ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ปาฐกถาธรรม เรื่อง ฐานของชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2519
2
แต่ถ้าเราศึกษาทำความเข้าใจ แล้วก็มีปัญญาสูงขึ้นไปกว่านั้น
ปัญญาในแง่ที่ว่าสิ่งเหล่านี้ แม้จะดีจะเป็นประโยชน์
จะเอร็ดอร่อยควรแก่ความต้องการอย่างไรก็ตาม แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ของเที่ยงแท้
ไม่ใช่ว่าจะเป็นสุขเสมอไป และมันก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่า เป็นเนื้อแท้ในตัวของมันเอง
มันเกิดขึ้นไหลไป ตามอำนาจของการปรุงแต่ง แล้วผลที่สุดมันก็ดับไป
อันนี้เป็นปัญญาสูงขึ้นไป เป็นปัญญาประเภทที่เรียกว่า เกิดจากการเพ่งพินิจพิจารณา
ในทางพระพุทธศาสนาเรานั้น สอนให้เราหยั่งลึกลงไป สอนให้เราสอบสวน
ให้เราเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง แท้จริง ซึ่งมีคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในมหาปรินิพพานสูตร คือพระองค์ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอได้รับฟังสิ่งใด ได้เรียนรู้ในเรื่องอะไร
อย่าขัดคอเขา หรืออย่ารับเอาเรื่องนั้นว่าเป็นการถูกต้องทันที แต่เธอต้องเอามา
พิจารณาอย่างซาบซึ้ง สอบสวนทวนถามให้รอบคอบ
เพื่อให้เกิดการเห็นชัดในเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง และ แท้จริง"
ซึ่งท่านใช้ศัพท์ว่า "สาเรตัพพา สาเรตัพพัง โอสาเรตัพพัง"
เป็นคำที่เตือนใจพุทธบริษัท ว่า ให้คิดอย่างรอบคอบ มองทุกแง่ทุกมุมในเรื่องนั้นๆ
แล้วก็หยั่งลงไปให้ลึกถึงเนื้อแท้ของสิ่งนั้น อย่ามองแต่ เพียงผิวเผิน
อย่าเห็นแต่เปลือกผิวภายนอก แล้วจะลงมติว่าเป็นของน่ารักน่าพอใจ อย่าไปคิดง่ายๆ
อย่างนั้น หรือว่าน่าเกลียดน่าชัง ไม่น่าพอใจ อย่าไปคิดง่ายๆ อย่างนั้น
แต่ว่าต้องคิดลงไปให้ลึกซึ้งใน เรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
หลักการนี่เป็นหลักการที่ประเสริฐแท้ ใช้ได้ทุกแง่มุม ไม่ว่าเราจะ ประกอบกิจกรรมใดๆ
งานการในทางโลกทางธรรมจะสร้างชีวิตจิตใจก็ใช้ได้ทั้งนั้น
เช่นคนทำงานทำการ ในชีวิตชาวบ้านทำมาค้าขาย ทำราชการ
หรือทำงานอะไรที่เป็นอาชีพก็ตาม ถ้าเราใช้หลักทั้งสองประการนี้ เป็นเครื่องประกอบ
คือเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ก็คิดให้มันถ่องแท้แน่นอน ในเรื่องนั้น คิดลงไป
ให้ลึกซึ้งในเรื่องนั้น ให้เห็นชัดว่าเรื่องนั้นที่เกิดขึ้น มันเรื่องอะไร
มันมีมูลฐานมาจากอะไร แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จากเรื่องนั้นๆ
มองให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วก็มองลงไปให้ลึกแทงตลอดสิ่งนั้นอย่างถูกต้อง
เราก็จะเป็นคนไม่งมงาย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ มากเกินไป
ในเรื่องนี้ก็อยากจะขอเตือนญาติโยมทั้งหลายในบางเรื่อง เช่นว่าในสมัยนี้เรียกว่า
เราอยู่กันด้วยสงครามจิตวิทยา คือทำให้คนวิตกกังวล ทำให้เกิดความหวาดกลัว
ให้เกิดความเกลียดชัง ให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า
ไม่เป็นมิตรแก่กันและกันในแง่ต่างๆ
มีคนประเภทหนึ่ง ซึ่งเขาก็เรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยามามากเหมือนกัน
แต่ว่าไม่ได้ใช้เพื่อให้เกิด ความสงบสุขในสังคม ไม่ได้ใช้เพื่อให้เกิดการสร้างสรร
ในทางที่เห็นของเขาต่อไป ไม่ได้คิดให้มันเป็น การถูกต้องว่า การกระทำเช่นนั้น
จะเป็นการริดรอนอะไรๆ ของประชาชนหรือไม่ เช่นริดรอนความ คิดความเห็น
สิทธิเสรีภาพของประชาชนอะไรหรือไม่ หรือว่าจะทำให้เกิดปัญหา เกิดการเบียดเบียนกัน
ทำร้ายกันในรูปต่างๆ หรือไม่ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอย่างนั้น
เพราะคนที่มีความคิดในรูปดังกล่าวนั้น ไม่ มีฐานทางศีลธรรมประจำจิตใจ
ฐานทางศีลธรรมนี่มันสำคัญ ไม่มีฐานคือศาสนาเป็นเครื่องรองรับจิตใจ
คนเราถ้าไม่มีฐานทางศาสนา หรือศีลธรรมประจำจิตใจแล้ว
การกระทำอะไรก็มักจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หมู่ของตัว คณะของตัว
มุ่งเอาแต่ว่าจะให้ได้ดังที่ตนต้องการ หรือที่หมู่คณะของตัวต้องการ
จะฆ่าหั่นคนสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร
แต่ให้มันไปบรรลุจะประสงค์อันนั้นก็แล้วกัน
อันนี้คือการคิดการกระทำที่ขาดฐานคือศาสนา เป็นหลักครองจิตใจ จึงได้คิดอย่างนั้น
มุทะลุไปใน รูปอย่างนั้น มุ่งแต่จะให้ได้ คนจะตายสักเท่าไรก็ช่างหัวมัน
อันนี้เป็นความยุ่งยากในสังคมมนุษย์ สมัยหนึ่ง ในสมัยโบราณโน้น
พระเจ้าอโศกมหาราชท่านก็มีความคิดอย่างนั้นในชั้นแรก ไม่มีฐานอริยธรรมอยู่ในใจ
ตามแบบของคนอินเดีย คนอินเดียเขาถือว่า
ธรรมะเป็นอริยธรรมของประเทศอินเดียไม่ว่าศาสดาผู้ใดจะ นำมาสอน
เขาก็ถือว่าเป็นอริยธรรมของอินเดียทั้งนั้น เขายึดถือไว้เป็นหลักเป็นฐานของจิตใจ
แต่ว่าพระ เจ้าอโศกในวัยหนุ่มท่านคึกคะนองไปหน่อย ท่านเอาฐานทิ้งเสีย
ท่านต้องการให้ได้ดังใจ ท่านจึงยกทัพ ไปเที่ยวรุกรานแคว้นนั้นแคว้นนี้
ฆ่าฟันผู้คนตายไปไม่น้อย
ในการรบครั้งสุดท้าย รบกันที่แคว้นกาลิงคะ ซึ่งเรียกในสมัยนั้นว่า
แคว้นโอริสา รบกันมาก คนตายมากเหลือเกิน ท่านไปยืนบงการอยู่ในสนามรบ
เห็นคนตายเกลื่อนกลาด เลือดนองแผ่นดิน ถ้าจะพูดเป็นสำนวนเขาเรียกว่า
"เลือดท่วมท้องช้าง" แต่ว่าความจริงมันไม่ท่วมหรอก มันออกแล้วมันก็จมดินไป
มันจะท่วมท้องช้างได้อย่างไร แต่อุปมาว่ามันมากเหลือเกิน ตายกันเกลื่อนกลาด
เมื่อเห็นคนตายเช่นนั้นฐานเดิมมันเกิดขึ้นในใจ
ความรู้สึกดั้งเดิมมันมีแต่ว่า ความที่ อยากเป็นใหญ่เป็นโต
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองบ้านครองเมืองนั้นรุนแรง เลยฐานนั้นไม่ปรากฏออก มา
คือเกิดความสังเวชสลดใจ ว่านี้เราทำอะไรกัน ทำไม่เราไปฆ่าผู้คนตายมากขนาดนี้
เราต้องการอะไร เราจะได้อะไร ก็ได้รับคำตอบว่า เราต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้
เราเป็นใหญ่แต่ว่าทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย มีความทุกข์ความเดือดร้อน
มันผิดอริยธรรมประเทศบ้านเมืองของเรา คนโบราณๆ เขา สอนไว้ว่า
ผู้ใดต้องการความสุข แต่ไปทำให้คนอื่นมีความทุกข์ความเดือดร้อน
ผู้นั้นจะไม่ได้ความสุขสมใจ
แต่ว่าผู้ใดต้องการความสุข แล้วไปช่วยให้มนุษย์ทั้งหลายมีความสุขขึ้นก่อน
ผู้นั้นแหละจะได้ความสุขทางใจ
ความสุข ความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจวาสนานั้น
ควรจะไต่เต้าไปในหนทางที่จะทำให้คนเป็นสุข มีความสบายไปโดยลำดับ
แต่ถ้าเราไต่เต้าไปบนฐานแห่งความทุกข์ ความเดือดร้อนของบุคคลอื่น
อันนี้มันไม่ใช่วิถีทางของบัณฑิต ไม่ใช่วิถีทางของอริยชนคนทั้งหลายจะพึงกระทำ
ในเรื่องอย่างนี้ เราควรจะนึกถึงคนๆ หนึ่ง ในสังคมยุคปัจจุบัน
คือท่านมหาตมะคานธีร์ ท่านมหาตมะคานธี ท่านมีฐานจิตใจมั่นคงด้วยศีลธรรมเหลือเกิน
ท่านเป็นคนยึดมั่นในศาสนา เป็นคนเคร่งครัดในหลักธรรมคำสั่งสอนในทางศาสนา
เริ่มชีวิตตั้งแต่เป็นเด็กน้อยๆ จนกระทั้งมาเป็นผู้ใหญ่การเมือง
แล้วก็ตายไปตามวิถีทางของชีวิต แต่การดำเนินชีวิตของท่าน ทุกบททุกตอน
ท่านถือหลักว่า อย่าทำให้ใครเดือดร้อน อุดมการของท่านมีอยู่ว่า
"อหิงสา ปรโม ธัมโม" การไม่เบียดเบียนเป็นบรมธรรม
การไม่เบียดเบียนเป็นอุดมการณ์ เป็นจุดหมายที่เราจะต้องปฎิบัติ
ไม่ให้เกิดการเบียดเบียน ไม่ให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน แม้แต่การต่อสู้
ถ้าทำให้ศัตรูเลือดตกยางออก นี้เป็นการต่อสู้ที่ไม่ชอบธรรม ไม่ใช่อุดมการณ์ของท่าน
แต่ว่าท่านจะไปห้ามคนมากๆ มันก็ไม่ไหว คนเยอะแยะที่มาร่วมงานกับท่าน
บางคนก็ใจร้อนใจเร็ว อยากจะให้ได้อะไรดังใจ
การที่จะให้ได้ดังใจมันต้องทุบต้องต่อยกันมั่ง
ถ้าเกิดมีการทุบตีกันขึ้นท่านเลิกทันที บอกว่าไม่เอาแล้วทำแบบนี้
มันไม่ถูกต้องฉันไม่ชอบวิธีการอย่างนี้ ต่อไปนี้ฉันจะทรมารตัวเอง แล้วฉันจะอดข้าว
ฉันจะไม่กินอาหารเดือนหนึ่ง เอาแล้วพวกเรานั้นกลัวคานธีร์จะตายขึ้นมาแล้ว
ต้องนั่งเงียบๆ ไปตามๆ กัน ไม่ลุกขึ้นไปต่อยใครตีใครอีกต่อไป
แม้ใครจะมาตีมาต่อยก็ไม่ยอมตอบ ท่านหัดคนอย่างนั้น ให้คนต่อสู้ด้วยอหิงสา
การต่อสู้ของท่านก็สำเร็จเหมือนกัน
แผ่นดินอินเดียก็ได้รับอิสรเสรีสมความตั้งใจด้วยวิธีการที่ท่านทำ
ทำให้ชาวโลกทั้งหลายได้มองว่า การต่อสู้ไม่ใช่จะสู้แบบสัตว์เดรัจฉานเสมอไป
เราสู้แบบมนุษย์ผู้มีคุณธรรมยิ่ง
เดี๋ยวนี้โลกมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่วิธีการของมนุษย์ผู้มีคุณธรรม
หรือพูดว่ามนุษย์มันก็พอแล้ว เพราะว่า มนุษย์หมายถึงผู้มีคุณธรรม มีจิตใจสูง
ถ้าเราจะต่อสู้แบบมนุษย์ เรื่องมันก็ไม่วุ่นวาย แต่ถ้าเราลืมความเป็น
มนุษย์เมื่อได้ ก็มีความวุ่นวายเหมือนกัน ได้ฟังการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร
วันพฤหัสบดี ถ้าไม่ไปไหนก็เปิดวิทยุนั่งฟังนอนฟังไปตามเรื่อง ทำงานอื่นไปบ้าง
ฟังไปบ้าง ฟังๆ ดูแล้วรู้สึกว่า การพูดอภิปรายของผู้แทนบางคนนั้น ขาดหลักคุณธรรม
ลืมความเป็นมนุษย์ไป มักจะพูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ออกนอกลู่นอกทาง
แล้วใช้ถ้อยคำสำนวน ซึ่งเด็กเลี้ยงวัวในทุ่งนามันก็ใช้
คำประเภทที่เด็กเลี้ยงวัวใช้ เราก็ไม่น่าเอามาใช้ในสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งเป็นสถานที่มีเกียรติ เป็นคนที่ประชาชนเขาเลือกเข้ามา เพื่อให้ทำหน้าที่แทนเขา
เราก็ควรสำรวมปาก สำรวมวาจา ให้เป็นการเรียบร้อย พูดหยาบคาย จนท่านประธานต้องบอกว่า
ผมเช็คดูแล้วว่าเครื่องขยายเสียงก็เรียบร้อย ประธานก็ดีฟังดูก็ใจเย็นพอใช้
ไม่พูดดังๆ พูดค่อยๆ แม้ใครจะดื้อก็พูดว่า นั่งลงๆ พูดค่อยๆ
เพราะค่อยมันก็ได้ยินไม่ต้องตระโกนก็ได้ แล้วถ้าคนไหนพูดดังท่านก็พูดว่า
ผมให้คนเช็คดูแล้วเครื่องขยายเสียงเรียบร้อยไม่เสีย พูดว่าอย่างนั้น
ก็เท่ากับพูดว่าไม่ต้องพูดดังๆ ก็ได้เพราะมีเครื่องขยายเสียงอยู่แล้ว
แต่ว่าก็ไม่พูดอย่างนั้น ใช้คำสุภาพนิ่มนวล น่าจะเป็นบทเรียนอยู่บ้าง
แต่คนบางคนก็เรียกว่าสันดานมันเป็นอย่างนั้น เคยพูดคำหยาบมาก่อนก็พูดออกไป
กระทบกระเทียบเปรียบเปรยคนนั้นคนนี้ต่างๆ นานา ฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามันแสลงหู
ไม่เหมาะที่จะไปพูดในรูปเช่นนั้น
แต่ว่าไม่มีโอกาสจะคุยกับคนเหล่านั้น ก็เลยพูดๆ ไปอย่างนี้
เผื่อว่าจะดังไปถึงคนเหล่านั้นบ้าง แล้วก็จะได้พูดว่า พระท่านติในเรื่องอย่างนี้
บัณฑิตติต้องฟังหน่อย ถ้าคนพาลติเขาติด้วยอารมณ์ แต่ถ้าพระสงฆ์องค์เจ้าติ
หมายความว่าท่านใช้เหตุผลคงไม่พูดด้วยอารมณ์แล้ว นี่แหละเขาเรียกว่าฐานไม่มีแล้ว
ฐานมันลำบาก
อาตมาจึงพูดกับคนบางคนว่า คนฐานเล็กนี่มันลำบาก
พอฐานเล็กข้างบนมันใหญ่โตขึ้นไปมันก็พังเท่านั้น เอง
เพราะฐานมันเล็กจะอยู่ได้อย่างไร ใครเป็นใหญ่เป็นโตถ้าฐานเล็กอยู่ไม่ได้
แต่ถ้าฐานใหญ่อยู่ได้ เพราะสิ่งใหญ่ๆ เช่นพระปรางค์วัดแจ้ง เจดีย์ภูเขาทอง
เราไปสังเกตุดู ฐานมันใหญ่ เขาลงรากไว้กว้างๆ ทำฐานใหญ่ๆ แล้วก็ค่อยๆ สูงๆ
ขึ้นไปจนถึงยอดเล็กที่สุดมันอยู่ได้ ถ้าทีนี้ ถ้าว่าฐานมันกลับกันเสียเอา
ยอดลงล่างเอาฐานขึ้นบนมันอยู่ไม่ได้
คนเราก็เหมือนกันถ้าเอายอดลงเอาฐานขึ้นมันอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่ทำอะไรแผลงๆ
ไม่เข้าท่าอะไรอย่างนั้นอาตมาเรียกว่า "คนฐานเล็ก" มันอยู่ไม่ได้เพราะฐานมัน
เล็กมันก็พังกันเท่านั้นเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอะไร
เพราะขาดธรรมะเป็นพื้นฐานทางจิตใจ แล้วไปทำ อะไรมันก็เสีย เราจึงต้องตั้งฐานไว้ในใจ
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ขอให้เราช่วยกันหน่อย
พบปะสมาคมกับใครๆ เราก็ช่วยพูดช่วยแนะช่วยชี้ให้เห็นว่า ฐานทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าไม่มีฐานแล้วอะไรมันตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะสิ่งทั้งหลายตั้งอยู่บนรากฐานของสิ่งเหล่านั้น
ทีนี้ชีวิตการทำงานของมนุษย์มันต้องมีฐาน ฐานนั้นก็คือ ความมีคุณธรรมในจิตใจ
ถ้ามีคุณธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว เราก็อยู่ด้วยความเรียบร้อย ฐานที่ควรจะตั้งไว้ทั่วๆ
ไปนั้น เราก็ควรมีหลักสักอย่างไว้ในจิตใจ เช่นในเบื้องต้นก็มีหลักเกี่ยวกับชาติ
เกี่ยวกับประเทศ เกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกว่า
เป็นประมุขของชาติของบ้านเมืองที่ เราพูดกันว่า ชาติ ศาสนา องค์พระมหากษัตริย์
อันนี้ เป็นฐานเป็นสิ่งตั้งไว้ในใจ ว่าเราจะเป็นอยู่ทำงานทำการทุกอย่าง
เพื่อสิ่งเหล่านี้ เราอยู่เพื่อประเทศชาติ เราอยู่เพื่อศาสนา เพื่อธรรมะ
เราอยู่เพื่อองค์พระมหากษัตริย์ ที่เป็นประมุขของชาติของบ้านเมือง เราบูชาสิ่งนั้น
เราต้องการให้ชาติอยู่อย่างนี้
คือมีชาติ มีศาสนา มีองค์พระมหากษัตริย์
เราถือหลักนี้ไว้ในใจแล้วเราก็สอนลูก สอนหลานเราให้เข้าใจ ว่าเมืองไทยของเรานั้น
ต้องประกอบด้วยชาติ ศาสนา ด้วยองค์พระมหากษัตริย์ ประเทศอื่นบางทีเขามี ไม่ครบ
บางที่เขามีแต่ชาติแต่เขาไม่มีศาสนาก็มี เขาไม่มีองค์พระมหากษัตริย์ก็มี
เขาก็อยู่ได้ แต่การอยู่ มันไม่เหมือนกัน การอยู่โดยไม่มีศาสนานั้น
อยู่ได้ด้วยการบังคับอย่างแรง อยู่กันเหมือกับอย่างว่าต้องถือ แส้กันอยู่ตลอดเวลา
เหมือกับผู้คุมนักโทษเอานักโทษไปใช้งาน เขาต้องคุมอยู่ตลอดเวลา ถ้านักโทษเกะ
กะยิ่งคุมใหญ่ต้องถือหวาย ถือมีดถือปืนไว้แล้วคอยจ้องอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้คนเหล่านั้นทำงานเป็นปกติ
แต่ถ้าผู้ต้องขังเหล่านั้นมีจิตสำนึกในหน้าที่ในการงาน ไม่ต้องคุมก็ได้
ปล่อยให้ทำงานทำการได้
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทางเรือนจำบางขวาง เขาส่งผู้ต้องหามาถางหญ้าในวัดนี้
มาถางอยู่หลายวัน แล้วก็มีคนมาคอยคุม
อาตมาสังเกตดูคนคุมไม่ใช่ว่าไปยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลาหามิได้ เขาก็ไปนั่งที่ร่มๆ
แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วก็ให้คนทำงานไป
นึกถึงสมัยเด็กเลี้ยงควายอยู่ในทุ่ง
ควายที่มันไม่เกเรเราไม่ต้องไปตามมันหรอก เรามานั่งที่ร่มไม้ เล่นหมากรุกกันก็ได้
เล่นเสือกินวัวกันก็ได้เล่นอะไรก็ได้ ปล่อยควายไปตามเรื่อง มันไม่ไปไหน มันกิน
หญ้าอยู่บริเวณนั้น แล้วไม่ไปทำให้ใครเสียหาย แต่ถ้าเรามีควายสักตัวที่มันชอบเดิน
เขาเรียกว่าควาย เกเรชอบเดิน เดินเรื่อยๆ
เรานั่งนานไม่ได้แล้วต้องคอยดูมันมันจะเดินไปไหน เดี่ยวมันไปลงหม้อแกงที่
บ้านโน้นเสียเท่านั้น ต้องเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เกิดเป็นความทุกข์ คนเรานี่ก็เหมือนกัน
ถ้าอยู่โดยเขา คุมอยู่ตลอดเวลา มันสบายไหม มนุษย์เราอยากมีสิทธิเสรีตามเรื่อง
แม้เด็กตัวน้อยๆ มันก็อยากจะสบาย เราไปคอยอุ้มมันตลอดเวลาไม่ใช่มันชอบใจ
เขาอยากจะทำอะไรตามเรื่องราว เราผู้เลี้ยงเพียงแต่คอยจับตาดูไว้
อย่าให้มันตกลงไปข้างล่าง อย่าให้มันไปเล่นของที่เป็นอันตราย
ปล่อยให้เขาเป็นอิสระพอสมควร เขาก็อยู่ได้สบาย เพราะมนุษย์นี้ต้องการอิสระ
ต้องการเสรี แต่ถ้ามีคนคอยบังคับเคี่ยวอยู่ตลอดเวลามันก็ไม่สบายใจ
อย่างนี้เพราะไม่มีศาสนาเป็นเครื่องบังคับจิตใจ ต้องบังคับให้อยู่ในสภาพอย่างนั้น
บ้านเมืองเราไม่อย่างนั้น เรามีสิ่งที่เรียกว่า มีชาติเป็นพื้นฐาน
มีศาสนาเป็นหลักใจ มีพระมหากษัตริย์เป็นธงชัยในชาติในบ้านเมือง
นี่เป็นหลักฐานที่สำคัญเบื้องต้น
แต่ว่าฐานใหญ่คือศาสนา ธรรมเป็นหลักครองใจ
เราจะต้องมีธรรมะเป็นหลักประคับประคองจิตใจไว้ เช่นว่าอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม
เป็นพื้นฐานเบื้องต้น การอยู่ในศีลในธรรมนั้น ก็เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ ด้วยความสุข
ไม่มีความวุ่นวาย นี่เป็นหลักฐานอันแรก แล้วต่อไปเราก็มีหลักศาสนาคุ้มครองใจ หลัก
ศาสนานั้นหมายถึงข้อปฏิบัติ ที่ทำให้จิตใจเราพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน
ตัวศาสนาแท้ๆ คือตัว การปฏิบัติที่ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน
ก็ใครบ้างที่ยังมีความทุกข์ความเดือดร้อน ก็ต้องมี ศาสนาเป็นยาสำหรับแก้ความทุกข์
เราจึงต้องมีหลักศาสนาประจำจิตใจ
คนไม่มีศีลธรรมคนอื่นรู้ว่าไม่มีศีลธรรม
คนไม่มีศาสนาตัวเองรู้ว่าไม่มีศาสนา เพราะอะไร
คือเรารู้ว่าเราเป็นทุกข์เราไม่สบายใจ เรามีความวุ่นวายทางจิตใจ
เราจึงได้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน เราก็ต้องรีบเชิญธรรมะเข้ามาใส่ไว้ในจิตใจ
มาคิดมาแก้ปัญหา คือมาคิดว่าทำไมจึงต้องเป็นทุกข์ ทำไมต้องเดือดร้อนใจ
อะไรเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ให้พิจารณาด้วยปัญญาให้คิดค้นจาการคิดการพูด
การกระทำของเราเองในเวลาที่ผ่านมาแล้ว ว่าเราได้ทำอะไรไว้บ้าง
แล้วสิ่งนั้นมันจึงได้เกิดขึ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันทำให้เรามีจิตใจไม่สบาย
ีความทุกข์มีความเดือดร้อน เราจะตัดสิ่งนั้นไม่กระทำต่อไปได้หรือไม่
การที่เราจะตัดอะไรนั้น เราก็ต้องพิจารณาในแง่ดีและแง่เสียของสิ่งนั้น
พิจารณาในแง่ดีว่ามันดีอย่างไรบ้าง แล้วต่อไปพิจารณาในเสียของสิ่งนั้น
เสียกับดีอันไหนมันมากกว่ากัน สองอย่างเอามาขึ้นตาชั่งดูแล้วเห็นว่า
เรื่องเสียมีมากกว่า แต่ว่าดีนิดเดียวมันไม่คุ้มกันกับเรี่ยวแรง เวลา ที่เราลงทุนไป
เพราะฉะนั้นเราเลิกดีกว่า การที่จะเลิกนั้นต้องแข็งใจเลิก
ถ้าไม่แข็งใจเลิกแล้วก็เลิกไม่ได้ พอใจอ่อนแอเราก็แพ้มันเรื่อยไป แต่ถ้าเราแข็งใจ
เออ วันนี้จะสู้มันหน่อยแข็งใจไว้ ไม่ทำดังที่เราเคยกระทำ ถ้าแข็งใจไว้ได้
อดทนบังคับตัวเองไว้ได้ ไม่เท่าใดเราก็ชนะ การต่อสู้มันลำบากนิดหน่อย
สบายตอนชนะแล้ว คนเราก็เหมือนกัน อารมณ์อันใดที่มันทำให้เกิดความเสียหาย เราต่อสู้
คณะต่อสู้มันวุ่นวาย ฝ่ายหนึ่งจะเอาให้ชนะ อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเอาให้ชนะ
ถ้าฝ่ายดีมีกำลังมาก ฝ่ายเสียแพ้ ถ้าฝ่ายชั่วมีกำลังมากฝ่ายดีแพ้
ถ้าฝ่ายดีแพ้ไม่ก้าวหน้าเราต้องให้ฝ่ายดีชนะ เพิ่มกำลังฝ่ายดี
คือเพิ่มความอดทนมากขึ้น เพิ่มการบังคับตัวเองมากขึ้น เพิ่มสติปัญญาให้มากขึ้น
พิจารณาหาเหตุผลตลอดเวลา ขณะที่เราพิจารณาหาเหตุผลในเรื่องนั้น
จิตมันก็อยู่ในความดีแล้ว ความคิดในเรื่องที่จะทำสิ่งชั่วร้าย
มันก็หายไปแล้วในขณะนั้น แล้วเราก็คิดเรื่อยไปๆ ความคิดชั่วมันก็ไม่เข้ามา
มันก็พอชนะได้ ทีนี้เมื่อชนะอะไรแล้ว
ต้องรักษาความชนะนั้นไว้อย่าให้กลับแพ้เสียเป็นอันขาด
เพราะฉะนั้นต้องตั้งฐานไว้ให้ดี แล้วก็เพิ่มกำลังให้ฐานนั้นงอกงามไปในทางดีตลอดเวลา
เราก็จะเอา ตัวรอดปลอดภัยพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
ดังที่ได้แสดงมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่ญาติโยมทั้งหลาย
ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติ ไว้แต่เพียงเท่านี้
<< ย้อนกลับ
» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
» หลักใจ
» เกิดดับ
» มรดกธรรม