ศิลปะ หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ >>

ประวัติศาสตร์ศิลป์

ศิลปะเครื่องประดับช่วงยุคกลาง

เมื่อศาสนามีอิทธิพลอันยาวนาน ทำให้เครื่องประดับเกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อย และผู้ที่เป็นช่างทองหรือนักทำเครื่องประดับคือ บาทหลวง หรือพระในศาสนาคริสต์ ทำให้รูปแบบของเครื่องประดับมีลักษณะของไม้กางเขนและเรื่องราวเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า และอยู่ในโบสถ์เป็นส่วนมาก บาทหลวงหรือพระเป็นผู้กำหนดเครื่องประดับเรื่อยมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงเรียกในช่วงนี้ว่า ยุคกลาง หรือ ยุคมืด

ศิลปะเครื่องประดับช่วงยุคกลางอยู่ในช่วงปี ค.ศ.600 ถึง 1400 ช่วงยุคกลางมีการแต่งกายที่เรียบๆ มีเข็มกลัดติดอยู่บริเวณคอเท่านั้น มีหัวเข็มขัด มีแหวน ส่วนวัสดุที่ใช้มีงาช้าง นิล ปะการัง ไม้ หินอัญมณี และโลหะมีค่า เพื่อทำเป็นลูกประคำเพื่อใช้ในการสวดมนต์ในพิธี ส่วนสร้อยคอและการตกแต่งสิ่งของนำมาทำเป็นเครื่องรางตามความเชื่อที่อยู่เหนือธรรมชาติ หินที่ใช่ก็จะต้องมีพลังในการป้องกัน ตัวอย่างเช่น แอมิทิสจึงเป็นหินเพื่อป้องกันอาการเมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ปะการังเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจ และมรดกเพื่อป้องกันโรคลมบ้าหมู คริสตัลเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ เป็นต้น

เครื่องประดับประเภทร้อยในยุคกลางนี้ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางศาสนา มีการสวมใส่กันในหมู่ คริสเตียน วัตถุดิบส่วนใหญ่นิยมมาจากประเทศรัสเซีย เมื่อศาสนาเป็นหัวใจสำคัญของสังคมในยุคกลางนี้ เครื่องประดับประเภทร้อยที่มีความโดดเด่น เครื่องประดับที่เป็นเครื่องรางหรือสร้อยลูกประคำ

เครื่องประดับที่เป็นเครื่องราง หรือสร้อยลูกประคำ หมายถึงการใช้นิ้วมือในการสัมผัส และอีกส่วนเพื่อการสวดมนต์ รูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปมัดด้วยหนังที่เย็บไว้เป็นปมเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีแหวนกระดูกที่ทำจากปลาด้วย ต้นแบบของเครื่องประดับกลุ่มนี้คือ กลุ่มฮินดูนอกจากนี้ยังพบในกลุ่มชาวพุทธ ธิเบต จีน และญี่ปุ่น โดยการร้อยเมล็ด 108 เม็ด หมายถึงความเจริญของพุทธศาสนา กฎระเบียบและความยินดี ชาวคริสเตียนรู้จักครั้งแรกมาจากอาหรับเนื่องจากชาวมุสลิมได้เข้ามาบุกรุกในสเปนในศตวรรษที่แปด เกิดสัญลักษณ์ดอกไม้หรือดอกกุหลาบ และสวน ฮินดูชื่อ japamala คือ การท่องพึมพำ เป็นรูปกลีบดอกไม้ม้วน

ศาสนาพุทธ มีพระสงค์และผู้นับถือศาสนา ชาวโรมันคาร์ธอลิก มีคุณพ่อ ลูกชาย และพระเจ้าโฮลี่ ลูกปัดของชาวพุทธและฮินดูมี 108 เม็ด มุสลิม 99 เม็ด และชาวโรมันคาร์ธอลิกมี 150 เม็ด ความสำคัญอยู่ที่การจัด วัสดุจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดพลังในความเชื่อของภูตผี วิญญาณ ดังนั้นวัสดุจึงได้แก่ อาเกต เพื่อการศาสนาและเพื่อในการป้องกัน ปะการังแสดงถึงเลือดและดวงวิญญาณ

การสวดมนต์มีลักษณะเป็นวรจร ลูกปัดจึงเป็นทรงกลม ขนาดของวงจรจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กรู้ได้จากการเริ่มต้นและสิ้นสุดของการสวดมนต์ พระเจ้าคือศูนย์กลางของทุกสิ่ง การสวดมนต์จึงจำเป็นต้องมีคำพูด การเคลื่อนย้ายนิ้วมือและการใช้หูฟังของชาวตะวันออกผู้ที่สวดมนต์จะนับและมีการขยับมือหนึ่งข้าง ส่วนชาวตะวันตกจะถือไว้สองมือเป็นลักษณะขนานกัน ส่วนชาวฮินดูได้สวดมนต์ทุกๆ วัน โดยมีการพิมพ์ข้อความสองคำคือ ศิวะ และ วิษณุ

ส่วนชาวพุทธมีต้นแบบมาจากอินเดียเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตศักราช ชาวธิเบตใช้ลูกปัดทั้งหมด 108 ลูก คนทั่วไปอยู่ที่จำนวน 30 หรือ 40 ลูก เพื่อการเข้าฌานและเพื่อบรรลุความรอบรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น ส่วนลูกปัดของชาวธิเบธที่มีราคาสูงที่สุดนั้นทำมาจากกระดูกของลามะ มีทั้งหมด 108 ลูกเช่นกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มเท่ากับ 27 ลูก จุดต้นและจุดท้ายจะมาชนกัน เพื่อใช้นับรอบในการสวดมนต์ ลูกปัดลูกสุดท้ายจะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นศาสนาพุทธ ส่วนชาวเกาหลีมีทั้งหมด 110 ลูก มีขนาดใหญ่ที่สุด 2 ลูก ลูกที่หนึ่งถูกตกแต่งด้วยเครื่องหมายสวัสติกะและเริ่มต้นที่เกลียวเชือก ส่วนอีกลูกหนึ่งจะอยู่ตรงกลาง ได้ถูกยกย่องว่าเป็นลูกประคำคลาสสิค

ชาวพุทธในประเทศญี่ปุ่นมีทั้งหมด 112 ลูก ศาสนาอิสลามมีจำนวนทั้งหมด 99 ลูก มีหนึ่งลูกเป็น iman หรือผู้นำ การนับลูกปัดทั้ง 99 ลูกนั้นคือพระเจ้าโฮลี่ ลูกที่หนึ่งร้อยหมายถึง ชื่อของพระเจ้า Allah รวมถึง tahmid หมายถึงการสรรเสริญต่อพระเจ้า และ tahlit พระเจ้าไม่มีทางตาย ลูกที่หนึ่งร้อยจะเป็นชื่อของพระเจ้า พระมูฮัมหมัดกล่าวไว้ว่า ทั้งเก้าสิบเก้าชื่อเป็นของพระเจ้า และการสวดมนต์กระทำเพื่อให้พวกเขาจะเข้าสู่สรวงสวรรค์ ผู้ซึ่งสวด tahmid หนึ่งร้อยครั้งในตอนเช้าและตอนเย็น พวกเขาจะได้พรจากพระเจ้า

ส่วนทางด้านโรมันคาร์ธอลิกมีลูกประคำทั้งหมด 150 ลูก เป็นของ Ave สำหรับผู้ที่จะสวดมนต์ Hail Mary ตามมาด้วย Paternoster (ลอร์ดจะเป็นผู้สวด) หมายถึง การมีชีวิตของพระเยซูและพระแม่แมรี่ ซึ่งเป็นความยินดีห้าประการ ความเสียใจห้าประการ และสิ่งลี้ลับอีกห้าประการ (Margaret L. Kaplan, 84-91)

» ลักษณะต้นแบบโบราณ

» ลักษณะการนำต้นแบบมาพัฒนาใหม่ หรือมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ

» ลักษณะการออกแบบรูปแบบใหม่

» ลักษณะการออกแบบข้ามวัฒนธรรม

» ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุดก่อนประวัติศาสตร์

» ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับอารยธรรมโบราณ

» ศิลปะเครื่องประดับอียิปต์ (Egypt)

» ยุค Middle Kingdom หรือยุคอาณาจักรกลาง

» ยุค New Kingdom หรือยุคอาณาจักรใหญ่

» ศิลปะเครื่องประดับเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)

» ศิลปะเครื่องประดับมิโนอัน - ไมซีเน (Minoan - Mycenae)

» ศิลปะเครื่องประดับกรีก (Greek)

» ศิลปะเครื่องประดับอีทรัสกัน (Etrucan)

» ศิลปะเครื่องประดับเชลติก (Celtic)

» ยุค Princes

» ยุควัฒนธรรม La Tene

» ยุคขยายอาณาจักร

» ยุคอิทธิพลของนักรบ

» ศิลปะเครื่องประดับโรมัน (Rome)

» ศิลปะเครื่องประดับไบแซนไทน์ (Byzantine)

» ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุคประวัติศาสตร์

» ศิลปะเครื่องประดับช่วงยุคกลาง

» ศิลปะเครื่องประดับโกธิค (Gothic)

» ศิลปะเครื่องประดับสมัยเรอนาซองค์ (Renaissance)

» ศิลปะเครื่องประดับแมนเนอริส (Mannerist)

» นักออกแบบเครื่องประดับ Benvenuto Cellini

» การออกแบบเครื่องประดับเชิงนามธรรม

» ศิลปะเครื่องประดับสมัยอลิซาเบธที่ 1

» ศิลปะเครื่องประดับบาร็อค (Baroque)

» การประดิษฐ์ตกแต่ง

» ศิลปะเครื่องประดับโรโคโค

» ศิลปะเครื่องประดับนีโอคลาสสิค

» ศิลปะเครื่องประดับคาเมโอ (Cameo)

» ศิลปะเครื่องประดับนโปเลียนกับโจเซฟิน (Napoleon & Josephine)

» ศิลปะเครื่องประดับแบบคัทสติล (Cut Steel)

» ศิลปะเครื่องประดับแบบแชทเทิลเลน (Chatelaines)

» ศิลปะเครื่องประดับสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19

» ศิลปะเครื่องประดับอนุรักษ์นิยม

» นักออกแบบเครื่องประดับ Fortunato Pio Castellani

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อนาย Carlo Giuliano

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Peter Carl Faberge

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Eugene Fontenay

» ศิลปะเครื่องประดับอาร์ตนูโว (Art Nouveau)

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Rene Lalique

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Charles Lewis Tiffany

» ศิลปะเครื่องประดับวิคตอเรีย (Victoria)

» ศิลปะเครื่องประดับสมัยใหม่

» ศิลปะเครื่องประดับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

» นักออกแบบเครื่องประดับ Fulco di Verdura

» ศิลปะเครื่องประดับอาร์ตเดโค (Art Deco)

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1920

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1930

» นักออกแบบเครื่องประดับเทียมชื่อ McClelland Barclay

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1940

» บริษัทที่ออกแบบเครื่องประดับเทียมชื่อ Trifari

» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Coro

» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Boucher

» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Haskell

» บริษัทเครื่องประดับแท้ชื่อ Cartier

» บริษัทเครื่องประดับแท้ชื่อ Van Cleep & Arpels

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1950

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Daniel Swarovski

» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Eisenberg

» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Hobe

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1960

» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Bulgari

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1970

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1980

» ศิลปะเครื่องประดับยุค 1990

» ศิลปะเครื่องประดับหลังสมัยใหม่

» ศิลปะเครื่องประดับมินิมอล (Minimalism)

» ศิลปะเครื่องประดับเชิงศิลปะ

» ศิลปะเครื่องประดับเชิงอุตสาหกรรม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย