ศิลปะ หัตถกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม สันทนาการ >>
ศิลปะเครื่องประดับโรมัน (Rome)
หลังจากสิ้นสุดอารยธรรมของชาติอิทรัสกัน ได้กลายมาเป็นชาวอิตาลีโรมัน
โดยอาณาจักรโรมันอยู่ในช่วงระหว่าง 500 ปีก่อนคริสตศักราช จนถึงปี ค.ศ.395
ซึ่งได้แบ่งอาณาจักรออกเป็นยุคต่างๆ ดังนี้
การแบ่งอาณาจักรโรมันแบ่งออกเป็น 3 ยุคดังนี้
- ยุค Republican Period หรือเรียกว่ายุคสาธารณรัฐ อยู่ในช่วงระหว่า 500 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง 27 ปีก่อนคริสตศักราช
- ยุค Early Imperial Period หรือเรียกว่ายุคจักรวรรดิตอนต้น อยู่ในช่วงระหว่าง 27 ปีก่อนคริสตศักราชถึงปี ค.ศ.28
- ยุค Late Imperial Period หรือเรียกว่ายุคจักรวรรดิตอนปลาย อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 285 ถึงปี ค.ศ.395
ในช่วงต้นของสมัยโรมันยุค Republican Period หรือเรียกว่ายุคสาธารณรัฐ
เมื่อประมาณ 500 ถึง 27
ปีก่อนคริสตศักราชมีลักษณะเรียบง่ายไปจนถึงสร้างเป็นจักรวรรดิโรมัน
มีการขยายอาณาจักรโรมจึงกลายเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ
มีโครงสร้างทางการเมืองและสังคมที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
เมื่อพระเจ้าซีซาร์ถูกปลงพระชนม์เมื่อ 44 ปีก่อนคริสตศักราช
ออกุสตุสหลานชายหรือบุตรบุญธรรมได้ชนะศัตรูทั้งหลายและตั้งตนเป็นจักรพรรดิ์โรมันพระองค์แรกเมื่อ
27 ปีก่อนคริสตศักราช
หลังจากนี้ดินแดนเมดิเตอร์เรเนียนมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยาวนานถึง 200 ปี
หลังจากเข้าศตวรรษที่ 3 อาณาจักรแห่งจี้จึงได้ล่มสลายลง
เกิดจากความสับสนวุ่นวายภายในของอาณาจักรเอง จนกระทั่งจักรพรรดิในปี ค.ศ.473
อาณาจักรโรมพ่ายแพ้แก่ชาวเออเมเนียและชาวอัสซีเรีย
ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยอรมันและทางตอนเหนือของอังกฤษ จึงจำเป็นต้องอพยพออก
และได้ไปสิ้นสุดที่ดินแดนใหม่คือ กรุงคอนสแตนติโนเปิล
ศิลปะของโรมันได้ปรากฏขึ้นโดยเน้นความงามทางกายภาพ
โดยเฉพาะความงามของพระเจ้าอะเธน่าที่ชาวโรมันให้ความนับถือ
ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทในอาณาจักรโรมันทำให้การออกแบบเครื่องประดับได้รับอิทธิพลในการใช้สัญลักษณ์เพื่อศาสนาเข้าไปด้วย
แต่การออกแบบยังมีลักษณะเรขาคณิต
โดยเฉพาะการใช้รูปทรงโค้งที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวโรมัน
เครื่องประดับของโรมันมีรสนิยมแบบตะวันออก
ใช้หินสีเช่นเดียวกันกับอิทรัสกันที่ใช้ทองคำมาตกแต่งผิวหน้า
มีการใช้สีและทองคำอีกรูปแบบหนึ่ง
เครื่องประดับในโรมไม่ปรากฏอย่างหรูหราแต่อีกประมาณร้อยปีจึงปรากฏแหวน สร้อยคอ
และเครื่องประดับอื่นๆ ของชาวโรมัน
ความกว้างใหญ่ของพระจักรพรรดิทำให้การค้ามีเครือข่าย มีการใช้วัสดุมีค่า
มีไข่มุกและปะการังที่มาจากอ่าวเปอร์เซีย
และมีมรกตที่มาจากเหมืองแร่อียิปต์ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลแดงก็นำมาทำสร้อยคอและต่างหู
การค้าของยุโรปทางเหนือได้ทำการค้ากับอังกฤษและมีการนำอำพันมาจากบอลติก
โดยชาวเรือโรมันเป็นที่ขึ้นชื่อของชาวเมดิเตอร์เรเนียน ในการค้นพบอินเดีย
พม่าและศรีลังกา ซึ่งเป็นแหล่งหลักๆ ของทับทิม แซฟไฟร์ และการ์เนต
ชาวโรมันก็เป็นผู้ค้นพบ
นอกจากนี้ยังพบห้องปฏิบัติการเก่าชาวเฮเลนนิสติคสมัยอเล็กซานเดรียในโรม
ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการผลิตเครื่องประดับของสำนักพระราชวังชาวโรมัน
อย่างไรก็ตามการทำงานของช่างฝีมือของโรมได้มาจากจังหวัดที่อยู่ทางตะวันออกเป็นหลัก
จนมาถึงช่วงปลายของอาณาจักรโรมัน หรือยุค Late Imperial Period
หรือที่เรียกว่ายุคจักรวรรดิตอนปลายนั้น
มีการออกแบบเครื่องประดับโดยการยึดการจัดอัญมณีแบบกากบาทมากยิ่งขึ้น
และเริ่มต้นมีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนามากขึ้นด้วยเช่นกัน
ในช่วงปี 100 ถึง 400 เป็นช่วงยุคทองของการทำแก้ว
ชาวโรมันนำลูกปัดแก้วไปเป็นวัสดุทางการค้า โดยการผลิตมีการจัดการของสี แพทเทิร์น
และการผสมผสานเทคนิค เครื่องประดับจากชาวโรมัน
สนองตอบความต้องการของสังคมอย่างกว้างขวาง
มีการแลกเปลี่ยนไกลไปทางตอนเหนือถึงสแกนดิเนเวีย และไกลไปทางตะวันออกและใต้
หลังจากชัยชนะของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ได้มีการฝึกช่างทำเครื่องประดับซึ่งมาจากการออกแบบภายในของอียิปต์
ช่างฝีมือมาจากศูนย์กลางที่ตั้งใหม่จังหวัดหนึ่งของโรมัน มีการจัดตั้งโรงงาน
ทำเทคนิคและรูปแบบ มีการใช้เทคนิคการผลิตระยะยาว
จัดเป็นความคิดสร้างสรรค์ในการจัดการ
มีเตาหลอมละลายขนาดใหญ่กว่าด้วยไฟที่ร้อนกว่าเพื่อเป็นการสร้างสรรค์ผลงานให้แปลกมากยิ่งขึ้น
ส่วนผสมการทำแก้ว มีทราย ด่าง และตัวทำให้เกิดสีเท่านั้น
เป็นการผลิตแก้วที่มีเนื้อแก้วได้เพียวกว่า มีการนำหลอดเป่าแล่นเข้ามา
ทำให้โรงงานเครื่องประดับทันสมัยมากขึ้นเปิดเส้นทางในการค้นหาเทคนิคใหม่ๆ
ทั้งรูปแบบและการตกแต่งลวดลายเสมอ
» ลักษณะการนำต้นแบบมาพัฒนาใหม่ หรือมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ
» ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุดก่อนประวัติศาสตร์
» ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับอารยธรรมโบราณ
» ศิลปะเครื่องประดับอียิปต์ (Egypt)
» ยุค Middle Kingdom หรือยุคอาณาจักรกลาง
» ยุค New Kingdom หรือยุคอาณาจักรใหญ่
» ศิลปะเครื่องประดับเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)
» ศิลปะเครื่องประดับมิโนอัน - ไมซีเน (Minoan - Mycenae)
» ศิลปะเครื่องประดับกรีก (Greek)
» ศิลปะเครื่องประดับอีทรัสกัน (Etrucan)
» ศิลปะเครื่องประดับเชลติก (Celtic)
» ศิลปะเครื่องประดับโรมัน (Rome)
» ศิลปะเครื่องประดับไบแซนไทน์ (Byzantine)
» ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุคประวัติศาสตร์
» ศิลปะเครื่องประดับช่วงยุคกลาง
» ศิลปะเครื่องประดับโกธิค (Gothic)
» ศิลปะเครื่องประดับสมัยเรอนาซองค์ (Renaissance)
» ศิลปะเครื่องประดับแมนเนอริส (Mannerist)
» นักออกแบบเครื่องประดับ Benvenuto Cellini
» การออกแบบเครื่องประดับเชิงนามธรรม
» ศิลปะเครื่องประดับสมัยอลิซาเบธที่ 1
» ศิลปะเครื่องประดับบาร็อค (Baroque)
» ศิลปะเครื่องประดับนีโอคลาสสิค
» ศิลปะเครื่องประดับคาเมโอ (Cameo)
» ศิลปะเครื่องประดับนโปเลียนกับโจเซฟิน (Napoleon & Josephine)
» ศิลปะเครื่องประดับแบบคัทสติล (Cut Steel)
» ศิลปะเครื่องประดับแบบแชทเทิลเลน (Chatelaines)
» ศิลปะเครื่องประดับสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19
» ศิลปะเครื่องประดับอนุรักษ์นิยม
» นักออกแบบเครื่องประดับ Fortunato Pio Castellani
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อนาย Carlo Giuliano
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Peter Carl Faberge
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Eugene Fontenay
» ศิลปะเครื่องประดับอาร์ตนูโว (Art Nouveau)
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Rene Lalique
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Charles Lewis Tiffany
» ศิลปะเครื่องประดับวิคตอเรีย (Victoria)
» ศิลปะเครื่องประดับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
» นักออกแบบเครื่องประดับ Fulco di Verdura
» ศิลปะเครื่องประดับอาร์ตเดโค (Art Deco)
» นักออกแบบเครื่องประดับเทียมชื่อ McClelland Barclay
» บริษัทที่ออกแบบเครื่องประดับเทียมชื่อ Trifari
» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Coro
» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Boucher
» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Haskell
» บริษัทเครื่องประดับแท้ชื่อ Cartier
» บริษัทเครื่องประดับแท้ชื่อ Van Cleep & Arpels
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Daniel Swarovski
» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Eisenberg
» บริษัทเครื่องประดับเทียมชื่อ Hobe
» นักออกแบบเครื่องประดับชื่อ Bulgari
» ศิลปะเครื่องประดับหลังสมัยใหม่
» ศิลปะเครื่องประดับมินิมอล (Minimalism)