สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้
ความรู้เรื่องโรคไข้หวัดนก
มิสเตอร์ไข้หวัดนก
การแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก
เตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ปัญหาการระบาดใหญ่ฯ
ระบาดวิทยาของไข้หวัดนกทั่วโลก
ระบาดวิทยาของโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย
แนวทางการป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดนก และโรคติดต่ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ
การเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในคน
ระบบการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบัติการ
ลักษณะทางคลินิกและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดนก
แนวทางการรักษาพยาบาลสำหรับโรคไข้หวัดนกและการติดตามผู้ป่วย
ข้อปฏิบัติสำหรับบุคลากรในการดูแลผู้ป่วยที่สงสัยเป็นโรคไข้หวัดนก
บทบาท อสม. และกระบวนวิธีการขับเคลื่อนแผนที่ยุทธศาสตร์ฯ
โครงสร้างการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนกของกระทรวงฯ
แนวทางการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ในการป้องกันฯ ระดับจังหวัด
ถาม-ตอบ เรื่องไข้หวัดนก
แนวทางการป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดนก และโรคติดต่ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ
ส.พญ.ดาริกา กิ่งเนตร สำนักโรคติดต่อทั่วไป
จากธรรมชาติของโรคไข้หวัดนกที่มีความซับซ้อน
สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายในสัตว์ปีกหลากหลายชนิด และก่อโรครุนแรงในคน
ทำให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่อาจรับมือกับปัญหานี้ได้โดยลำพัง
จึงจำเป็นต้องนำการดำเนินงานแก้ไขปัญหาในลักษณะเชิงรุกและการบริหารจัดการแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานเข้ามาช่วย
เพื่อให้สามารถจัดการแก้ปัญหาได้อย่างคล่องตัว ไม่ซ้ำซ้อน และมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนั้นในระยะที่ผ่านมายังพบว่า
ความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคติดต่ออุบัติใหม่รวมทั้งไข้หวัดนก
มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอด
และการปกป้องคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากโรคเหล่านี้
จะต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างเหมาะสม โดยการพัฒนาระบบ กลไก ศักยภาพ
และทรัพยากรด้านต่าง ๆ ไว้อย่างเหมาะสมต่อเนื่อง
ซึ่งบทเรียนที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ของการเตรียมพร้อมไว้อย่างชัดเจน
ดังเช่นกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขสามารถปรับใช้มาตรการต่าง ๆ สำหรับโรคซาร์ส
มาแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกได้ทันที ซึ่งอาจสรุปได้ว่า
การเตรียมพร้อมเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในภาพรวม
โดยจะส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการจัดการภัยคุกคามจากโรคอุบัติใหม่อื่น ๆ
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นเดียวกัน
สภาพปัญหาและแนวโน้มการเกิดโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำ
โรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำมีโอกาสระบาดอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ซึ่งนอกจากการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute
Respiratory Syndrome) หรือโรคซาร์ส (SARS) ในปี พ.ศ. 2546 และโรคไข้หวัดนก (Bird
Flu) ในปี พ.ศ. 2547 ที่มีผลกระทบรุนแรงแล้ว ยังมีโรคอื่น ๆ
ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อใด เช่นขณะปัจจุบัน
มีความกังวลในวงกว้างว่า อาจเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดนก
จนนำไปสู่การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ (Influenza Pandemic) ซึ่งจะมีผลกระทบรุนแรง
ทำให้ผู้คนต้องเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีข้อมูลว่า
โรคบางโรคที่ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้วอย่างเช่นไข้ทรพิษ (Smallpox)
ก็อาจมีผู้จงใจนำเชื้อกลับมาแพร่ระบาดซ้ำอีกครั้ง สำหรับประเทศไทย กาฬโรค (Plague)
ที่ถูกกำจัดไปแล้ว โรคโปลิโอ (Poliomyelitis) กำลังเป็นเป้าหมายการกวาดล้างทั่วโลก
และไม่มีผู้ป่วยในประเทศไทยมาเป็นเวลานานถึง 8 ปีแล้ว
รวมทั้งอีกหลายโรคที่ถูกควบคุมจนมีปัญหาลดน้อยลงมากแล้ว เช่น โรคเรื้อน (Leprosy)
โรคเท้าช้าง (Filariasis) และมาลาเรีย (Malaria)
ก็มีโอกาสกลับมาระบาดซ้ำหรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะการเข้ามาพร้อมกับแรงงานต่างด้าว รวมทั้งผู้เดินทาง สินค้า
และสัตว์ที่มาจากพื้นที่เกิดโรคในต่างประเทศ
การระบาดดังกล่าวจะมีผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เกิดการตื่นตระหนกกว้างขวาง
ส่งผลกระทบทางลบต่อบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข สินค้าที่เกี่ยวข้อง
และธุรกิจการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของรัฐจะเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้ในที่สุด
ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำ
ได้แก่ การกลายพันธุ์ของเชื้อโรค การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต พฤติกรรม โครงสร้าง
และการเดินทางเคลื่อนย้ายของประชากร การเปลี่ยนแปลงด้านเกษตรกรรมและการผลิตอาหาร
การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมทั้งการละเลยมาตรการป้องกันและควบคุมโรค
ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้แสดงข้อมูลให้เห็นว่า ในช่วงหลัง ๆ ของศตวรรษที่ 20
มีโรคติดต่ออุบัติใหม่มากกว่า 30 โรค เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก ในระยะ 2 - 3
ปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยได้ประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อในกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2546 มีผู้ป่วยติดเชื้อโรคซาร์สมาจากต่างประเทศ 9 ราย (เสียชีวิต 2 ราย)
แต่สามารถสกัดกั้นไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคไปยังคนอื่นได้เป็นผลสำเร็จ ต่อมาในปี
2547 เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีก
เกิดผลกระทบรุนแรงทั้งต่อการเลี้ยงสัตว์ปีกทั้งในระบบอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตชนบทไทย
และโรคได้แพร่มายังประชาชน ทำให้มีผู้ป่วยรวม 17 ราย (เสียชีวิต 12 ราย)
นับเป็นความสูญเสียทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
การดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำ
การเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำในช่วงที่ผ่านมา
มีเป้าหมายในการเตรียมความพร้อมของประเทศในระดับสูงสุด โดยการพัฒนาระบบ กลไก
และศักยภาพของประเทศ
ให้พอเพียงสำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำ
รวมทั้งสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของประชาชน สังคม และเศรษฐกิจของประเทศน้อยที่สุด
การเตรียมความพร้อมและศักยภาพของประเทศในภาพรวม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2
ส่วน ดังนี้คือ
- การพัฒนาระบบและศักยภาพการป้องกันควบคุมโรคโดยภาครัฐ
เพื่อให้รองรับภัยโรคติดต่อที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยจัดให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศและระหว่างประเทศ
เน้นการจัดระบบการศึกษาวิจัย ติดตามวิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดชนิดใหม่ขึ้นในประเทศ
รวมทั้งป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดเข้ามาจากต่างประเทศ
และให้มีการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานและบุคลากรให้เข้มแข็ง ทั้งทางด้านระบาดวิทยา
การชันสูตรโรคทางห้องปฏิบัติการ การวิจัยและพัฒนา
รวมทั้งการรักษาพยาบาลและควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาล ให้เท่าเทียมมาตรฐานสากล
- การพัฒนาศักยภาพของประชาชนและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองด้านสุขอนามัยได้เป็นอย่างดี มีความรู้และเข้าใจปัญหาโรคระบาด จนนำไปสู่การมีพฤติกรรมที่ช่วยป้องกันโรค ตระหนักต่อการมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งจะก่อประโยชน์สุขโดยตรงต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติโดยรวมอย่างยั่งยืน
การดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกและการเตรียมความพร้อมต่อการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกและการเตรียมพร้อมป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่โดยเร่งด่วน
และคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาโรคระบาดทั้ง 2 แผน
ดังนี้ คือ
- แผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาไข้หวัดนก (พ.ศ.2548 -2550) ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 6
ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาการจัดการระบบปศุสัตว์ที่ปลอดโรค 2)
การเฝ้าระวังและควบคุมเมื่อเกิดการระบาดของโรค 3)
การสร้างและจัดการความรู้เรื่องไข้หวัดนก 4)
การเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรและบุคลากร 5)
การสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและธุรกิจ และ 6)
การพัฒนาระบบการจัดการเชิงบูรณาการ
- แผนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ มีสาระสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาไข้หวัดนก ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรค 2) การเตรียมเวชภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น 3) การเตรียมความพร้อมควบคุมการระบาดฉุกเฉิน 4) การประชาสัมพันธ์เสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและชุมชน และ 5) การบริหารจัดการแบบบูรณาการ
ปัจจุบันการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุข
ตามแนวทางการเตรียมความพร้อมและแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น
มีเป้าหมายมุ่งให้บังเกิดผลประโยชน์แห่งชาติ
เพื่อความปลอดภัยและความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
โดยใช้ทั้งยุทธวิธีและยุทธศิลป์เข้ามาช่วย ซึ่งการดำเนินงานโดยสรุป มีดังต่อไปนี้
คือ
การเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดของโรค
เพื่อให้สามารถติดตามการระบาดของโรคที่มีความรุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างใกล้ชิด
และตรวจจับการเกิดโรคและควบคุมการระบาดได้อย่างฉับไว
โดยการพัฒนาระบบและเครือข่ายเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนานาชาติจนถึงระดับรากหญ้า
และพัฒนาศักยภาพการชันสูตรยืนยันโรคทางห้องปฏิบัติการ
-
พัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคให้มีความครอบคลุมและเชื่อมโยงกับเครือข่ายขององค์การอนามัยโลก
รวมทั้งดำเนินการเฝ้าระวังโรค รายงาน
และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health
Regulations)
นอกจากนั้นประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพด้านระบาดวิทยาของประเทศในกลุ่มอาเซียน
+ 3 (จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) นับตั้งแต่ได้เกิดโรคซาร์สอีกด้วย
- พัฒนาระบบการเฝ้าระวังโรคให้มีความฉับไว โดยใช้การเฝ้าระวังโรคตามกลุ่มอาการ
เช่น เฝ้าระวังผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่และผู้ป่วยปอดบวม ในกรณีของโรคซาร์ส
และโรคไข้หวัดนก โดยมุ่งเน้นการเฝ้าระวังโรคที่มีความรุนแรง มีผู้เสียชีวิต
มีการระบาดเป็นกลุ่มจำนวนมาก (Cluster) และการเกิดโรคที่ผิดธรรมชาติ เป็นต้น
- พัฒนาการชันสูตรยืนยันโรคทางห้องปฏิบัติการ
โดยได้ขยายเครือข่ายการชันสูตรโรคติดต่ออุบัติใหม่ไปยังส่วนภูมิภาค ได้แก่
ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตครบทุกเขตแล้ว ทำให้มีศักยภาพในการตรวจทางชีวโมเลกุลได้
และมีระบบการรายงานผลที่รวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง
จัดระบบการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์และการดื้อยาของเชื้อ
และขณะนี้กำลังมีการพัฒนาระบบและเครือข่ายห้องปฏิบัติการสาธารณสุข (Public Health
laboratory) ในพื้นที่ เชื่อมโยงกับห้องปฏิบัติการอ้างอิง (Reference laboratory)
ภายในประเทศและระหว่างประเทศด้วย
- พัฒนาทีมเฝ้าระวังสอบสวนควบคุมโรคเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance and rapid
Response Team : SRRT) ให้มีทักษะความชำนาญ
และเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของทีมในทุกระดับ
จนถึงระดับรากหญ้าโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้นำชุมชน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งสามารถประสานเชื่อมโยงข้อมูลการเฝ้าระวังโรคในคนและในสัตว์ได้อย่างเป็นระบบ
- สนับสนุนการฝึกซ้อมแผนการควบคุมการระบาดฉุกเฉินในชุมชน เพื่อเพิ่มความพร้อมและทักษะการจัดการของหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยปฏิบัติการด้านสาธารณสุข และหน่วยปฏิบัติการด้านความปลอดภัยและสนับสนุนการปฏิบัติการฉุกเฉิน รวมทั้งระบบการบัญชาการและการประสานงานในเหตุการณ์ให้มีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ
เพิ่มศักยภาพการรักษาผู้ป่วยและการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพื่อคัดกรองและแยกรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อร้ายแรงได้รวดเร็ว และป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อไปยังผู้ป่วยคนอื่น ๆ รวมทั้งแพทย์ พยาบาล และบุคลากรอื่น ๆ ในโรงพยาบาล
- จัดตั้งและฝึกอบรมทีมรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อร้ายแรง
รวมทั้งพัฒนาแนวทางการรักษาผู้ป่วยและการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล
พัฒนาระบบการสำรองเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ ยาต้านไวรัส
ชุดตรวจคัดกรองไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัสดุอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ
(Personal Protective Equipment : PPE) สำหรับบุคลากรในโรงพยาบาล,
เครื่องช่วยหายใจความถี่สูง (High Frequency Respirator),
รถพยาบาลและระบบการส่งต่อผู้ป่วย, ห้องแยกรักษาความดันเป็นลบ (Negative Pressure
Isolation Room) ในโรงพยาบาล
- สนับสนุนการฝึกซ้อมแผนการจัดการในภาวะเกิดโรคระบาดฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มทักษะการจัดการทั้งในโรงพยาบาลได้อย่างฉับไวและเป็นระบบ
พัฒนาความร่วมมือกับภาคประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ มีความเข้าใจปัญหาโรคระบาดอย่างถูกต้อง เกิดความตระหนักในการป้องกันตนเองและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง พึ่งพาตนเองได้ และให้ความร่วมมือร่วมกับภาครัฐและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
- จัดระบบการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ
ประกอบด้วยการใช้ช่องทางทั้งแนวกว้าง โดยให้การบริการข้อมูลผ่านระบบที่ทันสมัย เช่น
หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์
และจัดให้มีบริการตอบคำถามประชาชนเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกทางฮ็อตไลน์
(ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค) โทร. 0-2590-3333
และการเผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข ที่ http://www.moph.go.th
รวมทั้งการให้บริการข้อมูลแนวลึกในระดับรากหญ้า เช่น สถานีวิทยุท้องถิ่น วิทยุชุมชน
หอกระจายข่าว โปสเตอร์ แผ่นพับ เป็นต้น
- ส่งเสริมสนับสนุนบทบาทของ อสม. ในการเผยแพร่ความรู้เรื่องโรค แจ้งสถานการณ์การระบาดให้แก่ประชาชนทุกหลังคาเรือนได้รับทราบ และช่วยเฝ้าระวังและแจ้งการระบาดของโรคติดต่อที่เป็นอันตรายอย่างต่อเนื่อง
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจอื่น ๆ
ในการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับภาครัฐ เริ่มตั้งแต่การร่วมคิดวิเคราะห์ปัญหา
จนนำไปสู่การนำองค์ความรู้ไปจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม
- ส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อ โดยเฉพาะการล้างมือและการใช้หน้ากากอนามัยในผู้ป่วยไข้หวัด ในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่ทำงาน รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพทั่วไป อาทิ การออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้
การพัฒนาความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมภาคีเครือข่ายการศึกษาวิจัยและพัฒนาระหว่างหน่วยงาน ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ได้แก่ เครือข่ายการวิจัยด้านระบาดวิทยาและการป้องกันควบคุมโรค การพัฒนาชุดตรวจและวิธีการวินิจฉัยโรคทางห้องปฏิบัติการ การวิจัยพัฒนาและจัดเตรียมสต็อกยาต้านไวรัส วัคซีน และเวชภัณฑ์อื่น ๆ รวมทั้งสมุนไพร เพื่อให้ประเทศและภูมิภาคมีศักยภาพสามารถพึ่งพาตนเองในภาวะโรคระบาดฉุกเฉินได้การพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการแบบบูรณาการ เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคในทุกระดับ ภายใต้ภาวะที่มีทรัพยากรอย่างจำกัด
- พัฒนาระบบการสั่งการ การสื่อสาร และการประสานงาน (Command, Communication and
Coordination) ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคี
ศูนย์อำนวยการและศูนย์ปฏิบัติการระดับต่าง ๆ
โดยมีรองนายกเป็นประธานคณะกรรมการศูนย์อำนวยการระดับชาติ
รองปลัดกระทรวงเป็นประธานคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการระดับกระทรวง
ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ว่า ฯ CEO)
เป็นประธานคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด
และนายอำเภอเป็นประธานคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการระดับอำเภอ
และรวมไปถึงระดับท้องถิ่นด้วย นอกจากนั้นยังมีระบบการบัญชาการที่ชัดเจนขึ้น
ทำให้สามารถระดมสรรพกำลังและบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง
ซึ่งยังต้องมีการพัฒนาระบบและเครือข่ายการควบคุมการระบาดฉุกเฉิน
รวมทั้งการซ้อมแผนเป็นระยะและต่อเนื่อง
เพื่อพัฒนาทักษะและขีดความสามารถในการบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินให้สูงขึ้น
- พัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขในพื้นที่ โดยการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบหลักเรื่องโรคติดต่อที่เป็นปัญหาสำคัญ เช่น การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบหลักเรื่องโรคไข้หวัดนกฝ่ายสาธารณสุขประจำจังหวัด (มิสเตอร์ไข้หวัดนก) เพื่อเป็นแกนในการประสานเครือข่าย ติดตามสถานการณ์ ข้อเท็จจริง ตลอดจนปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินงาน เสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้เพื่อให้การป้องกันควบคุมไข้หวัดนกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และจังหวัดสามารถพัฒนาการเตรียมพร้อมรับไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
- ยุทธศาสตร์ (Strategy) หมายถึง ศาสตร์และศิลป์ในการกำหนดวิธีการในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จและลดโอกาสของความล้มเหลว
- ยุทธวิธี (Tactic) หมายถึง เครื่องมือหรือทรัพยากร (Means) วิธีการหรือหนทางปฏิบัติ (Ways) และเป้าหมายหรือผลลัพท์ที่ต้องการ (Ends)
ยุทธศิลป์ (Operational Art) หมายถึง ศิลปะในการดำเนินยุทธวิธีให้สำเร็จ
เช่น การเตรียมกำลังให้พอเหมาะ มีขีดความสามารถทางด้านข่าวกรอง (การแจ้งเตือนภัย)
มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วทันเวลาที่ต้องการ
และมีวัสดุอุปกรณ์ในระดับพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพสูงพอเพียงและพร้อมที่จะนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้ทันที
เป็นต้น
ผลประโยชน์แห่งชาติ หมายถึง
แนวความคิดที่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุดแล้วจากบรรดาองค์ประกอบต่าง ๆ
ซึ่งประมวลขึ้นเป็นความต้องการที่สำคัญที่สุดที่ชาติจะขาดเสียมิได้ทั้งนี้รวมทั้งการคุ้มครองตนเอง
ความเป็นเอกราชบูรณภาพแห่งชาติ ความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศ
เสถียรภาพทางการเศรษฐกิจ
รวมทั้งบรรดาความมั่งคั่งทั้งหลายที่จะพึงมีต่อผลประโยชน์แห่งชาติ
ผลประโยชน์แห่งชาติโดยทั่วไปมักจะกำหนดขึ้นโดยชาติทุกชาติ
จะต้องถือว่าความเกษมสุขสมบูรณ์กับความมั่นคงปลอดภัยนั้น
เป็นผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของชาติ
แต่สำหรับชาติเล็กจะต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของชาติเป็นผลประโยชน์ที่สำคัญอย่างยิ่งด้วย
อย่างไรก็ดีความมุ่งหมายในการกำหนดผลประโยชน์แห่งชาติย่อมขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของประชาชนภายในชาติเป็นสำคัญ
และมักจะแฝงอยู่ในเอกสารสำคัญ ๆ ของชาติในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น นโยบายแห่งรัฐ
รัฐธรรมนูญ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯลฯ เป็นต้น