ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

การศึกษเรื่องในพุทธปรัชญา

พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์

พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม

สันตินิยม หมายถึง แนวคิดหรือการกระทำที่ต่อต้านสงคราม กระบวนการที่ว่าด้วยการต่อต้านสงครามนั้น เป็นการปฏิเสธรูปแบบของสงครามในทุกรูปแบบ เหตุสำคัญที่ต่อต้านเพราะไม่เห็นด้วยกับการใช้สงครามเพื่อทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ อันเป็นการผิดหลักทางศาสนา ฉะนั้น นักสันตินิยมได้แสดงออกว่า ไม่เห็นด้วย ในหลายรูปแบบ เช่น การประท้วงด้วยการไม่ไปทำสงคราม หรือไม่ไปคัดเลือกด้วยวิธีการดื้อเพ่ง หรืออาจจะแสดงออกด้วยการประท้วงการทำสัญลักษณ์เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย การไม่ให้ความร่วมมือต่อรัฐในแง่มุมต่างๆ

บางกลุ่มได้สนับสนุน และหาทางออกให้แก่วิธีการเหล่านี้ด้วยการใช้ยุทธวิธีในการเจรจาเพื่อหยุดยั้งสงครามเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น บางกลุ่มก็อาจจะเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในประเทศของตน และบาลกลุ่มอาจจะเห็นด้วยกับการที่จะจัดคานธีอยู่ในกลุ่มสันตินิยม เพราะใช้หลักการดื้อเพ่งอันเป็นวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรง ในขณะที่บางกลุ่มไม่เห็นด้วย เพราะการใช้ความรุนแรงของคานธีนั้น เป็นการนำไปใช้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษมิได้มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านสงคราม และในขณะเดียวกันวิธีการดังกล่าว ก็มิใช่ วิธีการที่จะนำไปสู่การแก้ใขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในระหว่างประเทศต่างๆ แต่ประการใด

พระพุทธศาสนาสอนให้ชาวพุทธแผ่เมตตา คือความรัก ความปรารถนาดี ไมตรีจิตมิตรภาพไปยังเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทุกจำพวกโดยไม่จำกัด สอนไม่ให้เบียดเบียนสัตว์ทุกชนิด ถึงกับห้ามไว้เป็นศีลข้อแรกในศีล 5 พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนรักคนอื่น สัตว์อื่น เหมือนมารดารักบุตรน้อยคนเดียวของตน ทรงสอนไม่ให้เบียดเบียนสัตว์อื่นแม้ด้วยความคิด ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย หากพวกโจรผู้ประพฤติต่ำทราม จะพึงใช้เลื่อยที่มีที่จับ 2 ข้าง เลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีใจคิดร้ายแม้ในพวกโจรนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กล่าวว่า พุทธปรัชญามีลักษณะเป็น สันตินิยม และเพราะคำสอนเพื่อสันติภาพและความเมตตาต่อกันอย่างไม่จำกัดประเภท หรือ ชาติชั้น วรรณะนี้เอง ประวัติศาสตร์อันยาวนานของพุทธธรรม จึงปราศจากสงครามในนามของพุทธองค์ หรือในนามชาวพุทธอื่น ๆ



พุทธปรัชญาในฐานะเหตุผลนิยม

เหตุผลนิยม ในทางญาณวิทยา หมายถึง แนวคิดซึ่งยืนยันว่า มนุษย์หาความรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับโลกได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านประสาทสัมผัส แต่โดยการใช้เหตุผล นักเหตุผลนิยมบางกลุ่มถึงกับยินยันว่า ประสาทสัมผัสไม่สามารถให้ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับโลกได้

การใช้เหตุผลตามทรรศนะของนักเหตุผลนิยมมิได้หมายรวมถึงสรุปที่เกิดจากการอุปนัย (induction) แต่หมายถึงกระบวนการคิดที่โยงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหนึ่งกับอีกความคิดหนึ่ง ตรงกันข้ามกับ ประสบการณ์นิยม (empiricism)

หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพุทธปรัชญามีลักษณะเป็นเหตุผลนิยม มีปรากฏอยู่ใน กาลามสูตร ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคมว่า

1. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง)
6. อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน (คาดคะแนตามหลักเหตุผล)
7. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่า “ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์” เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่า “ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข” เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้น

ทำไมพระองค์จึงสอนให้ชาวพุทธมี ศรัทธา จะมิเป็นการขัดกันหรือ แท้จริงมิได้ทรงห้ามมิให้เชื่อแหล่งความรู้เหล่านี้อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ทรงแนะนำว่าอย่าเพิ่งด่วนเชื่อทันที ให้คิดดูตามหลักเหตุผลก่อน ทรงวางหลักให้พิจารณาไว้ 3 ประการ คือ

1. ให้พิจารณาด้วยปัญญา จนทราบชัดด้วยตนเอง
2. ให้อาศัยทัศนะของท่านผู้รู้เป็นเครื่องตัดสิน
3. ให้พิจารณาดูผลว่า ถ้านำไปปฏิบัติแล้วจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ จะให้ความสุขหรือความทุกข์

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย