ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

การศึกษเรื่องในพุทธปรัชญา

พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์

พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม

ทัศนะเรื่องอนัตตาของสำนักปรัชญาต่าง ๆ

คำว่า ศูนยตา หรือ ศูนยวาท ตามทัศนะของนาคารชุนนั้น มีความหมายเป็น 2 นัย 3 ระดับ คือ

  • ปฏิเสธสมมติสัจจะโดยถือว่าสมมติสัจจะนั้นไร้สวภาวะหรือสวลักษณะอันเที่ยงแท้ของมัน ไร้ปรมัตถสัจจ์เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุปัจจัย (ตรงกับความหมายของคำว่าอนัตตาในบาลี)
  • ปฏิเสธวาทะทุกรูปแบบที่พรรณนาปรมัตถสัจจะ โดยถือว่าปรมัตถสัจจะเป็นความจริงแท้ อยู่เหนือความต่างทั้งหลาย อยู่เหนือพุทธิปัญญาหรือบัญญัติขั้นเหตุผล (หมายถึงนิพพานซึ่งไม่อาจรู้ได้ด้วยตรรก) ฉะนั้นทฤษฎีใด ๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่ออธิบายสัจจะอย่างนั้น จึงเป็นศูนยตาในความหมายว่าว่างจากความจริง คือ ไม่ถูกต้องครบถ้วน

ท่านกล่าวยืนยันว่า “ศูนยตามีความหมาย 2 อย่าง คือ เรารู้ว่าปรากการณ์เป็นเพียงสมมุติ จึงไม่เที่ยงแท้ คือไม่สมบูรณ์ในตัว และเรารู้ว่า ความจริงแท้เป็นภาวะสัมบูรณ์ เป็นหนึ่งไม่มีสอง”

ศูนยตา ในความหมายของนาคารชุน 3 ระดับ

  1. ศูนยตาในฐานะปฏิเสธสมมุติสัจจะ, ปฏิเสธอัตตาทุกระดับ ถึงแม้จะยอมรับโลกแห่งปรากฏการณ์ว่ามีอยู่จริง แต่ก็ยอมรับในฐานะเป็นโลกบัญญัติ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  2. ศูนยตาในฐานะปฏิเสธวาทะหรือทฤษฎี ที่จะพรรณนาความจริงสูงสุด ปรมัตถสัจจ์หรือโลกุตรธรรมอันเป็นอนีรวจนียะคือพระนิพพาน ว่างจากกิเลสตัณหา อุปาทาน
  3. ศูนยตาในฐานะเป็นความจริงขั้นสูงสุด ที่เหนือการยืนยันและปฏิเสธ อยู่เหนือภาวะและอภาวะ หรือเป็นขั้นศูนยตาแห่งศูนยตา

 

อนัตตา ในความหมายของซาตร์นั้นมีอยู่ 3 ระดับ คือ

  1. ว่างเปล่าจากอัตตาทุกระดับแต่ยอมรับโลกแห่งปรากฏการณ์ว่า เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง ปราศจากผู้สร้าง
  2. ว่างจากปรมัตถสัจจะหรือโลกุตรภาวะ ว่างจากอันติมสัจจ์
  3. ว่างจากความเป็นสารัตถะในจิตที่ว่างเปล่า

วิเซนเต ฟาโตเน ได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับศูนยตาไว้ว่า “ศูนยตา” ไม่ใช่สภาพที่พระโยคีย่อโลกเข้ามารวมไว้ และไม่ใช่สภาพแห่งการไม่คิดคำนึงอะไรเลย ซึ่งในสภาพนั้นจะว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ ความว่างสูงสุดนี้ต้องถือว่าเป็นศูนยะหรือศูนยตาที่ต้องบรรลุถึงได้

ศาสตราจารย์ เอดเวิร์ด คอนซ์ ให้ทัศนะไว้ว่า ”หากเราไม่ต้องการเข้าใจนิกายมาธยมิกะเลยเถิดเราควรตีความคำว่า” ศูนยตา” ว่ามีความหมายเท่ากับอนัตตา”

พุทธทาสภิกขุ ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่า คำว่าว่างเปล่า หมายถึง ว่างจากของจริง, ไม่มีเนื้อหาอะไรที่เป็นตัวตนอยู่ในนั้น, ไร้สาระ, และเป็นเพียงปรากฏการณ์ เท่านั้น ... ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า คำว่า “ว่างว่าง” นี้ หมายความได้ 2 อย่าง คือ ว่างจากสาระหรือเป็นมายา ซึ่งเป็นลักษณะของปรากฏการณ์ หรือสังขตธรรมทั้งปวง นี้อย่างหนึ่ง, อีกอย่างหนึ่งก็คือ ว่างจากการปรุงแต่งไหลเวียน ซึ่งเป็นลักษณะของอสังขตธรรม หรือนิพพาน นี้อย่างหนึ่ง; แต่ก็เรียกว่า “ว่าง-ว่าง” เหมือนกันทั้งสองอย่าง

กรรมกับการเกิดใหม่
กรรมที่ถูกอโทสะครอบงำ กรรมที่ถูกอโมหะครอบงำ
วิเคราะห์วิบากแห่งกรรม
กรรมและการเกิดใหม่กับการตอบปัญหาทางปรัชญา
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12
การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
วิเคราะห์ปฏิจจสมุปบาทกับปัญหาปัจจุบัน
ความหมายของอนัตตา
ความจริงหรือปรมัตถสัจจะ
ทัศนะเรื่องอนัตตาของสำนักปรัชญาต่าง ๆ
บทวิเคราะห์เรื่องอนัตตา

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย