ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
การเมืองในทัศนะของพุทธปรัชญา
การเมืองในทัศนะพระพุทธศาสนาเถรวาท
พระพุทธศาสนาไม่ได้พูดการเมืองโดยตรง
แต่ได้กล่าวถึงหลักการปกครองบุคลากรทางการปกครอง และเป้าหมายการปกครอง
เกี่ยวกับหลักการปกครองนั้น ไม่ระบุว่าการปกครองแบบใดดีแบบใดเสีย
ไม่ได้ตำหนิว่าแบบประชาธิปไตยไม่ดี แบบสังคมนิยมเสีย
แต่ให้ยึดหลักการที่เป็นธรรมเป็นหลักปกครอง มุ่งการปกครองแบบธรรมาภิบาล
คำสอนเรื่องอธิปไตย 3 ปรากฏอยู่ใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มที่ 20
ข้อ 479 กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของภิกษุไว้ 3 อย่าง
ตามลักษณะของแรงกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติ 3 อย่าง
- อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คือ ถือเอาตนเอง ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ ตลอดจนผลประโยชน์ตนเป็นใหญ่ กระทำการด้วยปรารภตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นประมาณ
- โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือความนิยมของชาวโลกเป็นใหญ่ หวั่นไหวไปตามเสียงสรรเสริญและนินทา ไม่มีหลักการที่แน่นอน กระทำการโดยปรารภจะเอาใจคนหมู่ชน หาความนิยมหรือหวั่นกลัวเสียงกล่าวเป็นประมาณ
- ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คือถือหลักความจริงความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผล เป็นใหญ่กระทำการด้วยปรารถสิ่งที่ได้ศึกษาตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่ได้รับฟังอย่างกว้างขวางแจ้งชัด และพิจารณาอย่างดีที่สุดเต็มขีดแห่งสติปัญญาจะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นไปโดยชอบธรรมและเพื่อความดีงามเป็นประมาณการปกครองที่ดีเลิศตามเมื่อรู้หลักอย่างนี้แล้วถ้าต้องการรับผิดชอบต่อรัฐ
อันที่จริงคำว่าอธิปไตยทั้งแบบที่
พระพุทธเจ้าทรงสอนแบบที่ใช้มาในปัจจุบันต่างก็หมายถึงความสมควรที่จะเป็นใหญ่ทั้งคู่
แต่อธิปไตย 3 นั้นเน้นหลักที่ปกครองพึงยึดถือ
เมื่อเป็นผู้ปกครองแล้วจะยึดถืออะไรเป็นใหญ่ส่วนอธิปไตยที่ใช้ในคำต่าง ๆ
ในปัจจุบันเน้นว่า อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจในการปกครองควรอยู่ที่ใด หรืออยู่ที่ใคร
เช่นอยู่ที่ประชาชนที่ขุนนางหรือพวกเศรษฐี เป็นต้น
สังคมในทัศนะของพุทธปรัชญา
สังคมในสมัยพุทธองค์มองจากพระไตรปิฎก เราจะเห็นว่า
อาจแบ่งได้หลายลักษณะ กล่าวคือ
แบ่งตามภูมิศาสตร์
นครวาสี คนเมือง (มชฺฌิม)
ชนปทวาสี
คนชนบท (ปจฺจนฺต)
แบ่งตามเชื้อชาติ
อริยกะ
มิลักขะ
แบ่งตามวรรณะ 4 คือ
ขตฺติย
พฺราหฺมณ
เวสฺส
สูทฺท
จนฺฑาล
ปุกฺกุสฺส
แบ่งตามลักษณะทางศาสนา 2
ปพฺพชิต-บรรพชิต
คิหิ-คฤหัสถ์
แบ่งตามลักษณะเศรษฐกิจหรืออาชีพ
เสฏฺฐี-มหาเสฏฺฐี-อนาถปิณฺฑิก-โชติก
กุฏุมฺพี-สุวณฺโณ นาม
คหปติ-จิตฺตคหปติ
สุวณฺณการ-กุมฺภาการ-หตฺถาการ
เคหการ-มาลาการ-คีตการ
เวชฺช-ติกิจฺฉก-กสก-อุยฺยาปาล
โคปาล-โคฆาตก-อชปาล
เนวิก-วาณิช-ยาจก-วณิพก
เนสาโท นายพราน ฯลฯ
แบ่งตามหน้าที่ในฐานะคนธรรมดา
คู่ 1 มาตาปิตา - ปุตฺตธีตา =
พ่อแม่กับลูก
คู่ 2 ครู - สิสฺสา = ครูกับศิษย์
คู่ 3 ภริยา, ชายา - สามี-ปติ =
สามีกับภรรยา
คู่ 4 สหาย - มิตฺต = เพื่อนกับเพื่อน
คู่ 5 สสามิก - กมฺมการา =
นายกับลูกจ้าง
คู่ 6 ปพฺพชิต, สมณ, พราหมณ์ - คิหี = นักบวชกับประชาชน
แบ่งตามระบบราชการ
1. ราชา-มหาราชา-จกฺกวตฺติรา ราชินี - พระมหากษัตริย์
2. อมจฺจา,
มหาอมจฺจา - ข้าราชการบริหาร
3. เสนาปติ - นายก
4. ราชปุริส - ข้าราชการ
5. พลนิกาโย ฯลฯ - ทหาร
อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องถือหลัก ธมฺมจารี สุขํ เสติ
ผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นสุข จึงน่าจะเรียกว่า สังคมธัมมิก หรือ ธัมมิกสังคม
ราชาก็มีธรรม ประชาชนก็มีธรรมสมณะก็มีธรรม อำมาตย์ก็มีธรรม
เมื่อมีธรรมทุกฝ่ายก็อยู่เป็นสุขจะยกธรรมตามแนวพจนานุกรมพุทธศาสตร์
ฉบับประมวลธรรมของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ดังนี้.
1. ธรรมสำหรับทุกคน
- ธรรมเพื่อส่งเสริมความเป็นมนุษย์ เช่น ศีล 5 สัปปุริสธรรม 7
- ธรรมเพื่อชีวิตที่งอกงาม เช่น ปัจจัยสัมมาทิฏฐิ 2 ทสบารมีมงคล 38
- ธรรมเตือนสติ, เช่น เทวทูต, มาร, อภิณหปัจจเวกขณ์
2. ธรรมเพื่อความดีงามแห่งสังคม
- ส่งเสริมชีวิตที่ดีร่วมกัน เช่น ปฏิสันถาร 2, สังคหวัตถุ 4, สาราณียธรรม 6
- ธรรมเพื่อการปกครอง-คุ้มครองชีวิตที่ดีร่วมกันคือพรหมวิหาร 4, ราชธรรม 10, จักกวัตติวัตร 12
3. ธรรมเพื่อผู้ครองเรือน (คฤหัสถ์)
- ธรรมเพื่อครอบครัวเช่น ตระกูลยั่งยืน 4, ฆราวาสธรรม 4, สมชีวิธรรม 4
- สัมพันธ์ในสังคม เช่น ทิศ 6, มิตรแท้ มิตรเทียม
- อยู่ดีทางเศรษฐกิจ เช่นการใช้ทรัพย์ 4, ประโยชน์ปัจจุบัน 4, สุขคฤหัสถ์ 4
- ธรรมที่พึงหลีกเว้น เช่น กรรมกิเลส 4 อบายมุข, อนันตริยกรรม, อคติ
4. ธรรมสำหรับบรรพชิต เช่น ธุระ 2, ปริสุทธิศีล 4, อภิณหปัจจเวกขณะ
5.
ธรรมสำหรับอุบาสก เช่น บุญกิริยาวัตถุ อุปาสกธรรม อุโบสถศีล 8
6. ธรรมสำหรับครู เช่น ลีลาการสอน 4, กัลยาณมิตตธรรม 7
7. สัจจธรรม
ที่ทุกคนควรเข้าใจและแจ่มแจ้ง คือ
1. ขันธ์ 5
2. ปฏิจจสมุปบาท 12
3. อริยสัจจ์ 4
4. มรรค 8
สังคมที่พึงประสงค์คือสังคมที่ดำเนินตามหลักสิงคาโลวาทสูตร
เว้นจากสิ่งเลวร้ายคือ กรรมกิเลสและอบายมุข แล้วทำหน้าที่ให้ถูกทั้ง 6
ประการตามหลักทิศ 6 พัฒนาตน 4 ด้าน
1. ภาวิตกาโย มีปัจจัย 4 สมบูรณ
2. ภาวิตสีโล มีระเบียบด้วยศีล 5
3. ภาวิตจิตฺโต มีจิตมั่นคงด้วยสมาธิ
4. ภาวิตปัญญา มีปัญญาสูงส่งด้วยอริยชน
ข้อแรกจะต้องมีหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์
ข้อสองจะต้องมีหลักศีลธรรมคือ ศีล 5 และสังคหวัตถุ 4 สาราณียธรรมและฆราวาสธรรม
ข้อสามจะต้องมีหลักสมาธิจิต รู้จักบำเพ็ญสมาธิ
ข้อสี่จะต้องมีหลักปัญญา 3 ให้ครบถ้วน
น.พ. ประเวศ วะสี ได้กล่าวไว้ว่า
"แต่โบราณมามนุษย์ใฝ่ฝันถึงสังคมที่มีความสุขทั่วพร้อม
ดังมีจินตนาการในเรื่องสวรรค์ ในเรื่องโลกพระศรีอารย์
เป็นการยากที่จะทำให้มนุษย์เลิกใฝ่ฝันเช่นนั้น
นักคิดและนักปฏิบัติเพื่อสังคมมีจุดมุ่งหมายที่จะเห็นความสุขถ้วนหน้า (ปี 2538)
ในสังคม สังคมที่มีความสุขถ้วนหน้าอาจมีลักษณะดังนี้.-
1. มีงานทำ มีรายได้ มีปัจจัย 4 ทั่วถึง
2. มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
3. มีครอบครัวที่เป็นสุข
4. มีคุณธรรม จริยธรรม
5. มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
6. มีสุขภาพจิตดี มีความพอใจในชีวิต และสังคม