วมันช่วยอะไรได้ ไอ้น้ำตาที่หลั่งออกมาทั้งคืน มันช่วยอะไรได้ ตื่นเช้าก็ตาบวมเท่านั้นเอง เป็นโรคตาแดงตาแปียก ตาแฉะต่อไป มันไม่ได้ช่วยอะไรในการทำเช่นนั้น ทำไมเราเขียนไว้อย่างนั้น น่าจะเขียนเสียให้มันดีกว่านั้นซักหน่อย หรือว่าเวลากลุ้มใจ ก็เขียนให้ไปคิดว่า เอ เราจะไปหาใครดี กลุ้มใจนี่ควรจะไปหาใครดี แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร

เคยมีเรื่อง ในสมัยพระพุทธเจ้า ยังดำรงชีวิตอยู่ คือพระเจ้าอชาตศัตรู แกทำบาปหนัก บาปหนักถึง กับฆ่าพ่อ จับพ่อไปขังไว้จนตาย แล้วมาเกิดรักพ่อขึ้น เมื่อพระมเหษีคลอดลูก ในวันที่มเหษีคลอดลูก พ่อก็ตายวันนั้น เรียกว่าตัวตายตัวแทนกัน มหาอำมาตย์สองคนเข้าไปรายงานเหตุการณ์ ก็ปรึกษากันว่า เราจะไปรายงานอะไรก่อน เกิดกับตายก็คิดว่า ไอ้เรื่องเกิดมันเป็นเรื่องน่าฟัง ไอ้เรื่องตายไม่น่าฟัง รายงานเรื่องเกิดก่อนดีกว่า คนหนึ่งก็เข้าไปกราบทูลว่า พระมเหษีคลอดพระโอรส เป็นชายพระเจ้าค่ะ พอรู้ว่ามเหษีคลอดลูกเป็นชาย ไอ้สัญชาตญานความเป็นพ่อมันเกิดขึ้นทันที เกิดรักลูกขึ้นมาเชียว มันเป็นอย่างนั้น คนเรานี่นี่พ่อนั่งอยู่ตรงนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า พอรู้ว่าภรรยาคลอดลูก ความเป็นพ่อมันเกิดขึ้น มันรักลูกขึ้นมาทันที พอรักลูกขึ้นมาทันที คิดว่าพ่อคงรักเรา เหมือนเรารักลูก ก็นึกว่า แหมเราเอาพ่อไปขังไว้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ อำมาตย์คนที่สอง คลานเข้าไปกราบทูลว่า พระราชบิดาของพระองค์ สวรรคตแล้วพระเจ้าค่ะ ใจหายลงไปทันที เหี่ยวเหมือนกับต้นไม้ถูกน้ำร้อนลวก เหี่ยวลงไปทันที เหี่ยวเฉาลงไปทีเดียวมี ทุกข์มาก ทุกข์เหลือเกิน

คืนวันหนึ่ง กำลังนั่งตากอากาศ อยู่บนปราสาทชั้นบน นี่เรียกว่า เขาทำเป็นลานไว้ข้างบนปราสาท เดือนหงายๆ ขึ้นไปนั่งตากอากาศ ก็ปรารภกันขึ้นว่าเดือนหงายๆ อย่างนี้ จะทำอะไรดี อำมาตย์ บางคนก็บอกว่าเดือนหงายอย่างนี้ ก็ต้องหาสุรามาเลี้ยงกัน มีกับแกล้ม มีนางฟ้อน มารำให้ดูในแสงจันทร์สลัวๆ พระราชาฟังแล้วก็เฉยๆ แล้วก็ถามคนอื่น คนอื่นบอกว่าเดือนหงายๆ อย่างนี้มันน่าจะไปป่า ไปล่าเสือ ล่ากวาง ยิงกระต่าย พระเจ้าแผ่นดินฟังแล้ว ไอ้นี่ไม่ไหว เบียดเบียนสัตว์ มันไม่ใชเรื่องที่ควรกระทำ แล้วก็มีคนหนึ่งบอกว่า เดือนหงายๆ อย่างนี้ควรจะไปหาสมณะ ที่มีความสงบทางจิตใจ เพื่อที่จะได้ศึกษาทางธรรมะ เอามาเป็นเครื่องใช้ ในชิวิตประจำวัน เออ เข้าทีๆ พระราชาได้ฟังเช่นนั้นก็ตรัสว่า เข้าทีๆ แล้วเราก็จะไปหาใครดีในคืนวันนี้ แสดงให้เห็นว่าอชาตศรัตรู ยังไม่ได้เจอพระพักต์พระพุทธเจ้า ยังไม่ได้เข้าใกล้ คือเข้าใกล้เหมือนกัน แต่ว่าใกล้เทวทัต แทนที่จะเข้าหาพระพุทธเจ้า ไปเข้าหาพระเทวทัต ซึ่งเป็นยอดอันธพาลชั้นหนึ่งของโลก รังแกจนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ยอดอันธพาล เลยก็ไม่รู้เรื่องอะไร เทวทัตชวนให้จับพ่อไปขังเสียมั่ง อะไรต่ออะไร วุ่นวายไปหมด นี่คบคนพาลก็มัน อย่างนั้น มันก็ได้แต่เรื่องพาลๆ ถ้าคนดีมันก็ได้เรื่องดี ก็เลยถามว่าเราควรจะไปหาใคร ใครเป็นลูก ศิษย์ใคร ก็อยากให้พระเจ้าแผ่นดิน ไปหาผู้นั้น ลูกศิษย์ของนิคันถนาถบุตร ก็ต้องไปหานิคันถนาถบุตร นิคันถนาถบุตร สอนว่าอะไร ย่อๆ เล่าให้ฟัง ว่าควรไปหาครูคนนั้น ครูคนนี้ หลายคน มีตั้งหกคน ที่มีชื่อเสียงอยู่ในพุทธกาล

พระราชาฟังแล้วก็ไม่พอพระทัย หมอชีวิกโกมารภัทท์ ก็นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย หมอนี่แกเป็นลูกศิษย์ ของพระพุทธเจ้า เคยเข้าใกล้ฟังธรรมอยู่เสมอ เลยกราบทูลว่าเดือนหงายๆ อย่างนี้ควรจะเข้าเฝ้า พระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธะเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พอกราบทูลเช่นนั้น อชาตศรัตรูก็นึกว่า เออ พ่อเราเลื่อมใสพระพุทธเจ้า สร้างวัดเวฬุวัน ถวายพระพุทธเจ้า เคยบำรุงอุปัฏฐากอยู่ตลอดเวลา เรามันลูกนอกคอก ไม่เดินตามเส้นทางของพระบิดา ไปคบหาเทวทัต ภิกษุใจพาล เราก็เสียผู้เสียคนไป ถึงเวลาแล้ว เราควรจะได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็เลยรับสั่งว่า เอาละเราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เตรียมช้าง

สมัยนั้นเขาใช้ช้างเดินทาง ประทับบนหลังช้าง เข้าไปที่วัดของหมอชีวกโกมารภัทร์ เรียกว่าชีวกัมพวัน ก็อยู่ในเมีองราชคฤห์ เสด็จไปจนถึงบริเวณ ก็ลงจากช้าง แล้วก็เดินไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งอยู่ ท่ามกลางหมู่สงฆ์จำนวนมาก พระเจ้าอาชาตศัตรูถามว่า องค์ใหนเป็นพระพุทธเจ้า แปลว่าพระที่นั่งนั้นสงบเหมือนกัน พระพุทธเจ้านั่งอย่างไร พระนั่งอย่างนั้น กิริยาอาการสงบเสงี่ยมเหมือนกัน จนดูไม่ออกว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร หมอบอกว่า องค์ที่นั่งตรงกลางอิงเสานั้นแหละ เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เดินขาสั่นเข้าไป เลยทีเดียว เดินขาสั่นกลัวพระพุทธเจ้า ทำไมจึงได้เกิดความกลัว คนมีความผิดแหละมันกลัว เรามีอะไร ผิดอยู่ในใจ ลูกมีอะไรผิด คุณแม่เรียกนี่ หน้าตาไม่ค่อยดีเลอกลักๆ เดินเหินก็จะสดุดอะไรต่อไร เพ่นพ่านไปหมด ใจมันไม่ดี เพราะตัวมีความผิดนัก ว่าคุณแม่จะเรียกไปเทศน์แล้ว เลยกลัว ลูกศิษย์ทำผิดพอครูเรียกนี่ เอ ไม่รู้เรื่องอะไรเรื่อง นี้เรามันไม่ค่อยดีกลัวไปนั้น บางทีครูไม่รู้เรื่อง แต่กลัวไปแล้ว อันนี้เขาเรียกว่า เป็นปัจจัตตัง เป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครผิด คนนั้นรู้ด้วยตัวเอง เดือดร้อนตัวเอง คนอื่นรู้ไม่รู้ ตัวก็เดือดร้อนแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวแท้ๆ เข้าไปหาครูก็เดินสั่นๆ ครูแกมีจิตวิทยาก็เลยขู่เอา ว่าทำไมอย่างนั้น อย่างนี้ มีอะไรบกพร่อง แล้วแสดงออกมาเท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้น

พระสงฆ์องค์เจ้านี่ ชาวบ้านบางทีกลัวเหมือนกัน พระที่เป็นนักเทศน์ นักสอนธรรมะ ไม่อยากเข้าใกล้ เขาบอกว่าท่านดุนัก ไม่อยากเข้าใกล้ ความจริงพระไม่ได้ดุอะไรหรอก แต่ว่าเข้าใกล้แล้วชอบสอน ชอบเตือน เลยไม่กล้ามา กลัวจะถูกสอนกลัวจะเตือน กลัวเขาจะจับอาบน้ำ ขัดถูขี้ไคลให้เลยไม่อยากจะมา อยากจะอยู่ไอ้แบบสกปรก อยู่ตลอดเวลา มีคนประเภทนั้นมันก็เยอะ ไม่อยากเข้าใกล้พระ กลัวจะถูกอาบน้ำ แล้วมันจะสะอาด อยากจะอยู่อย่างสกปรกต่อไป แบบนั้นมันก็มี แต่ถ้าจำเป็นต้องเข้าก็เดินขาสั่น พระเจ้าอชาตศรัตรู ก็เดินขาสั่น เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าๆ ท่านปลอบโยนด้วยการทักก่อน พอเข้ามาในระยะก็ ทรงเรียก "เอหิ อชาตศรัตรู" ก็ว่าถวายพระพร "เสด็จมาตรงนี้ มหาบพิตรเสด็จมาตรงนี้" ใจชื้น ใจชื้นขึ้น มาว่า โอ พระพุทธเจ้ารู้จักเรา อุตส่าห์ออกชื่อเรา ค่อยสบายใจ เข้าไปนั่งก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่ค่อยสบาย เท่าใดนัก

นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นเรื่องนี้ว่า คนเรามีปัญหานี่ควรจะไปวัด ไปหาพระเพื่อปรึกษาปัญหาชีวิต แต่ว่าคนบางคนไม่ไปหาพระ ไปหาพระพุทธรูปเลย ไปหาพระพุทธรูป ท่านพูดได้เมื่อไร พระพุทธรูป ท่านพูดไม่ได้ เราก็ไปนั่งพึมพัมอยู่คนเดียว แต่ว่าหาวิธีว่าจะทำอย่างไร วัดเขาก็เก่งเหมือนกัน เอาไม้ กระบอกมาวางไว้ เอาไม้ไผ่เหลาเล็กๆ ใส่ไว้ เขียนเลขไว้ เรียกว่าเป็นสะพานคุยกับพระพุทธเจ้า พวกนั้นก็ไปนั่งสั่น กรอกแกรกๆ ตามเรื่อง เรียกว่าเป็นคนปัญญาอ่อน ก็ว่าได้ ไปนั่งสั่นเรื่อยไป หล่นลงมาซักอัน ก็แหมดีใจ แหงนหน้าดูพระพักต์พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ให้แล้วแหละ อันนี้เรียกว่าโง่ ไม่ใช่เรื่องอะไร ความจริงแขนของตัวเองหาเรื่องเอง แล้วก็ไปนึกว่า พระให้เอามาอ่าน ว่าใบนี้ก็ดีแท้ ของหายก็จะได้คืน ทรัพย์จากไปก็จะมา โรคาก็จะหาย อันนี้ก็เป็นอุบาย ของคนพิมพ์ใบเซียมซี เรียกว่าร้อยใบ ก็จะให้ดีไว้เก้าสิบห้าใบ ไอ้คนไหนที่มันซวยเต็มที ไปสั่นถูกเข้ากับห้าใบนั้นมันแย่ มันเป็นอย่างนั้น ก็เลยไปสั่นกันอยู่อย่างนั้น

เรียกว่าไปหาพระก็ไม่ถูกพระ ไปหาแบบขอร้องบนบานศาลกล่าว เราควรจะมาหาพระสงฆ์ มาบอกให้ทราบ ว่ามีโรคทางใจ มีปัญหาทางใจเรื่องอะไรๆ อยู่จะแก้อย่างไร จะคิดอย่างไร จะทำใน ใจอย่างไร พระท่านก็จะแนะนำให้ ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้เราเกิดปัญญา เกิดความคิดความอ่านรู้ จักปลงรู้จักวางในความทุกข์นั้นๆ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป นี่จึงจะเป็นการถูกต้อง ธรรมะจะช่วยเรา ในเมื่อเราเข้าหาธรรมะ แต่ในเมื่อเราไม่เข้าหาธรรมะๆ จะช่วยได้อย่างไร ยาอยู่ในขวด จะช่วยคนให้หายป่วยได้อย่างไร หายไม่ได้ ต้องกินยานั้น ตามที่นายแพทย์สั่ง กินกี่เวลาเช้าหรือเที่ยงเย็น ก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร กินให้มันถูกต้อง ตามที่หมอสั่ง โรคก็จะหาย ธรรมะก็เป็นอย่างนั้นแหละ ธรรมะเป็นโอสถ แก้โรคทางจิตทางวิญญาน เราก็ศึกษา เอามาใช้เป็นหลักปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน

ความจริงคนเรา มันต้องอ่านธรรมะทุกวัน อ่านธรรมะทุกวัน ฟังธรรมะทุกวัน แต่ว่าสมัยก่อนนี่ลำบาก หนังสือไม่ค่อยมีอ่าน มีอยู่ก็ในหอไตร หอไตรก็เอาไปอ่านไม่ไหว หนังสือใน หอไตรนั่น อ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง สมัยนี้หนังสือเยอะแยะ เราควรจะซื้อไปไว้อ่านบ่อยๆ เมื่อมีปัญหาอะไรขึ้น ก็อ่านๆ ไว้ กลุ้มใจอ่านหนังสือ ไม่สบายใจเข้าห้องอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือ ก็เหมือนกับว่า เราเข้าใกล้พระธรรม เราเข้าใกล้พระพุทธเข้าใกล้พระสงฆ์แล้วอ่านบ่อยๆ ก็จะได้เอาไปนึกใช้ได้ทันท่วงที อ่านหนังสือ หรือไม่นั้นเราฟังธรรมะบ้าง สมัยนี้สะดวกมาก เพราะว่าธรรมะมันอยู่ในเทปอัดเสียง เขาทำไว้เยอะแยะ เราก็มีซึ้อวิทยุก็มี ฟังกันอยู่ทั่วไป แล้วเทปมีก็อย่าฟังแต่เพลง เธอจ๊ะเธอจ๋า เราก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ฟังก่อนนอนก็ได้ ฟังตื่นนอนก็ได้ นั่งรับประทานอาหาร ก็เรียกว่าเอาเทปธรรมะปลอบใจ ต่างเสียงเพลงยามอาหาร อะไรไปตามนั้น มันก็ดีขึ้นได้ประโยชน์

เพื่อนฝูงมาเยียมมาเยือน คุยเรื่องงานเรื่องการกันเสร็จแล้ว ฟังนี้หน่อยเอาธรรมะมาเปิดให้ เพื่อนฟัง หรือว่าเปิดธรรมะให้ฟังก่อน เรื่องงานเอาไว้พูดกันทีหลัง ใจมันสงบแล้วคุยกันสบาย มีปัญญามี ความคิดความอ่าน เราเอาธรรมะไปเลี้ยงเพื่อน ต้อนรับเพื่อนด้วยน้ำเย็นไป ตามเรื่อง แต่ว่าธรรมะ ก็ต้องเอามาต้อนรับด้วย เลี้ยงเขาด้าย เพื่อนที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังธรรมะเมื่อได้ ยินเข้าจะรู้สึกประหลาดใจ รู้สึกว่าโอ อ้ายนี้มีประโยชน์แก่ชีวิตของเรา เขาจะสนใจในวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่งของชีวิต เราได้จูงเพื่อนของเรา ที่เดินหลับตาคลำโลกอยู่นั่น ให้ได้ลืมหูลืมตา หันหน้าเขาหาธรรมะ สักรายสองราย นับว่าเป็นการช่วยอย่างประเสริฐ ช่วยอย่างประเสริฐที่สุดแล้ว ให้ของประเสริฐแก่เพื่อนแล้ว ดึงเพื่อนเขาหาสิ่งถูกต้องแล้ว เราควรอิ่มใจ นี้เรามีเพื่อนทั้งนั้น

ในสำนักงานเพื่อนของเรา แต่เราเคยชวนเพื่อน มาในทางที่ถูกต้องบ้างไหม ชวยเพื่อนให้เกิด ปัญญา ความคิดความอ่าน ในเรื่องชีวิตถูกต้องไหม น้อยมากที่จะชวนกัน เวลาพบกัน ก็ได้แต่วางแผนว่า เย็นนี้จะไปดูหนังกันที่โรงไหน หรือจะไปกินข้าวกลางวันกันที่ไหน วางแผนแต่เรื่องของวัตถุ แต่เราไม่วางแผนเรื่องของธรรมะกับเพื่อน ไม่หาโอกาสคุยธรรมะให้เพื่อนฟัง กลัวเหมือนกัน กลัวว่าเขาหาว่าแก่วัดไป แก่ธรรมะไป การแก่วัดแก่ธรรมะนี้ ดีว่าการแก่เหล้า แก่การพนันขันต่อ เพราะว่าการแก่เหล้านี้มันขาดทุน แก่การพนัน แก่การเที่ยวกลางคืน แก่เรื่องเหลวไหล มันไม่ได้เรื่องอะไร แต่ถ้าเพื่อนหาว่า คุณยายมาอีกแล้ว แต่พอเราจะกล่าวธรรมะ ก็กล่าวว่าจะเทศน์อีกแล้ว ชั่งเขา เราก็ชวนพูดชวนคุยไป หาโอกาสสนทนาไป เพื่อนก็ค่อยซึมซาบเข้าไป ทีละน้อยๆ

วันอาทิตย์นี่ เรามาวัด นัดเพื่อนมามั่ง ชวนเพื่อนว่า เออ วันนี้ไปวัดกันน่ะ ถ้าเรามีรถ ก็เอาไปรับเพื่อนมามั่ง รับเพื่อนมาวัด นี่แหละคือการสงเคราะห์เพื่อน ด้วยความดี สงเคราะห์ด้วยธรรมะ สงเคราะห์เพื่อนด้วยธรรมะ เป็นการสงเคราะห์ที่มีคุณค่า มีราคา ทำ ให้ชีวิตของเขาดีขึ้น ไม่ได้ช่วยแต่เพื่อนคนนั้น แต่ว่าช่วยให้คนในครอบครัวดีขึ้น ให้การงานดีขึ้น ให้ประ เทศชาติดีขึ้น เพราะคนได้หันหน้าเข้าหาธรรมะ ได้ปฏิบัติธรรมะ นี่โรงเรียนพาเด็กมาวัด นับว่าดี นี่วันนี้ หนูๆ เขามากัน โรงเรียนวัดระฆัง โรงเรียนสตรีวัดระฆัง อยู่ไม่ใช่ใกล้ อุตส่าห์มาฟังถึงวัด ความจริงที่วัด ระฆังก็มี มีหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์โต แต่ว่าท่านพูดไม่ได้ ท่านสิ้นบุญไปเสียแล้ว ก็เลยต้องพามาที่วัด ที่พระพูดได้หน่อย เลยพามา ทุกวันอาทิตย์ ครูจะพาเด็กมา วันเสาร์ก็มาเดี๋ยวนี้ วันเสาร์โรงสตรีนนท์ เขามากัน วันเสาร์ละห้อง มาตอนเช้า แปดโมงมาถึง แล้วก็สวดมนต์ เสร็จแล้วก็พระพูดธรรมะให้ฟัง นี่แหละประเสริฐแล้ว

ครูโรงเรียนไหนที่พาเด็กมาเข้าวัด เรียกว่าเป็นครูที่ประเสริฐ เป็นครูที่ดีแล้ว เพราะว่าครูไม่ดี ก็ไม่กล้านำเด็กเข้ามาวัด กลัวเด็กจะรู้ธรรมะ แล้วครูก็ไม่สบายใจ ไม่ใช่เรื่องอะไร นี่แสดงว่าครูนี่เรียบร้อย เพราะฉะนั้น กล้านำเด็กมาที่วัด ไม่กระดากอะไร นำมาเถอะ มาบ่อยๆ อย่างน้อย เขาได้เกิดความคิด เกิดปัญญา สิ่งที่เขาฟังไว้นั้น อาจจะไม่ได้ใช้เวลานี้ก็ได้ แต่เมื่อโตขึ้นบางทีก็ใช้ เขาเอาไปใช้ เขามีความทุกข์ขึ้น โอ แหม หลวงพ่อองค์นั้นเคยเทศน์ให้เราฟัง แล้วเขามาหาที่พึ่งทางใจ เคยมีเด็กคนหนึ่ง มันมีความทุกข์มาก คิดจะไปฆ่าเขา แต่นึกว่า ฆ่าคนนี่มันบาปขนาดไหน ลองถามพระดูก่อน แล้วก็ส่งจดหมายมาถามอาตมา เพราะว่าเคยไปเทศน์ ที่โรงเรียน เมื่อเขาเรียนหนังสือ

เขารู้ทางหนังสือพิมพ์ว่า หลวงพ่อปัญญานันทะ อยู่วัดชลประทานฯ เขียนมา พออ่านแล้วรีบเขียนตอบทันที อาตมานี่ไม่ค่อยตอบจดหมายคนเท่าใด แต่ว่าไอ้อย่างนั้น มันต้องรีบตอบ เพราะมันเป็นเรื่องเข้าด้ายเข้าเข็ม ฉิบหายแล้ว เลยต้องเขียนไป พอเขียนไปแล้วเขาก็สบายใจ เขาเลิกละความคิดที่จะไปทำร้ายคนอื่น แม้คนอื่นทำ ร้ายตัว ก็ให้อภัยไป นี่คือประโยชน์ที่ว่า เมื่อเด็กเขาได้ฟังธรรม พอเขามีความทุกข์ เขานึกถึงพระที่เคย เทศน์ให้เขาฟัง นึกถึงธรรมะขึ้นมา เลยช่วยให้เขาไม่ต้องเป็นอาชญากรฆ่าคน เพราะฉะนั้น เราช่วยกันดึงคนเข้ามา เข้าวัดเข้าวา ดึงไม่มาก็เอาเทปไปเปิดให้ฟังที่บ้านก็ได้ วันเกิดนี่เราส่งเทปไปให้เขาฟัง หนังสือธรรมะ เทปอัดเสียง รู้ว่าวันเกิดใครก็ส่งไปเป็นของขวัญวันเกิด ดีกว่าเอาดอกไม้ไปให้

ดอกไม้ ดูตอนเช้า ตอนบ่ายเหี่ยวแล้ว ตอนเย็นขว้างแล้ว มันไม่ได้เรื่องอะไร แต่ว่าธรรมะ มันไม่เหี่ยวมันไม่แห้ง เราให้เขาแล้วมันก็อยู่ถาวร เขาได้เปิดฟังแล้วก็สบายใจ เขาได้ความรู้ความเข้าใจ เป็นเรื่องดีกว่า ให้ของขวัญด้วยดอกไม้ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน วันเกิดรัฐมนตรีอะไรอย่างนี้ เอาธรรมะเทปท่านปัญญา ส่งไปให้มั่งลองดู เผื่อว่าฟังแล้วจะได้รู้สึกตัวว่า กูนี่กำลังเลอะแล้ว แล้วก็จะได้แก้ไขเสียบ้าง ด้วยอำนาจธรรมะ ที่เราเอาไปให้เป็นของขวัญ ให้ท่านได้ฟังบ้าง บางโอกาสมันดีขึ้น คนเรามันจะดีขึ้น เมื่อได้เข้าไปหาพระ ได้นำพระมาใส่ไว้ในใจ แล้วก็รักษาพระนั้นไว้ชั่วชีวิต รักษาพระไว้ชั่วชีวิตของเรา จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร ต้องอยู่ในขอบเขตของพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า เรารัก เราซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า เมื่อเรามีปัญหาอะไร ก็นึกถึงท่าน นึกถึงคำสอนของท่าน นึกถึงพระสงฆ์อริยสาวก ของพระพุทธเจ้า เราก็สบายใจ นี่เป็นเรื่องที่น่าคิดสำหรับในสมัยยุคปัจจุบันนี้

จึงนำมาพูดให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง วันนี้นายแพทย์ โรงพยาบาลเลิศสิน ก่อนนี้เคยไปเทศน์ หมู่นี้ก็นานแล้ว ไม่ได้นิมนต์ไปเทศน์ วันนี้ก็เลยเอาวิดีโอเทปมาอัด อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ดูรูปด้วย ได้ฟังเสียงด้วย ก็ตื่นเต้นนิดหน่อย อาตมาไปทเทศน์บางทีก็อย่างนั้น เอาไปถ่ายทอดไป อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ประโยชน์แก่คนเหล่านั้น ได้รับฟังกัน สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติคำกล่าวปาฐกถาไว้แต่เพียงนี้.

<< ย้อนกลับ

» มองทุกให้เห็นจึงเป็นสุข

» ทุกข์ซ้อนทุกข์

» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย

» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่

» มันเป็นเช่นนั้นเอง

» ศีลธรรมและสัจจธรรม

» แหล่งเกิดความทุกข์

» องค์สามของความดี

» หลักใจ

» ทำดีเสียก่อนตาย

» ตามรอยพุทธบาท

» ฐานของชีวิต

» ความพอใจเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

» ชั่งหัวมัน

» อนัตตาพาสุขใจ

» ฤกษ์ยามที่ดี

» อดีต ปัจจุบัน อนาคต

» วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า

» สำนึกสร้างปัญญา

» สอนลูกให้ถูกวิธี

» ปฏิวัติภายนอกกับภายใน

» ร้อนกายไม่ร้อนใจ

» อย่าโง่กันนักเลย

» การทำศพแบบประหยัด

» คนดีที่โลกนับถือ

» ความจริงอันประเสริฐ

» เสรีต้องมีธรรม

» ทาน-บริจาค

» เกียรติคุณของพระธรรม

» เกียรติคุณของพระธรรม (2)

» พักกาย พักใจ

» เกิดดับ

» การพึ่งธรรม

» อยู่ด้วยความพอใจไม่มีทุกข์

» มรดกธรรม

» ฝึกสติปัญญาปัญหาไม่มี

» ทำให้ถูกธรรม

» วางไม่เป็นเย็นไม่ได้

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย