ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
พุทธปรัชญาในฐานะปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะสันตินิยม
พุทธปรัชญาในฐานะอเทวนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะมานุษยนิยม
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
พุทธปรัชญากับการศึกษา
ปรัชญาปฏิบัตินิยม
พุทธปรัชญาการเมืองและสังคม
พุทธศาสนากับการเมืองและสังคมเริ่มแรก (อัคคัญญสูตร)
วิกฤติด้านสังคม
ข้อเหมือนเรื่องการเมืองการปกครองในพุทธปรัชญาเถรวาทกับขงจื๊อ
ทัศนะพุทธปรัชญากับวิทยาศาสตร์
หลักการของพระพุทธศาสนา
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์
พุทธปรัชญาในฐานะธรรมาธิปไตยนิยม
วิเคราะห์วิบากแห่งกรรม
ปัญหาที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องกรรม คือ การให้ผลของกรรม
โดยสงสัยเกี่ยวกับหลัก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ว่าเป็นจริงอย่างนั้น หรือไม่
บางคนพยายามนำหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง คนที่ทำชั่วได้ดี
และคนที่ทำดีได้ชั่ว มีมากมาย ความจริงเกิดจากความเข้าใจสับสนระหว่าง
กรรมนิยามกับสังคมนิยมน์ โดยนำเอาความเป็นไปในนิยามและนิยมน์ทั้งสองนี้มาปนเปกัน
ไม่รู้จักแยกขอบเขตและขั้นตอนให้ถูกต้อง ดังจะเห็นว่า
แม้แต่ความหมายของถ้อยคำในหลัก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั้นเอง
คนก็เริ่มต้นเข้าใจสับสน แทนที่จะเข้าใจความหมายของทำดีได้ดี ว่าเท่ากับ ทำความดี
ได้ความดี หรือทำความดี ก็มีความดี หรือทำความดี ก็เป็นเหตุให้ความดีเกิดมีขึ้น
หรือทำความดี ผลดีตามนิยามก็เกิดขึ้น กลับเข้าใจเป็นว่า ทำความดี ได้ของดี
หรือทำความดีแล้วได้ผลประโยชน์หรือได้อามิสที่ตนชอบใจ
การที่กรรมนิยามจะแสดงผลออกมาในระดับของวิถีชีวิตทำให้มีความเป็นไปต่าง ๆ
ประสบผลตอบสนองจากภายนอก อันน่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้านั้น
ในบาลีท่านแสดงหลักไว้ว่า ต้องขึ้นต่อองค์ประกอบต่างๆ 4 คู่ คือ สมบัติ 4 และวิบัติ
4 ดังนี้
สมบัติ แปลง่ายๆ ว่า ข้อดี หมายถึงความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง
ๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดีปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล
พูดสั้นๆ ว่า ส่วนประกอบอำนวยช่วยเสริมกรรมดี สมบัติมี 4 อย่าง คือ
- คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ ถึงพร้อมด้วยคติ หรือคติให้ คือ เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศที่เจริญ เหมาะ หรือเกื้อกูล ตลอดจนในระยะสั้น คือ ดำเนินชีวิตหรือไปในถิ่นที่อำนวย
- อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย หรือรูปร่างให้ เช่น มีรูปร่างสวย ร่างกายสง่างาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเลื่อมใส สุขภาพดีแข็งแรง
- กาลสมบัติ สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาล หรือกาลให้ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีความสงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีศีลมีธรรม ยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนชั่ว ตลอดจนในระยะสั้น คือทำอะไรถูกกาลเวลา ถูกจังหวะ
- ปโยคสมบัติ สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพร้อมด้วยการประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำเรื่องตรงกับที่เขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลักครบถ้วนตามเกณฑ์ หรือเต็มอัตรา ไม่ใช่ทำครึ่งๆ กลางๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรื่องกัน รู้จักจัดทำ รู้จักดำเนินการ
ส่วยวิบัติ แปลง่ายๆ ว่า ข้อเสีย หรือจุดอ่อน หมายถึงความบกพร่องแห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งบกพร่อง เปิดช่องให้กรรมชั่ว วิบัติ 4 อย่าง คือ
- คติวิบัติ วิบัติแห่งคติ หรือคติเสีย คือเกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศ สภาพแวดล้อมที่ไม่เจริญ ไม่เหมาะ ไม่เกื้อกูล ทางดำเนินชีวิต ถิ่นที่ไปไม่อำนวย
- อุปธิวิบัติ วิบัติแห่งร่างกาย หรือรูปกายเสีย เช่น ร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิริยาท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชม ตลอดจนสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วย มีโรคมาก
- กาลวิบัติ วิบัติแห่งกาล หรือกาลเสีย คือ เกิดในยุคสมัยที่บ้านเมืองมีภัยพิบัติไม่สงบเรียบร้อย ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเสื่อมจากศัลธรรม มากด้วยการะเบียดเบียน ยกย่องคนชั่ว บีบคั้นคนดี ตลอดจนทำอะไรไม่ถูกกาลเวลาไม่ถูกจังหวะ
- ปโยควิบัติ วิบัติแห่งการประกอบ หรือกิจการเสีย เช่น ฝักใฝ่ในกิจการหรือเรื่องรางที่ผิด ทำการไม่ตรงความถนัด ความสามารถ ใช้ความเพียรในเรื่องไม่ถูกต้อง ทำการครึ่งๆ กลางๆ เป็นต้น
- สาเหตุที่คนมีอายุสั้น เพราะฆ่าสัตว์
- สาเหตุที่คนมีอายุยืน เพราะไม่ฆ่าสัตว์
- สาเหตุที่คนมีโรคมาก เพราะชอบเบียดเบียนสัตว์
- สาเหตุที่คนมีโรคน้อย เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์
- สาเหตุที่คนผิวพรรณทราม เพราะมักโกรธ
- สาเหตุที่คนผิวพรรณดี เพราะไม่โกรธ
- สาเหตุที่คนมีอำนาจน้อย เพราะมีใจริษยา
- สาเหตุที่คนมีอำนาจมาก เพราะไม่ริษยา
- สาเหตุที่คนมีโภคะน้อย เพราะไม่ให้ทาน
- สาเหตุที่คนมีโภคะมาก เพราะให้ทาน
- สาเหตุที่คนเกิดในตระกูลต่ำ เพราะไม่อ่อนน้อม
- สาเหตุที่คนคนเกิดในตระกูลสูง เพราะอ่อนน้อม
- สาเหตุที่คนมีปัญญาน้อย เพราะไม่คบสัตบุรุษ
- สาเหตุที่คนมีปัญญามาก เพราะคบสัตบุรุษ
ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ทำกรรมไว้อย่างใดๆ
เขาต้องเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น
การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ทำกรรมที่ต้องเสวยผลไว้อย่างใด ๆ เขาต้องเสวยผลของกรรมนั้น อย่างนั้นๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมปรากฏ
บางคนทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมก็นำเขาไปสู่นรกได้ คือบุคคลเช่นไร คือ
บุคคล ที่ไม่เจริญกาย ไม่เจริญศีล ไม่เจริญจิต ไม่เจริญปัญญา มีคุณน้อย
มีอัตภาพน้อย มักอยู่เป็นทุกข์เพราะผลกรรมเล็กน้อย
บางคนทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นกัน แต่บาปกรรมนั้นให้ผลในปัจจุบันเท่านั้น
ไม่ให้ผลแม้แต่น้อยในอัตภาพที่ 2 (ชาติหน้า) ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลมาก
คือบุคคลเช่นไร คือ บุคคล ที่เจริญกาย เจริญศีล เจริญจิต เจริญปัญญา มีคุณไม่น้อย
มีอัตภาพใหญ่ (มีคุณมาก) เป็นอัปปมาณวิหารี (มีปกติอยู่อย่างไม่มีราคะ โทสะ และโมหะ
เป็นชื่อของพระขีณาสพ)
เปรียบเหมือนบุรุษใส่ก้อนเกลือในขันใบน้อย น้ำในขันนั้นย่อมจะเค็ม
ดื่มกินไม่ได้เพราะในขันมีน้ำน้อย น้ำนั้นจึงเค็ม แต่ถ้าใส่ในแม่น้ำคงคาละ
น้ำก็ไม่เค็ม เพราะน้ำมีมากกว่าบุคคลถูกจองจำเพราะทรัพย์กึ่งกหาปณะบ้าง
หนึ่งกหาปณะบ้าง ร้อยกหาปณะบ้าง
บุคคลผู้ขัดสน มีสมบัติน้อย มีโภคะน้อย, แต่ บุคคลผู้มั่งคั่ง
มีทรัพย์มาก มีโภคะมากย่อมไม่ถูกจองจำ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
บุคคลประกอบด้วยธรรม 3 ประการย่อมดำรงอยู่ในนรกเหมือนถูกนำไปฝังไว้
1. กายกรรมฝ่ายอกุศล คือ กายกรรมที่มีโทษ ไม่สม่ำเสมอ ไม่สะอาด
2. วจีกรรมฝ่ายอกุศล คือ กายกรรมที่มีโทษ ไม่สม่ำเสมอ ไม่สะอาด
3. มโนกรรมฝ่ายอกุศล คือ กายกรรมที่มีโทษ ไม่สม่ำเสมอ ไม่สะอาด
คนพาลผู้ไม่เฉียบแหลม เป็นอสัตบุรุษ ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ
ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ถูกทำลาย มีความเสียหาย ถูกผู้รู้ติเตียน
และประสพสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ
ย่อมดำรงอยู่ในสวรรค์เหมือนได้รับอัญเชิญไปประดิษฐานไว้
1. กายกรรมฝ่ายกุศล คือ กายกรรมที่ไม่มีโทษ สม่ำเสมอ สะอาด
2. วจีกรรมฝ่ายกุศล คือ กายกรรมที่ไม่มีโทษ สม่ำเสมอ สะอาด
3. มโนกรรมฝ่ายกุศล คือ กายกรรมที่ไม่มีโทษ สม่ำเสมอ สะอาด
บัณฑิตผู้เฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ
ย่อมบริหารตนไม่ให้ถูกกำจัด ไม่ให้ถูกทำลาย ไม่มีความเสียหาย ไม่ถูกผู้รู้ติเตียน
และประสพบุญเป็นอันมาก
กรรมและการให้ผลของกรรมเป็นเรื่องยากแก่การพิสูจน์สำหรับปุถุชน
ผู้มีกิเลสหนา ไม่สามารถที่จะมองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่ถ้าอาศัยตาคือปัญญา
ก็จะสามารถมองเห็นได้ หลักคำสอนของพุทธปรัชญา จึงให้ความสำคัญกับการกระทำในปัจจุบัน
คือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยการทำจิตไม่ให้มีเวร ไม่พยาบาท ไม่ให้จิตเศร้าหมอง
มีจิตบริสุทธิ์ เมื่อทำได้จะบรรลุความเบาใจ 4 ประการในปัจจุบัน คือ
1. ถ้าโลกหน้ามี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี
เป็นไปได้ที่เรื่องนั้นจะเป็นเหตุให้เราหลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
2. ถ้าโลกหน้าไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี
เราก็รักษาตนไม่ให้มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่ให้มีทุกข์
ให้มีสุขในปัจจุบันในโลกนี้ได้
3. ถ้าบุคคลเมื่อทำบาปก็ชื่อว่าทำบาป เราไม่เจาะจงบาปไว้เพื่อใคร ๆ เลย
เมื่อเราไม่ทำบาปเลย ความทุกข์จะถูกต้องเราได้อย่างไร
4. ถ้าบุคคลเมื่อทำบาปก็ชื่อว่าไม่ทำบาป เราก็พิจารณาเห็นตนบริสุทธิ์ทั้ง 2
ส่วน ในโลกนี้
กรรมกับการเกิดใหม่
กรรมที่ถูกอโทสะครอบงำ กรรมที่ถูกอโมหะครอบงำ
วิเคราะห์วิบากแห่งกรรม
กรรมและการเกิดใหม่กับการตอบปัญหาทางปรัชญา
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12
การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
วิเคราะห์ปฏิจจสมุปบาทกับปัญหาปัจจุบัน
ความหมายของอนัตตา
ความจริงหรือปรมัตถสัจจะ
ทัศนะเรื่องอนัตตาของสำนักปรัชญาต่าง ๆ
บทวิเคราะห์เรื่องอนัตตา