ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
เรื่อง การทำศพแบบประหยัด
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2525
2
ถ้าผ้าไตรร้องได้ แหมกูนี่ถูกทอดหลายหนแล้วนา
ยังไม่มีใครเปิดถุงพล๊าสติกออกใช้เลยสักรายเดียว มันเป็นอยู่อย่างนั้น
นี่เขาเรียกว่าทำซ้ำไปซ้ำมากันอยู่อย่างนั้น เราไม่ได้คิดว่าเราทำทำไม ทำเพื่ออะไร
การที่เอาผ้าไปทอดนั้น เพื่อถวายผ้าแก่พระ แล้วถ้าพระท่านมีผ้าใช้อยู่แล้ว
จะไปทอดทำไม สมมติว่าญาติทำศพที่วัดมกุฎฯ หรือวัดโสมฯ นี้
อาตมามีผ้าก็ไม่เอาไปอนุโมทนา เพราะว่าพระวัดนั้นมีผ้าเยอะแยะแล้ว ทอดกันบ่อยๆ
จะเอาไปอนุโมทนาทำไม แล้วจะเอาไปอนุโมทนา ก็เอาหนังสือไปเท่านั้นเอง
เอาไปบอกว่า เอ้า เอาหนังสือไปถวายพระ ให้พระอ่านเสียบ้าง
จะได้ฉลาดเสียบ้าง คิดแต่อย่างนั้น แต่ว่าจะให้เอาผ้าไปไม่เอาไป
เพราะว่ามันเยอะแยะแล้ว แล้วอาตมาไปดู มีอยู่องค์หนึ่ง ขึ้นทุกทีองค์นั้น ไปเห็น
เอ๊ะองค์นี้อีกแล้ว ที่กุฏิมีสักกีร้อยไตรก็ไม่รู้ เพราะไปทุกทีก็เจอองค์นั้นทุกที
แต่ความจริงนั้นผ้าไม่ได้ไปถึงกุฏิหรอก เขาเอาคืนมาในป่าช้า
หมุนไปหมุนมากันอยู่อย่างนั้นแหละ เราทำทำไม ทำอย่างนั้น เล่นละคร
เรียกว่าเล่นละครให้คนดูว่า ฉันได้ทอดผ้า พระก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ได้เอาไปใช้
ถึงเอาไปก็ใช้ไม่ได้ เพราะผ้านั้นเป็นผ้าเล็กๆ เขาเรียกว่าไตรหลวง ไตรหลวงใช้ไม่ได้
ของ หลวงนี่ ความจริงสมัยก่อนนี้ในหลวงท่านเจตนาดีจะให้พระได้ใช้
แต่ว่าพวกสังฆการีมันชวนกันกินกระตุ๊บกระตั๊บ เอาไปหมด เหลือแต่ผ้าไม่ได้เรื่อง
เอามาถวายพระ มันเป็นอย่างนั้น จนพระพูดว่า เอ๊ะ ไตรหลวงอีกแล้ววันนี้
หมายความว่าเป็นไตรที่ใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นของหลวง เพราะสังฆการีมันแบ่งเอาไปหมดแล้ว
เหลือมาก็อย่างนั้นแหละ ไตรโยน ไม่ได้เรื่องอะไร อันนี้คือไม่ถูกเป้า
จุดหมายของเราที่เอาผ้าไปทอดนั้น
คืออันแรกทีเดียวนี่ต้องการให้พระไปพิจารณาศพ ช่วยพระ เราต้องการช่วยพระ
เพราะในงานศพนั้น มีคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "พลญฺจ ภิกขูนมนุปฺปทินฺนํ พลัญจะ
ภิกขูนะมนุปปะทินนัง" นี่หมายความว่า เพิ่มกำลังให้แก่พระ
เพิ่มกำลังให้แก่พระในงานศพ ก็เพิ่มทั้งสองอย่าง หนึ่งกำลังกาย เราถวายอาหาร
การขบการฉัน เรียกว่าให้กำลังกาย อันนี้ไม่สำคัญเท่าได
แต่ว่าเพิ่มกำลังอีกอย่างหนึ่ง คือเพิ่มกำลังใจให้แก่พระ คือให้พระได้มาพิจารณาศพ
เพราะศพนี้เป็นดอกไม้ของพระ เป็นสิ่งที่พระควรดูควรชม
แล้วจะได้เอาไปพิจารณาในแง่กัมมัฏฐาน ให้พิจารณาให้เห็นว่า มีความแก่ มีความเจ็บ
มีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะหนีพ้นไปได้ ศพนี้เป็นอย่างใด เราก็จะเป็นอย่างนั้น
นี่คือการพิจารณา
เมื่อเป็นเด็กๆ อยู่ปักษ์ใต้ ถ้าวันมีศพเขาจะเผา เขาต้องยกศพไปวางกลางแจ้ง
ไม่วางบนศาลา ชั้นแรกอยู่บนศาลา แต่พอจะเอาไปเผา เอามาวางกลางแจ้งก่อน เอาไม้รองไว้
แล้วก็เอาผ้าไปพาดปากโลง นิมนต์พระไปชักที่ปากโลง แล้วคำนิมนต์ก็พูดถูกต้อง
ทางปักษ์ใต้พูดถูกต้อง เขาพูดว่า "นิมนต์พิจารณาเจ้าข้า" นิมนต์พิจารณา
เขาไม่พูดว่านิมนต์ไปบังสุกุล เพราะบังสุกุลนี่ไม่ใช่คำว่าพิจารณา "บังสุกุล"
แปลว่าเปื้อนฝุ่นเท่านั้นเอง ผ้าบังสุกุลก็คือผ้าเปื้อนฝุ่น
แต่ว่าปักษ์ใต้เขาใช้คำพูดถูกต้อง พูดว่า "นิมนต์พิจารณาเจ้าค่ะ"
พระก็ต้องไปพิจารนา คือไปพิจารณาศพนั่นเอง
แต่ว่าเขาเอาผ้าวางไว้เป็นทาน เพื่อให้พระได้ชักผ้าผืนนั้นเอาไปใช้
แต่ว่าก่อนจะชักผ้าไปก็ต้องไปยืนก้มอยู่นั้นก็ต้องเห็นศพ
ศพนั้นมีสภาพมีอะไรต่ออะไรไม่น่าดู ถ้าดูให้ติดตาแล้ว ไปกุฏิก็นั่งหลับตาดู
พิจารณาไป ช่วยให้จิตใจสงบ สะอาด สว่าง ทำให้เกิดปัญญา นั่นคือจุดหมาย
ที่เขานิมนต์พระไปเพื่อกระทำอย่างนั้น
พระเรานี่ควรจะดีใจ เมื่อญาติโยมนิมนต์ไปพิจารณาศพ
เพราะเราจะได้มีโอกาสศึกษาเรื่องชีวิตอย่างแท้จริง และฉากสุดท้ายของชีวิต
ก็คือความตาย ไม่ได้อะไรก็ไปดูเถอะ จะได้ประโยชน์ทางจิตใจ
ทายกก็ได้ให้อาหารใจแก่พระ นั่นคือจุดหมายที่แท้จริง ต้องการให้พระไปพิจารณาศพ
แต่เวลานี้เราไม่ได้เปิดหีบให้พระพิจารณา เราเอาสายสิจน์ผูกไป
กลายเป็นประเพณีไป เป็นธรรมเนียมไป ไม่เข้าถึงเนื้อแท้ของเรื่อง
เนื้อแท้ของเรื่องก็ ต้องเปิดหีบเลย เปิดแล้ววางไว้ก่อน อย่าให้ใครยุ่ง
ให้พระไปดูแล้วก็จะได้เป็นภาพเตือนตาเตือนใจ มีจุดหมายอยู่ที่ตรงนั้น
เอาผ้าไปทอดเพื่อจะได้ถวายผ้าท่านบ้าง เพื่อไห้ท่านเอาไปใช้ นี่คือจุดหมาย
เพราะฉะนั้น เมือเราเห็นว่า ผ้าที่จะเอาไปบังสุกุลนั้น
ถ้าจะให้พระเอาไปใช้ได้ ก็ซื้อผ้าที่ใช้ได้ ไม่ต้องมากมายเกินไป
เอาสักไตรหนึ่งก็ให้ใช้ได้ สักผืนหนึ่งก็ใช้ได้ อย่าไปนึก แหมศพนั้นเขาทอดทั้งไตร
เรามันต้องทั้งไตรบ้าง แต่ให้นึกว่าทั้งไตร มันใช้ได้หรือเปล่า
แล้วสบงผืนเดียวใช้ได้ อันไหนมันจะดีกว่ากัน
มันสู้สบงผืนเดียวใช้ได้ดีกว่าทั้งไตรมันใช้ไม่ได้ ผืนเดียวใช้ได้
มันเป็นประโยชน์กว่า เราก็ควรจะถือด้านที่ว่าเป็นประโยชน์กว่า ดีกว่า
เราก็ทำในรูปอย่างนั้น
เรื่องนี้มันเรื่องเกียรติ ที่เอาไปทอดกัน ทอดทีละเท่านั้นไตรเท่านี้ไตร
มันมากมายก่ายกอง เป็นเรื่องเกียรติเท่านั้น ให้คนอื่นเห็นว่า
บังสุกุลมากมายทีเดียว แต่ว่าเวลาอื่นนั้นไม่ค่อยพิจารณาอะไร นี่คือไม่ถูกต้อง
ถ้าถูกต้องเราก็ทำ ได้โดยไม่ต้องเสียอกเสียใจในเรื่องอย่างนั้น นั่นเอาขึ้นเผา
แล้วก็ชักมหาบังสุกุลไปตามเรื่องตามราว
อีกอันหนึ่งที่ควรจะแก้ไขก็คือว่า เวลาตั้งศพอยู่ บำเพ็ญบุญ
ทุกคนที่มาต้องจุดธูป จุดคนละก้านๆ นี่โยมรู้ไหมว่ามลพิษมันเท่าไร
ควันธูปที่กลบศาลาเป็นมลพิษเท่าใด อาตมาไปนั่งในศาลาแล้วมันสำลักทุกที มันไอทุกที
เพราะควันธูปเข้าปากเข้าคอ มันเป็นพิษแก่ร่างกาย หรือว่าเวลาเทศน์
โยมคนไหนที่ไม่ชอบฟังเทศน์ นั่งจุดธูปเล่น คอยจุดไม่ให้ธูปดับ หูไม่เอา
ไม่ได้จุดใจให้สว่าง คอยแต่จุดธูปอยู่อย่างนั้น ก็ต้องดุว่า
โยมนี่มาจุดธูปหรือว่ามาฟังเทศน์ เลยถอยไป แกก็ถอยไป ก็ไม่รำคาญต่อไป
เราเผาทำไมนักหนา จุดอะไรนักหนา
อาตมาอยากจะให้เอาอย่างในหลวง คืองานหลวง ในที่นี้โกฏิ
มีเครื่องที่ใส่โกฏิมีค่า แต่ว่าของอื่นน้อยๆ ไม่มากอะไร
โต๊ะบูชาอะไรเขาไม่มีมากอะไร ในงานหลวงมีนโยบายประหยัดอยู่เหมือนกัน
เขาไม่มีอะไรมาก เขาไม่ให้ตั้งอะไร ของหลวงมีเท่านี้ ของอื่นตั้งไม่ได้
นี่คือช่วยเจ้าภาพอยู่ในตัว แล้วไม่ให้เพิ่มอะไร แล้วศพที่ใส่โกฏินี้
ไม่มีการจุดธูปบูชา ไม่มีการจุดเทียนบูชา ทำไมเขาไม่ให้จุดบูชา ปูพรมสวยๆ งามๆ
ให้คนจุดมาก เดี๋ยวมันก็ไหม้พรม
เหมือนกับเทียนวัดเบญจมบพิตร มันกลายเป็นเทียนอัปราชัยไป
มันล้มลงมาไหม้พรมในโบสถ์หมด แล้วควันกลบไปทั้งโบสถ์ หลวงพ่อก็เลยถูกรมดำไปด้วย
ย่างหลวงพ่อเสียเลย แทนที่จะเสกให้ดี เสกให้หลวงพ่อดำไปเสียเลย นับว่าเก่งเหมือนกัน
จุดจนหลวงพ่อจากทองกลายเป็นดำไปเลย นี่มันเรื่องอะไร เพราะควันมากเสียหาย
จึงอยากจะแนะนำว่า ไม่จำเป็นจะต้องจุดธูปอะไร เราไปถึงเราก็นั่งลงกราบ นั่งลงกราบ
แล้วก็นั่งสงบใจ นึกแผ่ส่วนบุญให้แก่ผู้ตาย หรือหลังจากนั้น เราก็นั่งบอกตัวเอง
แล้วบอกว่า นี้แหละ ดูไว้บ้างเถอะ ชีวิตคนมันก็เท่านี้แหละ
อยู่ในโลกวุ่นวายกันไปตามเรื่องตามราว แต่ผลที่สุดมันก็ตายอย่างนี้
ตายแล้วเอาอะไรไปได้บ้าง ตึกแถวไร่นาสาโท เงินทองในธนาคาร หรือเอาอะไรไปได้บ้าง
ไม่มีอะไร มาเปล่า ไปเปล่า
สอนตัวเองด้วยการนั่งพิจารณาที่ศพ ได้ปัญญา
แทนที่จะไปยุ่งกับจุดธูปจุดเทียนอยู่ เรามากันมากคน เป็นชุด มาเป็นชุด
มาถึงเราก็ยืนสงบใจ สงบใจแล้วก็คำนับศพพร้อมกัน แล้วก็ยืนสงบใจอีกหน่อยหนึ่ง
แล้วก็ถอยมา มันก็เท่านั้น หมดเรื่องแล้ว ไม่ต้องจุดธูปกัน มา 1 คนจุด 1 ก้าน
คนละก้าน แต่มัน 10 ก้าน 20 คน 30 คน 100 คน ควันกลบศาลาแล้วควันโขมง
แล้วศาลาเดี๋ยวนิ้กระจกทั้งนั้น ปิดกระจกไว้ ยิ่งจุดมากๆ ควันก็มาก มันไม่เหมาะ
น่าจะช่วยกันเลิก คือไม่ต้องจุดอะไร แต่เราไปนั่งจุดใจเราให้สว่างขึ้นด้วยปัญญา
ดีกว่าที่จะไปจุดธูปให้ควันโขมงโฉงเฉง เต็มไปทั้งศาลา นี่น่าจะแก้ไขทำให้ดีขึ้น
เรื่องก็จะได้เบาบางลงไป นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งมีอยู่ในงานศพทั่วๆ ไป
อย่างนี้ก็ต้องแก้ มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น นี่อันหนึ่ง
นอกจากนั้นแล้ว ความสิ้นเปลืองในงานศพนี่ เขาพูดกันว่า
งานศพเมืองไทยสิ้นเปลืองมากที่สุดในโลก มีคนกลุ่มหนึ่ง เขาไปหาข้อมูล
เรียกว่าไปสำรวจตามวัดต่างๆ ตามงานศพ คุยกับคนทำศพ ปรากฏว่าสิ้นเปลืองมาก
ทำศพแบบไทยสิ้นเปลืองมาก
ยิ่งทำศพแบบพี่น้องชาวจีนสิ้นเปลืองมาก โลงนี้ก็แพงแล้ว โลงจำปาก็แพง
ความจริงโลงจำปาเดี๋ยวนี้มันโลงหลอกแล้ว ไม่ใช่เอาไม้ทั้งต้นขุดเหมือนเมื่อก่อน
ก่อนนั้นเอาไม้ทั้งต้นมาขุดลงไป แล้วก็เรียกว่าโลงจำปา เดี๋ยวขุดไม่ได้
เพราะไม้ไม่มี ก็เอาไม้มาประกอบเข้า ทำเป็นปีกออกไป ไม้ดีหน่อยก็ราคาแพง
ราคาโลงใบหนึ่งตั้งห้าหกพัน แล้วไปซื้อที่ฝังที่ป่าช้าเมืองชล ป่าช้าเมืองสระบุรี
ที่ฝังตั้งหมืนสองหมื่น ถ้าเนื้อที่มากออกไปก็ห้าหมื่นหกหมื่น
ชาวจีนเขามีประเพณีแปลก พี่ชายไปถึงซื้อที่แล้ว
น้องชายไปซื้อบ้างต้องเพิ่มราคาให้อีก ไม่ให้ลด ลดไม่ได้ ถ้าลดมันจะทำให้ฉิบหาย
ต้องเพิ่ม มันก็เจริญแก่เจ้าของป่าช้า ใครไปจับจองภูเขาไว้ขายมันก็รวยกันเวลานี้
ขายดินทำศพรวย สิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย แล้วก็ทำพิธีเซ่นไหว้ เผากระดาษ เขาเรียกว่า
กงเต๊ก กงเต๊ก หมายความว่าอย่างไร เปิดสูตรเหว่ยหล่างดูจะเข้าใจ คำว่ากงเต๊ก
คือกุศล มันไม่ใช่บุญเฉยๆ บุญกับกุศลไม่เหมือนกัน บุญคือความอิ่มใจสบายใจ
แต่กุศลนั้น หมายถึงปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ
ในเรื่องนิกายเซ็นในเมีองจีน พระเจ้าแผ่นดินของประเทศจีนในสมัยนั้น
ไปหาท่านโพธิธรรม ท่านโพธิธรรมมาจาก เมืองอินเดีย เข้าไปสอนในเมืองจีน
พระเจ้าแผ่นดินไปถึงบอกว่า หม่อมฉันได้ทำอะไรบ้าง ได้สร้างวัดเท่านั้น
ได้บวชคนเท่านั้น ได้สร้างนั้นสร้างนี้มากมาย พระเจ้าแผ่นดินสร้างมากมาย
พระโพธิธรรมท่านตอบว่าอย่างไร แกตอบว่าไม่ได้ความทั้งนั้น ตอบพระเจ้าแผ่นดินว่า
ที่ทำมาแล้วไม่ได้เรื่องทั้งนั้น มันไม่ได้กงเต๊กอะไร เขาเรียกว่าไม่ได้กงเต๊ก
คือไม่ได้กุศล
มันได้แต่ความยิ่งใหญ่ให้คนชมว่า
พระราชานั้นได้สร้างนั้นสร้างนี้ติดชื่อไว้ตามโบสถ์ตามวิหาร ทำอะไรต่ออะไร
แต่ว่ามัน ไม่ได้กงเต๊ก คือไม่ได้กุศล ไม่ได้เป็นไปเพื่อการขูดเกลาใจ
ให้สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ ยังทำเพื่อตัว ยังเอาตัวเป็นฐานรองรับ
แล้วความเห็นแก่ตัวก็เจริญงอกงามขึ้น ท่านกล้าพูดกับพระราชาอย่างนั้น
เพราะต้องการให้พระราชาเข้าใจความจริงของธรรมะ ในเหว่ยหล่างก็เหมือนกัน
บอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้กงเต๊ก คือไม่ได้กุศล ได้แต่ความสบายใจ
เหมือนพ่อแม่เราตาย เรียกว่า ทำกงเต๊ก เอาคนมาสวด
เดี๋ยวนี้พระจีนมีน้อยแล้วเวลานี้ ไม่ค่อยมีพระ
ก็เอาชาวบ้านมาแต่งตัวสวมเสื้อครุยเข้า แล้วก็นั่งสวดกัน
พอสวดเหนื่อยเข้าก็นั่งโจ้ข้าวต้มกันอีกพักหนึ่ง แล้วก็สวดกันต่อไป กงเต๊กราคาก็แพง
เดี๋ยวนี้ รถยนต์เอย กงเต๊ก สมัยก่อนไม่มี เดี๋ยวนี้มีรถยนต์ มีโทรทัศน์ มีวิทยุ
มีหลายอย่าง ล้วนแต่เป็นกระดาษทั้งนั้น เรียกว่าธนบัตรกงเต๊กนี่ก็มัดใหญ่ๆ เอาไปใช้
ล้วนแต่ธนบัตรกงเต๊กทั้งนั้น แต่ว่าใช้ไม่ได้ ทำกันมากมาย
เสียเงินเสียทองค่ากระดาษนี่ไม่รู้ว่าเท่าไร แล้วเอาไปไหน เอาไปเผาเท่านั้นเอง
นี่เขาเรียกว่าทำลาย ไม่ได้ทำเพื่อสร้างสรรค์
ทำไมต้องทำอย่างนั้น ไม่ทำก็ไม่ได้ เตี่ยตายลื้อไม่ทำกงเต๊กให้
คนมันก็นินทาว่า ลื้อนี่มันใช้ไม่ได้ เตี่ยตายลื้อไม่ทำกงเต๊กให้เตี่ย
มันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเมื่อมีชีวิตอยู่ บางทีอ้ายลูกก็ไม่ค่อยดูแลเตี่ยเท่าไรหรอก
แต่พอตายแล้ว แหม ไปนั่งบีบน้ำตา อาเตี่ยโอ้ย อาเตี่ยโอ้ย ว่าอย่างนั้น
ร้องไห้ร้องห่มกันเป็นการใหญ่ อวดซาวบ้านว่ากูเสียใจเว้ย แต่พอเข้าไปหลังฉาก
หัวเราะกันต่อไปว่า กูร้องบทละครเท่านั้นเอง ไม่ได้ร้องจริงจังอะไร
แล้วเอาข้าวไปให้กินเอาอะไรไปให้กิน เวลาเป็นๆ อยู่บางทีไม่ได้สนใจอะไร
เตี่ยจะกินอะไร จะนอนอย่างไร ก็ไม่ได้สนใจ ไม่เคยยกกับข้าวไปตั้งให้กิน
ไม่เคยป้อนข้าวให้กิน มันเป็นอย่างนั้น
แต่ว่าพอตายแล้วต้องเอาไปเซ่นทุกวัน นี่เขาเรียกว่าทำเพื่ออวดคนมากกว่า
ไม่ได้ทำเพื่อจุดหมายที่ถูกต้อง เขาทำกันอย่างนั้น แล้วก็สิ้นเปลืองเงินทองไปเท่าใด
ไม่ใช่เล็กน้อย บางคนบอกว่า แหม ผมอยากจะเอาเตี่ยไปเผา แต่ไม่ได้คุณลุงเขาไม่ยอม
แม่ก็ไม่ยอม เขาบอกว่า ต้องเอาไปฝังที่สระบุรี แล้วเอาไปฝังมันก็แพง
ไปเผาวัดทองธรรมชาติมันถูกกว่า บ้านเขาอยู่แถวปากคลองสาน นิมนต์อาตมาไปเทศน์
เขาบ่นไปตลอดทาง ผมมันอยากเผา แต่ญาติผู้ใหญ่เขาไม่ยอม เขาอยากเอาไปฝัง
ความจริงสมัยนี้ฝังมันเปลืองเนื้อที่ เขาว่าของเขาเอง อาตลมาก็ฟังๆ
เออคุณนี่มันคิดถูก แต่มันถูกอยู่คนเดียวในตระกูลของคุณ คุณลุงของคุณก็ไม่เห็นด้วย
คุณแม่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะท่านเหล่านั้นท่านเป็นคนแก่ ท่านยึดถือในธรรมเนียมเก่าๆ
โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องปล่อยไปก่อน เพราะว่าจะไปง้างนักมันก็ลำบาก
เดือดร้อนเปล่าๆ บางทีพูดมากเขาว่า ลื้อมันเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเสียแล้ว มันไปขนาดนั้น
คนคิดถูกกลายเป็นคนคิดผิดไป คนจะทำให้ดีกลายเป็นคนทำให้ร้ายไป
แต่คนที่ยุให้ฉิบหายกลับชอบใจ มันเป็นอย่างนี้
บ้านเมืองเรามันลำบากตรงนี้ ลำบากอย่างนี้
การเปลี่ยนแปลงอะไรมันจึงไม่เกิดขึ้น นี่เรื่องงานศพเป็นอยู่อย่างนี้ทั่วๆ ไป
มีมากมายก่ายกอง แล้วเผาศพเสร็จแล้วก็มีปัญหาเรื่องกระดูกอีก จะเอาไปไว้วัดไหน
จะเอาไปทำอะไร ต้องมาหาที่ก่ออะไรไว้ ที่วัดนี้ก็มาก่อมากแล้ว อาตมาบอกว่าพอกันที
เรื่องเอากระดูกมาไว้วัดพอแล้ว เอาไปทิ้งทะเลดีกว่ามันกว้างขวางดี
ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น คนก็เอามาไว้ แล้วก็เที่ยวสร้างรุงรังอยู่ในวัด
มันก็ลำบาก ต่อไปลูกหลานตายหมดไม่มีใครเหลียวแล
บางวัดที่มีมากๆ สอบถามสมภารดูว่า นี่เขาเอามาไว้ๆ นี่เคยเสียภาษีเดือน 5
บ้างหรือเปล่า สมภารว่ามันไม่เคยมา มันตายหมดแล้วสกุลนี้ ขุดทิ้งได้แล้ว
เพราะไม่ไปบังสุกุลเลย ที่เขาเก็บไว้เดือน 5 เขามาบังสุกุล เดือน 10 เขามาบังสุกุล
มันยังคิดถึงพ่อถึงปู่ มันอยู่ก็ยังใช้ได้ ยังเอาไว้ได้ บางรายไม่เคยมาเลย 1 ปี
นี่ขุดทิ้งได้แล้ว เพราะว่าลูกหลานมันตายหมดแล้ว ไม่มีใครว่าแล้ว สมภารว่า
ขุดไม่ได้ เดี๋ยวมันมาเห็นเข้า มันว่าเอาอีก มันลำบาก มัน รกรัด ลำบากเหมือนกัน
อาตมาเลยบอกหลวงตาว่า พอแล้ว เวลานี้ รั้วแถวนั้นเต็มแล้ว ไม่ไหวแล้ว
อย่าเอามาไว้อีกต่อไป
เราควรเอาอะไรของคุณพ่อคุณแม่ไว้ กระดูกนั้นเอาไว้ หรือกระดูกนั้นสำคัญอะไร
มันก็เป็นวัตถุเท่านั้น เผาแล้วก็เป็นขี้เถ้าไป
ความจริงน่าจะเผาให้หมดเป็นขี้เถ้าไปเลย ไม่ต้องไปเก็บ ลำบาก
เมื่อเป็นขี้เถ้าแล้วเอาไปโปรยในแม่น้าเจ้าพระยาก็ได้ หรือเอามาฝังไว้ในวัดก็ได้
ฝังตรงไหนก็ได้ ใต้ต้นไม้ให้เป็นปุ๋ย ต้นไม้ต่อไป อย่าไปยึดถืออะไรเลย
ของเป็นกระดูก สิ่งที่เราควรเอาไว้นั้นคืออะไร คือคุณงามความดีของผู้นั้น
พ่อเราดีอย่างไร แม่เราดีอย่างไร คุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยายเราดีอย่างไร
เราก็ควรเอาสิ่งนั้นไว้ เอาความดีนั้นไว้ ใส่ไว้ในใจของเราต่อไป
เรารักษาความงามความดี ถ่ายทอดสิ่งดีสิ่งงามไว้ในใจของเรา
รักษาไว้ไม่ให้หายหกตกหล่น จึงจะเป็นการถูกต้อง พระพุทธเจ้าเวลาจะนิพพาน
พระอานนท์ถามเหมือนกัน ถามเรื่องศพ ถามว่า จะทำอย่างไรกับศพของพระองค์
พระพุทธเจ้าบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องของพระ เรื่องของชาวบ้าน เขาจะจัดจะทำอย่างไร
มันเรื่องของเขา พระไม่เกี่ยว ท่านว่าอย่างนั้น
พระอานนท์บอกว่า ชอบแล้วที่พระไม่เกี่ยวข้อง แต่ว่าเมื่อพระองค์นิพพานแล้ว
คนเขาจะมาถามข้าพระองค์ ถ้าข้าพระองค์ตอบไม่ได้ เขาจะหาว่า พระอานนท์ขาดสติ
ขาดปัญญา ไม่ถามเรื่องที่ควรถาม จึงถามไว้ เมื่อพระอานนท์บอกอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้ทำศพของตถาคตอย่างกับศพของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทำอย่างไร
ศพของพระเจ้าจักรพรรดิ์ คือให้ห่อด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าขาว
ห่อด้วยสำลีห่อด้วยผ้าขาวทั้ง 500 ชั้น ห่อหนาทีเดียว 500 ชั้น
แล้วก็เอาใส่ลงในรางเหล็กมีน้ำมันเต็ม แช่น้ำมันไว้ เวลาพอสมควรแล้วเอาไปเผา
เวลาไปเผาน้ำมันที่ติดอยู่ในผ้าในสำลีจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี แล้วก็จุดไฟเผาง่าย
พระองค์ให้ทำอย่างนั้น
เมื่อทำแล้วพระอานนท์ถามว่า แล้วอัฐิที่เหลือจะทำอย่างไร พระองค์ก็บอกว่า
นั่นเป็นเรื่องของประชาชนเขา เขารักใคร่นับถือ เขาก็เอาไปบรรจุไว้ตามทาง 3 แพร่ง 4
แพร่ง คนได้กราบไหว้บูชาสักการะ เรียกว่า เป็นเจดีย์ เจดีย์ในสมัยพระพุทธเจ้า
เป็นดินธรรมดา เอาไปฝังลง แล้วเอาดินมาพูนไว้
พูนเสร็จแล้วก็เอาร่มไปปักไว้บนนั้นอันหนึ่ง ทำเป็นฉัตรเอาไปกางไว้
ไม่ได้ก่อด้วยอิฐ เพราะสมัยนั้นอิฐยังไม่มี
มาในสมัยหลังก็เลยก่อด้วยอิฐแข็งแรงเป็นเจดีย์ สมัยนี้จะหาพระธาตุมาบรรจุ
ก็ไม่ไหวแล้ว แต่ว่ายังสร้างเจดีย์กันอยู่ สร้างให้มันมีเจดีย์ในวัด
ความจริงไม่ต้องสร้างแล้ว เพราะว่าเราสอนธรรมะกันดีกว่า เอาธรรมะไปไว้ในใจคน
ดีกว่าไปสร้างเจดีย์ตามสถานที่ต่างๆ
คนเคยถามวัดนี้ว่า วัดก็หลวงพ่อไม่มีเจดีย์ ถามว่าเจดีย์ เอาไว้ทำอะไร
บรรจุพระธาตุ แล้วจะเอาพระธาตุมาจากไหน
พระพุทธเจ้านิพพานตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว จะเอาพระธาตุมาจากไหน บอกว่า
ไปขอจากพระสังฆราชก็ได้ แล้วพระสังฆราชจะเอามาจากไหน
ถ้าขอกันทุกคนท่านจะเอาพระธาตุที่ไหนให้ มีพระองค์หนึ่งเที่ยวแจกพระธาตุอยู่
พระธาตุเป็นกะด้ง ใส่กะด้งมาตั้งกะด้ง เหมือนกะด้งฝัดข้าวทางปักษ์ใต้
มีพระธาตุตั้งกระด้ง เอามาจากไหน ถ้ารู้แหล่งแล้วไปเอาเองก็ได้
คือว่าที่แม่น้ำชานเมืองเชียงใหม่ มีน้ำไหลเชี่ยว แล้วก็มีทรายเม็ดเล็กๆ สีต่างๆ
สีดำสีขาวสีแดง ถ้าเราเอากะบะไปโกยแล้วก็ร่อน ร่อนเอาแต่เม็ดเล็กๆ
จะได้พระธาตุมากมายทีเดียว แล้วเอามาแจกกัน แล้วบอกว่า นี่พระธาตุ ธาตุอะไร ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มันก็ธาตุทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเขาไปบอกว่า
นี่แหละธาตุของพระพุทธเจ้า นี่เขาเรียกว่าดึงคนให้เข้าไปหลงอีกแล้ว
ให้ไปหลงติดพระธาตุ เลยให้มีพระธาตุ
ธาตุแท้ของพระพุทธเจ้าคืออะไร
คือพระธรรมนั่นเองพระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ เรียกว่า ธาตุแท้ ธรรมธาตุ
ธรรมธาตุนี่เป็นธาตุแท้ของพระพุทธเจ้า พระธาตุนี้ไม่ต้องใส่เจดีย์
แต่เอามาใส่ไว้ในใจของเรา เอามารักษาไว้ในใจของเราแล้วก็ถ่ายทอดไปถึงลูก หลาน เหลน
ของเราต่อไป ไม่ลำบาก เป็นพระธาตุเดินได้ เราเดินไปพระธาตุก็ไปกับเรา
ทำอะไรพระธาตุก็อยู่กับเรา เราไม่ต้องไปสร้างเจดีย์ใหญ่โต ทำนั่นทำนี่
แล้วเอาพระธาตุไปไว้กันต่อไป ให้มันวุ่นวาย มันเป็นอย่างนั้น
สมัยนี้คือว่าเอาวัตถุเข้าไปล่อคน แต่ไม่เอาธรรมะเข้าไปจูงใจคน คนก็ไปติดในวัตถุ
จึงติดพระเครื่อง ติดเครื่องรางติดของขลัง ติดพิธีรีตรองต่างๆ ยิ่งติดมากเท่าใด
ยิ่งห่างพระพุทธเจ้าออกไปมากเท่านั้น เพราะไปพึ่งสิ่งนั้น เอาสิ่งนั้นมาช่วยตน
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้ช่วยตัวเอง ให้พึงตัวเอง ช่วยตัวเองด้วยอะไร
ด้วยการประพฤติธรรม ถ้าเราประพฤติธรรม เรียกว่าเราช่วยตัวเอง เราพึ่งตัวเอง
ต้องทำจิตใจให้เจริญขึ้นหน่อย อย่าเป็นเด็กอมมือตลอดเวลา เด็กอมมือชอบตุ๊กตา
ชอบอะไรต่ออะไร ชอบของเล่นเรื่อยไป เข้าในโบสถ์ไหน ถ้ามีกระบอกก็จับสั่นอยู่
นั่นมันไม่ได้เรื่องอะไร เรียกว่าไปเป็นเด็กอยู่กับไม้เรียวๆ ให้สั่นเล่น
ได้สักใบแล้วก็อ่านหัวเราะกันคิกคัก ของลื้อดีไหม คู่ครองเป็นอย่างไร
เมื่อไหร่จะเกิดมันเกิดแล้ว แต่ยังไม่เห็นหน้ากัน มันไปอย่างนั้น มันเล่น
เราเข้าไปในโบสถ์ ไม่ใช่ไปเล่น ไม่ใช่ไปนั่งสั่นกระบอกเล่น ทำพิธีเล่นๆ
เราไปสงบใจเพื่อไปหาพระพุทธเจ้า เพื่อเอาพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ในใจ
จุดหมายมันอยู่ที่ตรงนั้น แต่คนไม่เข้าใจ
เลยไปติดอยู่ในวัตถุดังกล่าวมาด้วยประการต่างๆ
นี่เอามาพูดสู่กันฟังเสียบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่า อะไรมันเป็นอะไร
แล้วเราจะได้ทำกันเป็นการถูกต้องต่อไป อาตมานี่อึดอัดเวลาเขาทำศพแบบสิ้นเปลือง
พอจะเผาก็เปรี้ยง ระเบิดกันไม่รู้เรื่องอะไรที่ต้องจุดระเบิดกันอย่างนั้น
มันไม่ได้เรื่อง สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่ได้ประโยชน์ ตัดทิ้งไปเสียบ้าง
เอาแต่เนื้อๆ แล้วก็จะสบาย
ดังที่ได้พูดมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้.
<< ย้อนกลับ
» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
» หลักใจ
» เกิดดับ
» มรดกธรรม