ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
ลัทธิมนุษยนิยม (Humanism) เป็นแนวคิดทางปรัชญาสาขาหนึ่ง นักปราชญ์ผู้สนใจในลัทธินี้อย่างแท้จริงถึงขนาดวางหลักเกณฑ์ลงไว้อย่างชัดเจนก็คือ โอกุสต์ กองต์ (August comte) ชาวฝรั่งเศส มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1798-1857 กองต์เกิดความเบื่อหน่ายต่อปัญหาอันลึกซึ้งทางอภิปรัชญา ซึ่งนักปราชญ์ในยุคนั้นชอบถกเถียงกัน และเป็นปัญหาซึ่งไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพในปัจจุบันนักเขาจึงได้วางหลักลัทธิมนุษยนิยม หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Positiveism ไว้ดังต่อไปนี้
- มนุษย์เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติอันเฉยเมย และยังมีท่าทีเป็นศัตรูต่อมนุษย์อีก ฉะนั้นมนุษย์ต้องพึ่งตนเอง
- สุขทุกข์ของมนุษย์ เกิดจากความสามารถของมนุษย์เอง ในการควบคุมจัดแจงโลกทางวัตถุและพลังทางสังคมต่างๆ ให้สามารถรับใช้มนุษย์ได้
- ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรูปใด ๆ ทั้งสิ้นมาคอยช่วยมนุษย์
- คุณค่า (Value) ของคน มีค่าที่คนสร้างขึ้นโดยไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มารับรอง
- วิทยาศาสตร์ คือ กุญแจสำคัญสำหรับไขเอาความสุข
- มนุษย์ ต้องร่วมมือกันสร้างสังคมอิสระสากลขึ้น
- สิ่งที่สนองความต้องการทางอารมณ์ของมนุษย์ คือศิลปะและวรรณคดี (ไม่ใช่ศาสนา)
ลัทธิมนุษยนิยมของกองต์เป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ปัญญาชนที่ไม่เชื่อในเทพเจ้า
ในยุโรปและในอเมริกา มีคนประเภทมนุษยนิยม (Humanistic) เป็นอันมาก
บางแห่งถึงกับรวมกลุ่มกันตั้งเป็นรูปสมาคมก็มี
พุทธปรัชญาถือว่า มนุษย์เป็นจุดศูนย์กลางของสรรพสิ่ง มนุษย์มีบิดา มารดา
ของตนเป็นแดนเกิด
การจะประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการกระทำก็มีปัจจัยมาจากมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้น ค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์จึงอยู่ที่การกระทำของมนุษย์เอง
ความบริสุทธิ์หมดจดหรือเศร้าหมองก็เป็นเรื่องของมนุษย์เองไม่มีอำนาจภายนอกมาแทรกแซงแต่อย่างใด
และเมื่อพิจารณาถึงบทบาทของพระพุทธองค์ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง
พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรจึงบรรลุอริยธรรม ที่สอนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ล้วน ๆ
แสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์
สถานภาพของมนุษย์และสังคมมนุษย์ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ประโยชน์สุขของมนุษย์โดยแท้
ดังนั้นจึงมีผู้กล่าวว่า พุทธปรัชญามีลักษณะเป็นมานุษยนิยม
ในฐานะเป็นระบบดำเนินชีวิตอันประเสริฐของมนุษย์
ค้นพบโดยมนุษย์และมีจุดหมายเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์ทุกหมู่เหล่าไม่จำกัด
เพราะไม่สนใจในปัญหาอันลึกซึ้งทางอภิปรัชญา (Metaphysical)
ไม่สนใจเทพเจ้าหรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ภายนอกใด ๆ
สนใจแต่เรื่องสุขทุกข์ในปัจจุบันของมนุษย์โดยการกระทำของมนุษย์เอง
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสไว้ในจูฬมาลุงกยสูตรว่า
ดูก่อนมาลุงกยบุตร เธอจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์และปัญหาที่เราไม่พยากรณ์
(พยากรณ์ แปลว่า ตอบ ชี้แจง อธิบาย) ปัญหา (ทิฏฐิ) อะไรเล่าที่เราไม่ตอบ คือ
1. โลกเที่ยง (คงอยู่อย่างนี้ตลอดกาล)
2. โลกไม่เที่ยง (คงอยู่อย่างนี้ชั่วคราว)
3. โลกมีที่สุด (จักรวาลมีขอบเขตจำกัด)
4. โลกไม่มีที่สุด (จักรวาลไม่มีขอบเขต)
5. ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน (กายกับจิตเป็นอันเดียวกัน)
6. ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน (กายกับจิตคนละอย่าง)
7. หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีก (ตายไปแล้วไม่สูญ)
8. หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีก (ตายแล้วสูญ)
9. หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก (ตายแล้วสูญก็มี ไม่สูญก็มี)
10. หลังจากตายแล้วตถาคตจะว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่
(ตายแล้วสูญก็ไม่ใช่ ไม่สูญก็ไม่ใช่)
เพราะเหตุอะไรเราจึงไม่ตอบ เพราะปัญหาเหล่านั้นไม่มีประโยชน์
ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด
เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
เหตุนั้นเราจึงไม่ตอบ
ปัญหาอะไรเล่าที่เราตอบ คือ นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย (นี้เหตุให้เกิดทุกข์)
นี้ทุกขนิโรธ (นี้ความดับทุกข์) นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
(นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)
เพราะเหตุอะไรเราจึงตอบ เพราะปัญหาเหล่านั้นมีประโยชน์
เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ
เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงตอบ