ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12
องค์ธรรม ที่ดำเนินเป็นเหตุปัจจัย สืบเนื่องสัมพันธ์กัน ประกอบด้วย 12 องค์ธรรม เป็น 11 องค์แห่งเหตุ ปัจจัยโดยย่อดังนี้
- อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร อวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงแห่งธรรม ร่วมด้วย อาสวะกิเลสที่สั่งสมจดจำ จึงเป็นปัจจัยแก่กันและกัน จึงมี สังขารกิเลสเกิดขึ้น
- สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ สังขาร สิ่งปรุงแต่งทางใจ ตามที่เคยสั่งสม,อบรม,ประพฤติ,ปฏิบัติไว้แต่อดีต (อาสวะกิเลส) จึงทำให้เกิดการกระทําทางกาย,วาจา,ใจ เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ขึ้นรับรู้ อันเป็นไปตามธรรมของชีวิต
- วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม-รูป วิญญาณ กระบวนการรับรู้ของเหล่าอายตนะหรือทวารทั้ง 6 ของชีวิต จึงรับรู้ในสังขารที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัจจัย จึงมี นาม-รูป
- นาม-รูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ นาม-รูป ทำให้รูปนามหรือขันธ์ 5 ที่มีอยู่แล้ว แต่นอนเนื่อง ครบองค์ของการทำงานตามหน้าที่ตนคือตื่นตัว เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
- สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ สฬายตนะ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ เข้าทำงานตามหน้าที่แห่งตน เนื่องเพราะนาม-รูปครบองค์ตื่นตัวแล้ว เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
- ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ผัสสะ การประจวบกันของสฬายตนะ(อายตนะภายใน) & สังขาร (อายตนะภายนอก) & วิญญาณ ทั้ง 3 เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
- เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เวทนา การเสวยอารมณ์หรือความรู้สึกรับรู้ที่เกิดจากการผัสสะ เป็นสุขเวทนาบ้าง, ทุกขเวทนาบ้าง, อทุกขมสุขบ้าง เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
- ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ตัณหา กามตัณหาในรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส, ภวตัณหา-ความอยาก, วิภวตัณหา-ความไม่อยาก เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
- อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ อุปาทาน ความยึดมั่น,ความถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจในตน,ของตนเป็นหลักสำคัญ เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
- ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ภพ สภาวะของจิต หรือบทบาทที่ตกลงใจ อันเป็นไปตามอิทธิพลที่ได้รับจากอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
- ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา-มรณะ พร้อมด้วยอาสวะกิเลส ชาติ อันคือ ความเกิด จึงหมายถึง การเริ่มเกิดขึ้นของกองทุกข์หรืออุปาทานทุกข์ ตามภพหรือสภาวะ,บทบาทที่ตกลงใจเลือกนั้น เป็นปัจจัยจึงมี ชรา-มรณะพร้อมทั้งอาสวะกิเลส
- ชรา-มรณะ พร้อมทั้ง อาสวะกิเลส เมื่อมีการเกิด (ชาติ) ขึ้น ก็ย่อมมีการตั้งอยู่ระยะหนึ่งแต่ละอย่างแปรปรวน (ชรา) แล้วดับไป (มรณะ) เป็นธรรมดา ดังนี้
ชรา - ความเสื่อม ความแปรปรวน จึงหมายถึง ความแปรปรวนความผันแปร
วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ อันคือการเกิดอุปาทานขันธ์ 5
ขึ้นและเป็นไปอย่างวนเวียนซํ้าซ้อน และเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายอย่างต่อเนื่อง
มรณะ - การดับ การตาย จึงหมายถึง การดับไปของทุกข์นั้นๆ
อันพรั่งพร้อมกับการเกิดขึ้นเป็นอาสวะกิเลส -
อันคือความจำ(สัญญา)ได้ในสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวหรือกิเลส ที่เกิดขึ้น
จึงเป็นความจำเจือกิเลสที่อยู่ในสภาพนอนเนื่อง
แอบหมักหมมหรือสร้างรอยแผลเป็นอยู่ในจิตหรือความจำ
อันจักยังผลให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นอีกในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน กล่าวคือ
อาสวะกิเลส - ความจำเจือกิเลสที่ตกตะกอนนอนก้น นอนเนื่องอยู่ในจิต
ซึ่งเมื่อผุดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ หรือเกิดแต่เจตนาขึ้น
หรือเกิดแต่การกระตุ้นเร้าของการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)กับอารมณ์ใดก็ตามที
ก็จะไหลไปซึมซาบย้อมจิต ซึ่งจะไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาอีกครั้ง
ดังเหตุปัจจัยแรก ดังนี้
อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
จึงหนุนเนื่องขับดันวงจรของความทุกข์ให้ดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายต่อไปในภายภาคหน้า
จึงก่อให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์
หรือสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้นไปตลอดกาลนาน
กรรมกับการเกิดใหม่
กรรมที่ถูกอโทสะครอบงำ กรรมที่ถูกอโมหะครอบงำ
วิเคราะห์วิบากแห่งกรรม
กรรมและการเกิดใหม่กับการตอบปัญหาทางปรัชญา
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12
การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
วิเคราะห์ปฏิจจสมุปบาทกับปัญหาปัจจุบัน
ความหมายของอนัตตา
ความจริงหรือปรมัตถสัจจะ
ทัศนะเรื่องอนัตตาของสำนักปรัชญาต่าง ๆ
บทวิเคราะห์เรื่องอนัตตา