ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
เรื่อง สอนลูกให้ถูกวิธี
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2520
2
เราควรจะทำลายความคิดในรูปนั้น แต่ว่าสร้างสันติให้เกิดขึ้นในสังคม
ด้วยการชี้ให้เห็นว่านี่แหละ ผลของความชั่ว ผลของกิเลสของประเทศต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในใจคน พระพุทธเจ้าท่านว่ามันไม่ดี เราควรระวังไม่ให้เกิดขึ้น
ควรมีน้ำอด น้ำทน มีจิตใจมั่นคงเข้มแข็ง ไม่มีอารมณ์อย่างที่เกิดขึ้น
แม้แต่การกระทำของเพื่อนที่ทำกับเรา ควรรู้จักการให้อภัย
ไม่ถือโทษโกรธตอบซึ่งกันและกัน อันนี้เป็นการสอนธรรมะไปด้วยในตัว
แล้วก็เป็นการแก้ถูกจุดด้วย ก็แก้ตรงกิเลสนี่มันถูกจุดละ แก้ตรงอื่นมันไม่ถูกละ
แต่ทุกคนช่วยกันแก้ที่ตรงกิเลส แล้วสิ่งทั้งหลายมันก็บรรเทาเบาบางลง
ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนในจิตใจต่อไป อย่างนี้เราสอนให้เด็กเข้าใจ
ภาพเขียนในบางแห่ง เป็นคติธรรมะ เราดูแล้วอธิบาย พูดให้เด็กฟัง
ให้รู้เรื่องอย่างนั้น อันนี้จะช่วยให้เด็กของเรานี่ มีปัญญาฉลาดขึ้นในเรื่องชีวิต
ในเรื่องอะไรๆ ต่าง สิ่งที่เราควรจะให้แก่เด็กนั้นคือ ให้เกิดความเมตตา กรุณาต่อกัน
ให้มีมุทิตาต่อกัน ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องต่างๆ
มีอะไรกินมีอะไรใช้อย่ากินคนเดียว อย่าใช้คนเดียว ให้หัดแจกแบ่งให้คนอื่นบ้าง
ให้เห็นคุณของการให้ ให้เห็นโทษของการตระหนี่ถี่เหนียว ให้เห็นคุณค่าของความเมตตา
ให้เห็นโทษของความเหี้ยมโหดของการดุร้าย
ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วมันไม่ดีอย่างไรในทุกโอกาส นำทุกข์นำโทษมาให้ตัวผู้โกรธ
ผู้เกลียดอย่างไร ก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ที่โกรธ ผู้ที่เกลียดอย่างไร
เราอธิบายให้เขาเข้าใจเรื่องอย่างนี้
เพื่อให้เขาเกิดศรัทธาในความงามความดีแล้ว ต่อไปจิตใจจะมั่นคงเข้มแข็ง
ไม่มีความบกพร่องในเรื่องอย่างนั้น เรานับถือศาสนาอะไรก็ตามโดยเฉพาะพวกเรานี่
เป็นพุทธบริษัทเป็นหน้าที่ของมารดาบิดา ที่จะต้องฝังความศรัทธาอันถูกต้อง
ไว้ในจิตใจของเด็กตั้งแต่ตัวน้อยๆ อย่าปล่อยให้เจขาเจริญเติบโต
โดยไม่มีหลักอะไรไว้ในใจเป็นอันขาด เด็กที่เจริญเติบโตโดยไม่มีหลักสำหรับใจนั้น
จิตใจจองเขาจะว้าเหว่แล้วจะไหลไปตามอะไรได้ง่าย เพราะไม่มีที่เกาะที่จับ
เรียกว่าไม่มีสรณะในภาษาวัดเรียกว่า "สรณะ" สรณะเรียกว่าที่พึ่งทางใจ
คนเราจะอยู่โดยไม่มีที่พึ่งทางใจนั่นไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเตือนว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงมีที่พึ่งธรรมะทางใจ
ผู้มีธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจเรียกว่าพึ่งตัวเอง
ถ้าไม่มีหลักธรรมะเป็นหลักที่พึ่งทางใจแล้ว พึ่งตัวเองไม่ได้
เพราะไม่มีที่พึ่งแล้วจะไปพึ่งได้อย่างไร
ในที่นี้เราจะต้องอบรมเด็กให้รู้จักสิ่งนี้
เพื่อต่อไปข้างหน้าจะได้มีเกราะป้องกันตัว ไม่ถูกอารมณ์มันทิ่มตำจนเสียผู้เสียคน
เด็กที่ไม่มีเกราะป้องกันตัวมันก็เสียหาย เจริญเติบโตขึ้นในสภาพที่ไม่เหมาะไม่ควร
และถ้าเป็นเช่นนั้นมากๆ บ้านเมืองก็จะล่มจม จะตกไปอยู่ในการปกครองแบบอื่น
เพราะเขาเห็นว่าคนมันแย่เต็มทีแล้ว ต้องเข้าไปปรับปรุงกันละ
ประเทศใดที่ปกครองด้วยระบบอย่างนั้น ที่เขาเรียกว่าคอมมิวนิสต์ละ
แสดงว่าคนในประเทศนั้น ตกต่ำทางจิตใจเต็มที่
จนไม่มีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาตน รักษาชาติ รักษาบ้านเมือง
เขาจึงต้องเปลี่ยนเป็นแบบบังคับ ให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ บังคับอยู่ตลอดเวลา
มีความเป็นอยู่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่ตั้งใช้ปฏักเฆี่ยนอยู่ตลอดเวลา
อย่างนั้นดีไหมละญาติโยม พอใจที่จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ทุกคนคงจะไม่พอใจ
ยิ่งเราที่เกิดในเมืองไทยด้วยแล้ว รักอิสระเสรี ไม่ชอบการกดขี่บีบคั้น
ไม่ว่าในกรณีใดๆ แต่ถ้าเราไม่มีธรรมะเป็นหลักประจำใจแล้ว จะเป็นอิสระได้อย่างไร
จะมีเสรีภาพทางจิตใจได้ถูกต้องได้อย่างไร มันมีไม่ได้ เพราะไม่มีเกราะป้องกันตัว
ใจก็จะตกไปอยู่ในอำนาจของอะไรๆ ที่เป็นเรื่องฝ่ายต่ำอยู่ตลอดเวลา
แล้วก็เกิดความวุ่นวาย ระส่ำระสาย อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เปิดประตู
ของสิ่งชั่วร้ายเข้ามาสู่บ้านเมืองของเรา ถ้าเราช่วยกันปิดประตูไว้ ตั้งแต่เด็กๆ
ไปทีเดียว สอนให้เขามีความจงรักภักดี ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ในทางที่ถูกที่ชอบ สอนให้เข้าใจในทางที่ชอบไป ตั้งแต่ตัวน้อยๆ
ให้มีความเชื่อถูกตรงตามหลักศาสนา อย่าให้มีความเชื่อไข้วเขว
อย่าหลอกเด็กด้วยวิธีการใดๆ เป็นอันขาด ไม่ว่าในแง่ใด
แม้ทำดีก็อย่าไปหลอกให้เขาทำดี แต่ว่าพูดให้เขาเข้าใจ ว่าการทำดีนั้นเป็นหน้าที่
เป็นสิ่งที่เราควรกระทำ ทำดีแล้วเราจะมีความสุข ความสงบใจ ความสบายใจ
ถ้าเราทำสิ่งชั่วร้าย เราจะมีปัญหามากขึ้น ให้เด็กมันเห็นชี้ให้เห็น
เช่นให้เห็นว่า เวลาโกรธนี้จิตใจเป็นอย่างไร
เวลาเกลียดนี่ความรู้สึกในจิตใจนี่เป็นอย่างไร
เวลาความอยากได้รุนแรงนี่ความรู้สึกในใจเป็นอย่างไร เราชี้ในตัวเขานั้นแหละ
ไม่ต้องไปชี้ที่อื่นหรอก ชี้ลงไปในตัวของเขาเอง
ให้เขาได้เห็นประจักษ์แก่ใจด้วยตัวเอง ว่ามันเป็นอย่างไร
หรือว่าเป็นคนอื่นเขาทำอาการอย่างไร เราก็มาชี้บอกพูดเบาๆว่า "ดูนั่นดูดูดู"
ดูมันซิเขาทำอะไรนะ หน้าตาเป็นอย่างไรท่าทางเป็นอย่างไรนะ น่าดูไหม น่ารักไหม
เรากระซิบบอกให้ลูกของเราดูเป็นบทเรียน เป็นแบบสาธิต เด็กมันเห็นแล้ว
พร้อมกับคำอธิบายแล้ว ก็จะเห็นว่า แหมไม่สวยเลย ทำท่าอย่างนั้นไม่สวย
พูดจาอย่างนั้นไม่เพราะ เดินตึงตังลงส้นอย่างนั้นไม่ดี เด็กมันก็เห็นเป็นตัวอย่าง
เป็นการชี้ให้เขาเข้าใจ เด็กมันก็เกิดความคิดขึ้นเรื่อยๆ เขามองว่าสิ่งนั้นไม่ดี
เขาคิดไว้ในใจว่ามันไม่ดี เมื่อไม่ดีเขาก็ไม่อยากจะทำ ในเรื่องอย่างนั้น
เราเอาธรรมะอันมีอยู่ในจิตใจของเขา ให้เขาเห็น ให้เขาเข้าใจ
ค่อยพูดค่อยจากันเรื่อยๆ ไป วันละเล็กวันละน้อย คือว่าให้อย่าให้หนัก ให้บ่อยๆ
มันเพิ่มมากขึ้นๆ
คนที่ยกน้ำหนักได้มากๆ ไม่ใช่ว่ายกทีเดียวแปดสิบปอนด์เมื่อไหร่
มันต้องค่อยเพิ่มวันละน้อยๆ แล้วก็ยกจนกระทั่งชนะในกีฬาโอลิมปิคได้
ไม่ใช่ยกเก่งทีเดียว ค่อยยกทุกวัน วันละนิดละหน่อยเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เก่ง
ความรู้สึกนึกคิดในทางที่เป็นสัมมาทิฎฐิ เราให้แก่เด็กวันละน้อยๆ ค่อยให้เรื่อยๆ ไป
จนกระทั่งว่ามั่นคงในจิตใจของเด็ก ให้ทีเดียวไม่ได้ แต่ว่าค่อยเพิ่มลงไปทีละน้อยๆ
ทุกวันเวลา ทุกโอกาสที่เราสามารถจะให้เขาได้ พ่อแม่จึงคอยจ้องหาโอกาส
ที่จะให้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ แก่เขา ต้องทำหน้าที่นี้อย่างสำคัญที่สุด
ถ้าเราหวังความเจริญแก่ครอบครัวของเราแล้ว ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษในเรื่องอย่างนี้
คอยสอนคอยอบรมเขา
ทีนี้ถ้าเราเป็นคนที่มีสมาชิกในครอบครัวมากๆ เช่นเรามีพี่น้องหลายคน
พี่น้องทุกคนมันก็มีลูกด้วยกันทั้งนั้นแหละ ก็ต้องให้มาพบปะกันบ้าง มาร่วมสนทนากัน
มากินอาหารร่วมกัน พาไปเที่ยวไปเตร่ร่วมกัน เป็นการฝึกหัดเข้าสมาคม
แล้วมีผู้ใหญ่คอยเป็นพี่เลี้ยง คอยแนะแนวทาง เตือนจิตสะกิดใจ เล่าเรื่องเก่าๆ
ให้ลูกหลานฟัง เล่าให้เขาฟังว่าตระกูลของเรามันไปอย่างไร ต้นตระกูลมาจากไหน
ดำเนินชีวิตอย่างไร จนกระทั้งมีฐานะ จนเราได้นั่งรถกันอย่างสบาย มีบ้านเรือนอยู่
มีเกียรติมีชื่อเสียง นี้มันเป็นสมบัติของใคร เด็กมันไม่รู้ มันอยู่ในตึกหลังใหญ่
กินสบายนอนสบาย มันไม่รู้ว่าสิ่งนั้นใครสร้างไว้ ใครทำไว้ให้
รูปของใครติดอยู่ข้างฝามันก็ไม่รู้ ที่โต๊ะบูชามีรูป มันก็ไม่รู้ว่าไหว้ใคร
เห็นคุณแม่ธูปบูชาทุกวันๆ มันก็ไม่รู้ว่าไหว้ใคร ไหว้ทำไมก็ไม่รู้
นี่เราไม่อธิบายให้เด็กเข้าใจ ว่างๆ ต้องเรียกมาชี้แจง ที่มีรูปใครอะไรๆ
ต่ออะไร เหล่านี้รูปของใคร แต่ละคนมีอะไรเป็นสัญญลักษณ์ มีความดีเด่นในเรื่องใด
คนนั้นเก่งในเรื่องอะไร คนนี้เก่งในเรื่องอะไร เรื่องดีๆ แยะ
เขาตั้งเนื้อตั้งตัวมาเป็นฐาน มีดีทั้งนั้นแหละ เราก็เอามาเล่าให้เด็กฟัง
ให้เห็นว่าท่านนั้น เป็นบรรพบุรุษของเรา แล้วเป็นบรรพบุรุษที่ดีที่งาม
เป็นคนสร้างเนื้อสร้างตัวไว้เป็นหลักเป็นฐาน ที่เราได้กินได้อยู่นี่
เป็นผีไม้ลายมือของท่านทั้งนั้น
เด็กๆ มันก็จะเกิดรักในภาพนั้น รักคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังนั้น
เห็นภาพแล้วต้องให้เห็นด้วย ว่าข้างหลังภาพนั้นมันมีอะไร ที่ควรจะกราบ
ที่ควรจะนึกถึง เราแสดงให้เขารู้ว่าเบื้องหลังภาพนั้นมีอะไร มีความดีความงามอย่างไร
ควรจะเอามาใช้เป็นหลัก ในชีวิตประจำวันอย่างไร
เพราะเราจะเข้าใจว่าคนเดินตามทางที่ผู้ใหญ่เดินแล้ว ผู้ใหญ่คือบรรพบุรุษของเรา
เดินทางใด เดินมาทางนั้นเถอะ จะเจริญก้าวหน้า แต่ใครไม่เดินตามทางที่ผู้ใหญ่เดิน
แต่ว่าชอบเดินออกนอกทาง คล้ายกับคนขับรถ ซึ่งไม่ไปตามเลนแต่ชอบขับลงไปในคู
แล้วมันจะไปถึงปลายทางได้อย่างไร
ในชีวิตนี่ก็เหมือนกัน ถ้าว่าไม่ออกไปทางก็ไม่ได้
เราเป็นคนบุกเบิกหนทางไว้ในครอบครัวของเรา เราพูดให้เด็กเข้าใจให้เขารู้เรื่อง
นี่เดือนเมษายน นี่ญาติโยมที่มีบรรพบุรุษชาวจีน ก็ต้องไปเช็งเม็งแล้ว
ตามศพที่ไปฝังไว้ตามป่าช้าต่างๆ นั้นแหละคือบทเรียนที่ลูกหลาน
จะได้รับในการไปเช็งเม็ง ถ้าเราไปถึงเราก็ไปจุดธูปจุดเทียน ไปจุดลูกประทัดบ้าง
เผากระดาษเงินกระดาษทอง แล้วก็กินอะไรไปตามเรื่องตามราว มันก็เท่านั้น
มันได้ประโยชน์ทางกาย ไม่ได้ประโยชน์ทางจิตวิญญาณ
อันนี้หัวหน้าครอบครัว ต้องไปนั่งชุมนุมกันที่สุสาน
แล้วก็พูดกันให้ฟังถึงเรื่องเก่าๆ ที่เป็นมา ให้เขารู้ว่าที่นอนอยู่นี้นะคือใคร
มีคุณสมบัติอย่างไร ท่านสอนพวกเราไว้อย่างไร ที่จะต้องทำตามต่อไป
แล้วเราทุกคนนี่มาจากต้นตอนี้ จากต้นเดียวกันแตกกิ่งแตกก้านออกไป
เหมือนกับไม้ยางต้นใหญ่ แล้วดอกมันหล่นแล้วเป็นป่ายางขึ้นมา
ต้นสักต้นใหญ่กลายเป็นป่าสักขึ้นมา มันมาจากที่เดิมให้รู้จักต้นเดิม
แล้วควรจะเคารพบูชาต้นเดิมไว้ ไอ้ต้นเดิมควรเคารพบูชานั้น ควรเคารพอะไร
เคารพคุณงามความดี ของท่านผู้นั้น แล้วเอาคุณงามความดีของท่านผู้นั้น
มาบรรจุไว้ในใจของเรา ให้ท่านมาอยู่กับเรา ให้มาอยู่กับเรานั้นคือวิญญาณ
ไม่ใช่วิญญาณที่เขาเชิญมาทรง แล้วถามเรื่องเลอะเทอะ ที่ทำอยู่ทุกวันเวลา
ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่วิญญาณ
ในที่นี้หมายถึงว่า คุณงามความดีเป็นสิ่งที่เราเชิญเข้ามา
ไอ้ที่เชิญวิญญาณตามสำนักต่างๆ นั้นมันไม่เต็มบาททั้งนั้นแหละ
เรียกว่าว่าวิญญาณไม่ค่อยเต็มเต็ง เชิญกันอยู่อย่างนั้นก็ไม่ได้เรื่องอะไร พูดเลอะๆ
เทอะๆ ที่มานี่ พูดไปตามภาษาไม่ได้ เรื่องวิญญาณที่แท้คือคุณธรรมของบรรพบุรุษ
ที่เราจะต้องเชิญมาใส่ไว้ในตัว ใส่ไว้ในตัวของลูก หลาน ของเหลนต่อไป
ไม่ต้องทำพิธีแบบเขาทำกันหรอก แล้วก็ไม่ต้องนั่งตัวสั่นงกๆ ป้ำๆ เป๋อๆ
ไม่ได้เรื่องได้ราว ให้ทำอย่างนี้ เชิญเข้ามาไว้ในใจ ให้ลูกหลานทุกคน
ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าฮวงซุ้ย ว่าเราทุกคนเป็นหลานของคนชื่อนั้น เราจะปฏิญาณตนว่า
จะเดินตามทางที่บรรพบุรุษเราเดิน เราจะเป็นคนดีของครอบครัว เป็นคนดีของตระกูล
ไม่ประพฤติอะไร ที่เป็นความเสื่อมเสียสู่วงค์ตระกูลเป็นอันขาด นี่คือกล่าวย้ำ
ปีหนึ่งไปย้ำกันที่หนึ่ง ย้ำกันอย่างนั้นคนไทยเราไม่ได้มีฮวงซุ้ย
แต่มีกระดูกใส่โกศน้อยๆ ไว้ที่บ้าน เดือนห้าก็เอากระดูกมาสรงน้ำกันเสียหน่อย
มารวมกันมากๆ บางทีก็เอาเหล้าไปสรงกันเสียด้วย คือว่ากินเหล้าเมา
ญาติกับญาติมาเจอกัน เลยเมากันใหญ่ ถ้าเมาแบบนั้นกระดูกพูดได้ว่า "ไอ้ฉิบหาย"
มาทีไรแล้วเมาทุกที และมาทำไมก็ไม่รู้ ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร
ในวันที่เราทำถึงบรรพบุรุษ วันบุญ วันกุศลนี้ตัดเสียเถอะ
ไอ้เรื่องเมาเหล้าเมายาเลิกเสียเถอะ อย่าให้มันมาปนกันเลย กินให้เป็นเวล่ำ เวลาบ้าง
ถ้าจะดื่มนะ ถ้าไม่ดื่มนะมันวิเศษละ แต่ว่าให้สอนไม่ให้ดื่ม
ดูเหมือนจะยากเสียแล้วในสมัยนี้ แต่ถ้าสอนให้มันดื่มเป็นเวล่ำ เวลาก็พอ
เวลาใดเราจะไปทำบุญสุนทาน ระลึกถึงบรรพบุรุษเสียมั่ง
แล้วจะได้พูดกันเป็นสาระ เป็นแก่นเป็นสาร เปิดโกศขึ้นมาแล้วก็ชี้ให้เด็กดูว่า
นี่มันอะไร กระดูกคุณปู คุณย่า คุณยาย เอามาไว้ทำอะไร เอามาไว้บูขาสักการะ
ไม่ใช่สักการะกระดูก แต่ว่ากระดูกนี้เป็นเครื่องเตือนใจ
ให้เรานึกถึงคุณงามความดีของท่าน แล้วจะได้ชวนลูกชวนหลาน ได้กระทำความดีกัน
ให้เขาได้สำนึกในคุณงามความดี อันนี้ก็เป็นการผูกจิตใจให้อยู่กับความรัก
ของวงตระกูล ของครอบครัว ความรักของประเทศ มันตั้งต้นตรงนี้แหละ
ถ้าเราไม่มีความรักต่อครอบครัวแล้ว จะไปรักชาติรักประเทศได้อย่างไร
จะไปรักพระศาสนาได้อย่างไร มันตั้งต้นตรงนี้ ความรักของครอบครัว
ความรักของครอบครัวก็คือ ความรักของพี่น้อง ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่แก่งแย่งกัน
ไม่ฟ้องกันให้รกโรงรกศาล ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียสละให้แก่กันอยู่กันอย่างพี่น้อง
นี่แหละคือความมั่นคงในชาติ
ความมั่นคงของชาติ ก็คือความมั่นคงของครอบครัว ความมั่นคงของครอบครัวก็คือ
ความมั่นคงของจิตใจ เรามีธรรมะเป็นพื้นฐานที่มั่นต่อกันเป็นสายไป
เรามีธรรมะจิตใจมั่นคง จิตใจมั่นคง ครอบครัวมั่นคง ตัวเรามั่นคง ครอบครัวมั่นคง
ทุกครอบครัวมั่นคง ประเทศก็มั่นคง อะไรๆ ก็อยู่ได้
แต่ถ้าเราไม่มีความมั่นคงในเรื่องจิตใจ ในเรื่องธรรมะ เราก็ไม่มีความมั่นคงในทางนี้
แล้วครอบครัวก็ไปไม่รอด ชาติประเทศก็ไปไม่รอด เสียหายหมด นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะฉะนั้นเราควรจะได้สร้างสิ่งเหล่านั้น ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเด็ก
ตั้งแต่ตัวน้อยๆ หน้าร้อนอย่าปล่อยให้ลูกของท่าน ได้เพลิดเพลินกับสิ่งสนุกจนเสียคน
แต่ต้องคอยดูแลไว้ให้ดี จะพาไปเที่ยวไหน พาไปทั้งพ่อ ทั้งแม่ แม่พาไปก็ได้
พ่อพาไปก็ได้ อย่าให้ไปเที่ยวตามลำพัง นอกจากจะเสียคนแล้ว
บางทีอาจจะไปเที่ยวจนเรือล่มไปก็ได้ รถชนกันก็ได้ตายไปก็มี เพราะความประมาท
ในสิ่งเหล่านี้เราจึงต้องควรจะดูแล เอาใจใส่ มีบางคนก็เอามาบวชไว้ที่วัด
แต่จะบวชทุกครอบครัวก็ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวที่มันไม่พอ
เดี๋ยวนี้ในบนกุฏินอนกันเหมือนทหาร กางมุ้งเต็มหน้าห้อง นอนกัน ก่ายกันเลย
ทุกคนนอนเป็นเวลา ตื่นเช้าเล่นเสียงจอแจ คุยกันลั่น เรื่องนี้ตามประสาเด็กๆ
อัตตมาก็นั่งฟังไปตามเรื่อง มีอะไรก็คอยแนะนำ พร่ำสอนไปตามฐานะเลี้ยงลูกเขา
เอามาให้เลี้ยง ไม่มีลูกเอง เขาช่วยเกิดให้เลี้ยงก็สบายใจแล้วละ
ตามเรื่องตามหน้าที่ พอโรงเรียนใกล้เปิด ก็เอาคืนพ่อแม่ไป
แล้วทำไปอย่างนี้มันก็ดีอยู่ เอาวันนี้พูดมาก็เพื่อตักเตือนญาติโยม
ให้นึกถึงอนาคตของเด็กๆ ก็สมควรแก่เวลา
ต่อไปนี้ขอให้ญาติโยมทั้งหลาย นั่งสงบใจเป็นเวลาห้านาที นั่งสงบใจ
นั่งคอตั้งตรง แล้วหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว คอยกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก
อย่าให้คิดเรื่องอื่น ให้คิดเฉพาะเรื่องลมหายใจเข้า ออก เป็นเวลาห้านาที
<< ย้อนกลับ
» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
» หลักใจ
» เกิดดับ
» มรดกธรรม