ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
กรรมและการเกิดใหม่กับการตอบปัญหาทางปรัชญา
กรรมและการเกิดใหม่ ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่อยู่ในกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท
ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อแยกส่วนในกระบวนการนั้นออกเป็นวัฏฏะ 3 คือ กิเลส กรรม วิบาก
หลักปฏิจจสมุปบาทแสดงถึงกระบวนการทำกรรม และการให้ผลของกรรมทั้งหมด
ตั้งต้นแต่กิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรม จนถึงวิบากอันเป็นที่จะได้รับ
เรื่องอมตภาพของวิญญาณในพระพุทธศาสนา (ข้อความต่อไปนี้ผู้เขียนคัดมาจาก
พระมหาบุญเรือง ปัญญาวชิโร เอกสารประกอบคำบรรยายวิชา พระพุทธศาสนากับปรัชญา, หน้า
35-36) พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเป็นอมตภาพของวิญญาณโดยสิ้นเชิง
ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์ได้จากพระบาลีที่คัดมาจากคัมภีร์มัชฌิมนิกาย และสังยุตตนิกาย
ดังต่อไปนี้
(1)
วิญญาณเป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งวิญญาณเป็นอย่างไร
ความดับไปแห่งวิญญาณเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งวิญญาณเป็นอย่างไร
วิญญาณ 6 ประการนี้ คือ
จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา)
ฯลฯ
มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางใจ)
เพราะสังขารเกิด เหตุเกิดวิญญาณจึงมี
เพราะสังขารดับ ความดับแห่งวิญญาณจึงมี
อริยมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ
ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ
(2)
นามรูปนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด
นามรูปมีวิญญาณเป็นต้นเหตุ มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด มีวิญญาณเป็นกำเนิด
มีวิญญาณเป็นแดนเกิด
วิญญาณมีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด
วิญญาณมีสังขารเป็นต้นเหตุ มีสังขารเป็นเหตุเกิด มีสังขารเป็นกำเนิด
มีสังขารเป็นแดนเกิด
(3)
หากจักษุที่เป็นอายตนะภายในไม่แตกสลาย
รูปที่เป็นอายตนะภายนอกไม่มาสู่คลองแห่งจักษุ
ทั้งความใส่ใจอันเกิดจากจักษุและรูปนั้นไม่มี
วิญญาณส่วนที่เกิดจากจักษุและรูปนั้นก็ไม่ปรากฏ
หากจักษุที่เป็นอายตนะภายในไม่แตกสลาย
รูปที่เป็นอายตนะภายนอกไม่มาสู่คลองแห่งจักษุ
แต่ความใส่ใจอันเกิดจากจักษุและรูปนั้นไม่มี
วิญญาณส่วนที่เกิดจากจักษุและรูปนั้นก็ไม่ปรากฏ
แต่เมื่อใด จักษุที่เป็นอายตนะภายในไม่แตกทำลาย
รูปที่เป็นอายตนะภายนอกมาสู่คลองแห่งจักษุ ทั้งความใส่ใจอันเกิดจากจักษุและรูปก็มี
เมื่อนั้น วิญญาณส่วนที่เกิดจากจักษุและรูปนั้นก็ย่อมปรากฏด้วยอาการอย่างนี้
(4)
ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา
ปฏิจจสมุปบาท (ห่วงโซ่แห่งชีวิต)
ธรรมดำ คือกรรม ที่เป็นการกระทำด้วยกาย วาจา และใจ ทีไม่ดีเนื่องมาจากอวิชชา (ผู้ไม่รู้) หลงไม่รู้
ธรรมขาว คือกรรมที่เป็นการกระทำด้วยกาย วาจา และใจ ที่ดี ที่มีพุทธะ (วิชชา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
ธรรมดำ ทำชั่วได้ชั่ว = กรรมดำ = อกุศลกรรมนำไป นรก เช่น จิตที่เศร้า หมอง เร่าร้อน ไม่ฉลาด โง่
ธรรมขาว ทำดีได้ดี = กรรมขาว = กุศลกรรมนำไป สู่สุคติ เป็นจิต ที่ผ่องใส สงบ เย็น ฉลาด
เกี่ยวเนื่องมาจากวงที่ 2 ใน 3 ข้อแรก เมื่อมีวิชชาสร้างกรรมดีแล้วในเบื้องต้นส่งผลให้
- มีศีลห้า จิตเป็นมนุษย์ มีการรักษาศีลเจริญภาวนาก็จะไปสวรรค์ จิตรื่นเริง ผ่องใส จิตเป็นเทวดา
- เมื่อมีการภาวนารักษาศีลก็จะมีจิตอยู่ในสวรรค์เป็นจิตเทวดา
- เมื่อจิตภาวนามากขึ้นเข้าณานขั้นสูงก็ถึงขั้นพรหม จิตเป็นพรหม (มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
เมื่อสร้างกรรมชั่วส่งผลให้ (เป็นจิตของมนุษย์ที่มีความโลภ โกรธ หลง สืบเนื่องติดต่อกันไป
- แสดงภพ ภูมิของสัตว์นรก จิตไปนรก คือ จิตโกรธ พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
- แสดงภพภูมิของเปรต จิตเป็นเปรต คือ จิตที่มีความโลภ อยากได้ของเขา มิใช่ของตน
- แสดงภพภูมิของเดรัจฉาน จิตเป็นเดรัจฉาน คือ จิตที่มีความหลงไม่มีสติ ให้ความโลภ โกรธ หลงควบคุมจิตใจ ถูกทุกข์ครอบงำจิตใจ จนถึงวันตาย ความหลงเผาผลาญมาก จิตใจตกต่ำมาก จะลงนรกลึกไปเรื่อย ๆ ตกต่ำไปตามภาวะของจิต พุทธะ (วิชชา) จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อผู้ใดคิดถึงพุทธะได้ จึงจะหนีไปจากนรก เข้าสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น
แยกประเภทองค์ประกอบ 12 ของปฏิจจสมุปบาท ตามหน้าที่ของมันในวงจร เป็น 3 พวก เรียกว่า วัฏฏะ 3 หรือไตรวัฏฏ์ (วน 3) คือ
- อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็น กิเลส คือตัวสาเหตุผลักดันให้คิดปรุงแต่งกระทำการต่าง ๆ เรียกว่า กิเลสวัฏฏ์
- สังขาร (กรรม) ภพ เป็น กรรม คือกระบวนการกระทำหรือกรรมทั้งหลายที่ปรุงแต่งชีวิตให้เป็นไปต่าง ๆ เรียกว่า กรรมวัฏฏ์
- วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็น วิบาก คือสภาพชีวิตที่เป็นผลแห่งการปรุงแต่งของกรรม และกลับเป็นปัจจัยเสริมสร้างกิเลสต่อไปได้อีก เรียกว่า วิปากวัฏฏ์ วัฏฏะทั้ง 3 นี้ หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นปัจจัยอุดหนุนแก่กัน ทำให้วงจรแห่งชีวิตดำเนินไปไม่ขาดสาย ดุจห่วงโซ่แห่งชีวิต
วงจรปฏิจจสมุปบาท (ห่วงโซ่แห่งชีวิต) เปรียบได้กับสัตว์ 3 จำพวกที่กัดหางกันเป็นลูกโซ่ ดังนี้
- หมู เป็นสัตว์ที่กินไม่พิจารณา ตะกละกินไม่เลือก กินแล้วนอนได้ตลอด อิ่มแล้ว ใจยังหิว ยังอยากกินอยู่ เปรียบได้กับ ความโลภ คือ โลภะ
- งู เป็นอสรพิษร้าย มีพิษขบกัดศตรู เป็นตัวพยาบาท เปรียบได้กับ ความโกรธ คือ โทสะ
- ไก่ เป็นสัตว์ที่หลงตัวว่าสวยงาม มักชอบอวดความงามของตัว สำคัญตัวเองดีไปทุกอย่าง และมักชอบคุยเขี่ย เปรียบเหมือนกับการสร้าง ความปรุงแต่งอารมณ์ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เปรียบได้กับความหลง คือ โมหะ
สัตว์ทั้ง 3 กัดกันเป็นวงกลม เปรียบได้กับตัวจิตที่เกิดดับอยู่ในวง ปฎิจจสมุปบาท คือ สันตติติดต่อสืบเนื่องทำให้เกิดกรรมและไปรับผลเป็นวิบากได้รับสุขทุกข์จากความโลภ โกรธ หลง พุทธะ (วิชชาคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) เท่านั้นจะทำลายให้กิเลสดับไปได้ และจึงออกจากวงกลมได้ พุทธะจึงชี้ทางองค์มรรค 8 อริยสัจ 4 ให้ออกไปจากวงปฎิจจสมุปบาท (นิพพาน)
กรรมกับการเกิดใหม่
กรรมที่ถูกอโทสะครอบงำ กรรมที่ถูกอโมหะครอบงำ
วิเคราะห์วิบากแห่งกรรม
กรรมและการเกิดใหม่กับการตอบปัญหาทางปรัชญา
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12
การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
วิเคราะห์ปฏิจจสมุปบาทกับปัญหาปัจจุบัน
ความหมายของอนัตตา
ความจริงหรือปรมัตถสัจจะ
ทัศนะเรื่องอนัตตาของสำนักปรัชญาต่าง ๆ
บทวิเคราะห์เรื่องอนัตตา