ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร

พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน

พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)           

 

ตอนที่ 19

เทวทัต

      พระพุทธองค์ทรงมีสาวกองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง และในทำนองเดียวกัน สาวกองค์นั้นก็มีความเคารพและมีความรักใคร่พระองค์อย่างสูงสุด สาวกผู้นี้มีนามว่า “อานนท์” ซึ่งเป็นญาติลูกเรียงพี่เรียงน้องของพระองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระชนมายุ 54 พรรษา และเริ่มทรงรู้สึกถึงความชรา ซึ่งทำให้ต้องมีผู้ช่วยเหลือพระองค์บางอย่าง จึงได้ทรงเลือกพระอานนท์เป็นผู้อุปัฏฐากประจำพระองค์เป็นพิเศษ พระองค์ทรงติดต่อกับภิกษุทั้งหลายผ่านทางพระอานนท์ โดยพระอานนท์เป็นผู้นำกระแสพระดำรัสไปบอกกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีกิจธุระเนื่องด้วยการกราบทูลพระพุทธองค์ ย่อมจะเข้าไปหาพระอานนท์ให้ช่วยกราบทูลแทน แม้การกราบทูลขอพระอนุญาตหรือโอกาสบางอย่างบางประการ ภิกษุทั้งหลายก็พอใจที่จะติดต่อกับพระอานนท์ แทนที่จะเข้าไปเฝ้าพระองค์โดยตรง
     พระพุทธองค์ยังมีลูกเรียงพี่เรียงน้องของพระองค์มาบวชเป็นภิกษุซึ่งมาอยู่กับพระองค์ และมีอะไรๆ ที่ประพฤติและกระทำต่อพระองค์ทุกๆ อย่างตรงกันข้ามจากพระอานนท์ แทนที่จะยินดีรับใช้ปรนนิบัติและเชื่อฟังพระองค์ กลับเป็นผู้มีความคิดริษยา และแข่งดีต่อพระองค์ และพยายามทำลายหมู่สงฆ์ของพระองค์ด้วย
     ลูกเรียงพี่เรียงน้องผู้มุ่งร้ายต่อพระองค์ผู้นี้ มีนามว่า เทวทัต ท่านผู้นี้หยิ่งและไว้ตัวว่า มีเชื้อกษัตริย์ในสายเลือด เพราะเกิดในตระกูลกษัตริย์ศากยวงศ์ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะได้เข้ามาบวชเป็นภิกษุ ได้รับการยกย่องนับถือจากภิกษุทั่วไป ในฐานะเป็นอัครสาวกที่พระพุทธองค์โปรดปราน พระเถระทั้งสองซึ่งมิใช่เป็นเชื้อกษัตริย์และมิได้เป็นพระญาติ พระเทวทัตจึงหลบไปจากหมู่ภิกษุ ตรงไปยังนครราชคฤห์เพื่อแสวงหาความเป็นมิตรกับเจ้าชายอชาตสัตรู ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร และเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อยู่ในขณะนั้น เมื่อไปถึงนครราชคฤห์แล้ว ได้แสดงกิริยาอาการความรู้บางอย่างเป็นที่สนใจของเจ้าชายอชาตสัตรู จนมีความรักใคร่นับถือเป็นอย่างยิ่ง และมีความพอพระทัยในพระเทวทัต จนถึงกับได้สร้างวิหารอันสวยงามขึ้นแห่งหนึ่งใกล้ๆ นครราชคฤห์ ถวายให้เป็นที่อยู่อาศัยของพระเทวทัตโดยเฉพาะ และเป็นผู้อุปัฏฐากโดยใกล้ชิดตลอดมา
     เวลาได้ล่วงไปหลายปี จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้เสด็จไปสู่นครราชคฤห์อีก พระเทวทัตได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ และทูลขออนุญาตที่จะจัดคณะสงฆ์ใหม่ มีพระเทวทัตเองเป็นประมุข พระพุทธองค์ก็ได้ทรงปฏิเสธคำขอของพระเทวทัต และทรงอธิบายว่า การแยกสงฆ์เป็นฝักฝ่ายนั้นไม่นำมาซึ่งผลดี แต่พระเทวทัตเชื่อมั่นในความคิดของท่านเองอย่างรุนแรง ได้ทูลขอแล้วขออีกอยู่ร่ำไป พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิเสธทุกครั้งเช่นเดียวกัน บัดนี้ความริษยาและความแข่งดีของพระเทวทัตได้เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นการจองเวรต่อพระพุทธองค์ พระเทวทัตได้ปักใจที่จะตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่เป็นของท่านเอง โดยที่พระพุทธองค์จะทรงรับรองหรือไม่ก็ตาม ความคิดข้อนี้ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายอชาตสัตรูอย่างเต็มที่ ส่วนพระเจ้าพิมพิสารพระบิดาของเจ้าชายนั้น ทรงปฏิเสธในความร่วมมือในการตั้งคณะสงฆ์ใหม่โดยเด็ดขาด และยังคงเป็นฝักฝ่ายของพระพุทธองค์โดยแน่นแฟ้น


     พระเทวทัตได้หาวิธีทำให้เจ้าชายอชาตสัตรูหลงรักและเลื่อมใสโดยประการต่างๆ จนถึงกับยอมทำตามความประสงค์ทุกประการ เมื่อพระเทวทัตเห็นว่าท่านเองสามารถทำให้เจ้าชายอชาตสัตรูมีความเชื่อถือแน่นแฟ้นถึงเพียงนั้นแล้ว ก็ได้แนะนำให้เจ้าชายอชาตสัตรูกำจัดพระบิดาของพระองค์ออกไปเสียนอกทาง เพื่อยกพระองค์เองขึ้นเป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ จะทำอะไรได้ตามพอใจโดยไม่มีใครขัดขวาง และสามารถช่วยพระเทวทัต ในการตั้งคณะสงฆ์ใหม่ได้โดยสะดวก เจ้าชายอชาตสัตรูได้ทำตามคำแนะนำของพระเทวทัต แต่ไม่ถึงกับใช้ดาบหรือลูกศร เพราะยังหวาดกลัวต่อการทำโลหิตให้ไหลออกจากกายของบุคคลผู้เป็นบิดา แต่ถึงกระนั้นก็ได้ทำการปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์ ด้วยวิธีอันทารุณและโหดร้าย โดยรับสั่งให้จับพระบิดาของพระองค์ขังไว้ในคุก และเว้นจากการให้อาหารจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไปเพราะขาดอาหาร ซึ่งแม้พระชนนีของพระองค์ได้พยายามทำความช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในปีที่ 37 นับแต่การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ซึ่งเจ้าชายอชาตสัตรูได้ประกอบกรรมอันชั่วร้ายยึดพระราชบัลลังก์แห่งแคว้นมคธ เป็นกษัตริย์แทนพระบิดาของพระองค์ ซึ่งพระองค์เป็นผู้กระทำการทรมานจนสิ้นพระชนม์ไปเอง ดังกล่าวแล้ว
     บัดนี้พระเทวทัตมีกำลังครบถ้วนตามที่ท่านต้องการ กษัตริย์องค์ใหม่เป็นทั้งมิตรและทั้งผู้อุปถัมภ์ ที่ยอมพลีทุกๆ อย่าง และพร้อมที่จะทำตามคำขอร้องของท่านทุกวิถีทาง ดังนั้น พระเทวทัตได้ขอร้องให้พระเจ้าอชาติสัตรูจัดหาคนแม่นศรมาจำนวนหนึ่ง จ่ายรางวัลให้เป็นอย่างสูงและบอกให้ไปยังที่ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ และให้ยิงพระพุทธองค์ให้ถึงพระชนม์ชีพ เมื่อคนรับจ้างเหล่านั้นได้ไปถึงที่ที่พระพุทธองค์ประทับ ได้เห็นพระองค์ทรงมีพระกิริยาอาการสงบรำงับอ่อนโยน สง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม ก็กลายเป็นผู้ไม่สามารถทำสิ่งซึ่งตนตั้งใจจะมาทำขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งที่ตนได้รับค่าจ้างล่วงหน้าแล้ว คนเหล่านั้นรู้สึกจับใจ ในพระพุทธลักษณะอย่างสูงสุดมีจิตใจเคารพบูชาพระองค์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นแทนที่เขาจะปล่อยลูกศรของเขาไปยังพระพุทธองค์ เขาได้พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ หมอบกายลงแทบฝ่าพระบาท แสดงความเคารพสักการะอย่างสูงสุด พระพุทธองค์ได้ทรงปราศรัยแก่เขา ชั่วเวลาเล็กน้อย เขาก็พากันสารภาพในสิ่งที่เขารับจ้างมากระทำ และได้ทูลขอให้พระองค์ทรงยกโทษ ในความหลงผิดของเขา พระพุทธองค์ได้ประทานอภัยโทษโดยสิ้นเชิงในทันที คนเหล่านั้นพากันปฏิญาณเป็นสาวกของพระองค์จนตลอดชีวิต
     เมื่อพระเทวทัตได้ทราบว่าบรรดาคนที่ถูกส่งไป เพื่อปลงพระชนม์ชีพพระพุทธองค์เหล่านั้น แทนที่จะปลงพระชนม์ชีพพระพุทธองค์ตามคำสั่งกลับกลายไปเป็นสาวกของพระพุทธองค์เสียเฉยๆ เช่นนั้น ก็เดือดดาลด้วยความโกรธและตั้งใจว่าจะไม่ส่งผู้ใดไปอีกแล้ว แต่จักไปประกอบการกระทำนั้นด้วยมือของตนเอง
     มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งใกล้ๆ กับที่ประทับของพระพุทธองค์ และพระพุทธองค์เคยเสด็จดำเนินไปมาตามหนทางที่เชิงเขานั้น เย็นวันหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์กำลังทรงดำเนินอยู่บนทางนั้น พระเทวทัตซึ่งคอยจ้องหาโอกาสเพื่อจะปลงพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์อยู่ทุกขณะ ได้แอบซ่อนอยู่บนภูเขานั้นตรงกับทางเดินสายนั้น ซึ่งมีศิลาก้อนใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง พระเทวทัตได้งัดศิลาก้อนนั้นขึ้นจากพื้น เตรียมพร้อมไว้เพื่อรอเวลาจนกระทั่งพระพุทธองค์เสด็จมาถึงที่นั่นพอดี จึงได้ผลักก้อนศิลาก้อนนั้นโดยแรง ให้มันหล่นลงมาบดทับพระพุทธองค์ตรงเชิงเขานั้น แต่เมื่อศิลานั้นหล่นลงมายังพระพุทธองค์ มันได้บังเอิญกระทบศิลาก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่ง ดังนั้นแทนที่มันจะตกลงไปยังพระเศียรของพระผู้มีพระภาคเจ้า มันได้แตกกระจายออกเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเสียก่อน สะเก็ดมีคมอันหนึ่งได้กระเด็นถูกพระบาท ทำให้พระองค์เสด็จดำเนินไม่ได้ชั่วขณะ แต่มันมิได้กระทำอันตรายร้ายแรงอย่างไร พระองค์จึงเสด็จดำเนินไปสู่พระวิหารได้ และได้รับการรักษาพยาบาลจากหมอที่เชี่ยวชาญที่สุด มีนามว่า ชีวก เขาได้ใส่ยาและพันแผลด้วยความเชี่ยวชาญ พระบาทของพระองค์ก็หายเป็นปรกติในวันต่อมา พระเทวทัตได้ประสพความพ่ายแพ้ ในแผนการอันชั่วร้ายของท่านเองอีกครั้งหนึ่ง โดยอาการดังนี้
     แต่พระเทวทัตยังไม่ยอมเลิกความพยายามที่จะปลงพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดา ท่านได้ทำความพยายามอย่างอื่นต่อไปอีก เพื่อจะปลงพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์ ให้ตนเองได้เป็นหัวหน้าแห่งหมู่ภิกษุ ท่านมีความมุ่งหมายว่าพอพระพุทธองค์สิ้นพระชนม์ลงไปเท่านั้น ท่านก็จักได้เป็นผู้ปกครองหมู่สงฆ์โดยไม่ต้องสงสัย ในครั้งนี้ท่านได้วางแผนการให้เป็นไปในทำนองที่ว่า พอพระพุทธองค์เสด็จออกบิณฑบาตตามถนนในนครราชคฤห์ในเวลาเช้า จะปล่อยช้างตกมันตัวหนึ่งออกมาตามถนนสายนั้นในขณะนั้น ให้ช้างตัวนั้นทำอันตรายพระพุทธองค์จนถึงพระชนม์ชีพ แต่พอทำเข้าดังนั้นจริง ช้างตัวนั้นหาได้กระทำตามที่พระเทวทัตมุ่งหมายไม่ มันกลับยืนนิ่งอย่างเงื่องหงอย ปล่อยให้พระพุทธองค์เสด็จไปโดยสะดวก นี่นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ที่ความพยายามอันชั่วร้ายของพระเทวทัตได้ประสพความพ่ายแพ้ลงไปอีก
     ตกมาถึงตอนนี้ พระเทวทัตได้ล้มเลิกความคิดที่จะปลงพระชนม์ชีพพระพุทธองค์ เนื่องจากประสพความล้มเหลวมาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ก็ยังมีความคิดที่จะทำลายคณะสงฆ์ของพระพุทธองค์อยู่นั่นเอง พระเทวทัตได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ทำการราวกะว่าเหตุร้ายสิ่งใดไม่ได้เกิดขึ้น ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่าท่านมีความเห็นว่าคณะสงฆ์มีการปฏิบัติยังไม่เคร่งครัดเพียงพอ ท่านเองเห็นว่าจะเป็นผลดีกว่าที่เป็นอยู่ในบัดนี้มาก ถ้าหากว่าภิกษุทั้งหลายพากันปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการเป็นอยู่ เหมือนดังนักบวชนิกายอื่นบางนิกาย เพราะว่าประชาชนพากันเห็นว่าภิกษุของพระพุทธองค์เป็นอยู่อย่างสะดวกสบายมากเกินไป ในเมื่อเปรียบกับนักบวชนิกายอื่น
     พระเทวทัตได้ทูลเสนอความคิดของท่านแด่พระพุทธองค์ว่า ขอให้พระพุทธองค์จงทรงบัญญัติวินัยอันเคร่งครัด คือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าให้ภิกษุทั้งหลายอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาเครื่องมุงเครื่องบังใดๆ แต่จะอาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้หรือตามป่า หรืออยู่กลางแจ้ง ซึ่งปราศจากเครื่องมุงเครื่องบัง โดยประการทั้งปวง พระเทวทัตยังได้ทูลขอให้พระพุทธองค์บังคับอย่าให้ภิกษุทั้งหลายรับอาหารที่มีบุคคลจัดขึ้นเฉพาะ และนำมาถวายจนถึงที่อยู่ ให้ยินดีแต่ในอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตตามปรกติแต่อย่างเดียว ไม่รับเอาอาหารอื่นนอกจากนี้ และอย่าให้ภิกษุทั้งหลายใช้จีวรเนื้อดี และทำสำเร็จรูปมาเป็นอย่างดี ดังที่ประชาชนนำมาถวายอยู่เนืองๆ แต่ใช้จีวรที่ประกอบขึ้นเองจากผ้าหรือเศษผ้าที่รวบรวมมาจากกองขยะมูลฝอยหรือจากป่าช้า และข้อสุดท้ายได้ทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติข้อห้ามไม่ให้ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อหรือปลาแม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ให้เป็นอยู่ด้วยอาหารที่เกิดจากพืช พระเทวทัตได้ทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิ่งเหล่านี้ขึ้นเป็นข้อกฎอันเด็ดขาดสำหรับภิกษุสงฆ์ หากใครไม่ปฏิบัติตามก็ต้องออกจากหมู่คณะไป
     พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิเสธคำขอร้องของพระเทวทัตอย่างเปิดเผย พระองค์ได้ตรัสว่า ถ้าภิกษุใดปรารถนาจะอยู่โคนไม้ หรือที่แจ้ง เป็นนิจก็ให้ทำได้ แต่ถ้าผู้ใดไม่ปรารถนา ก็อาศัยอยู่ในเสนาสนะอันสมควรที่มีผู้จัดถวายได้ ในเรื่องอื่นๆ พระองค์ได้ตรัสมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันคือ ถ้าภิกษุใดปรารถนาจะฉันแต่อาหาร ซึ่งได้มาจากการบิณฑบาตอย่างเดียว หรือใช้แต่จีวรที่ทำขึ้นเองจากเศษผ้าอันรวบรวมจากกองขยะหรือป่าช้าอย่างเดียว หรือจักไม่ฉันอาหารเนื้ออาหารปลา ฉันแต่อาหารพืชอย่างเดียว ตามความประสงค์ของตนก็ทำได้ แต่ถ้าผู้ใดไม่ปรารถนาจะปฏิบัติเช่นนั้น ก็ไม่ต้องปฏิบัติก็ได้ ในที่สุดพระพุทธองค์ได้ตรัสเตือนพระเทวทัตว่า พระเทวทัตอย่างพึงพยายามกระทำให้ผิดแบบแผน อันจะเป็นทางให้คณะสงฆ์แตกแยกกันต่อไปอีกเลย มิฉะนั้น จะเกิดผลร้ายขึ้นแก่พระเทวทัตเอง
     แต่พระเทวทัตไม่สนใจต่อคำตักเตือนของพระพุทธองค์ ได้กลับไปด้วยความโกรธแค้น พระเทวทัตยังได้พยายามชี้แจงให้พระอานน์เห็นดีด้วย ในข้อที่ภิกษุสงฆ์ควรจะมีข้อบังคับอันเคร่งครัดดังกล่าวแล้ว แต่พระอานนท์ได้ปฏิเสธในความคิดเห็นของพระเทวทัต และมีข้อคิดเห็นเป็นฝ่ายพระพุทธองค์ไปตามเดิมทุกประการ
     พระเทวทัตได้เดินทางไปยังชนบทบ้านนอก อันเป็นที่ซึ่งภิกษุในถิ่นนั้น ไม่ได้เข้ามาเฝ้าพระพุทธองค์เป็นเวลานาน และไม่ทราบเรื่องราวใดๆ ในที่นั้นพระเทวทัตได้ประสพความสำเร็จ ในการชักชวนภิกษุจำนวนหนึ่งให้มีความเชื่อและเลื่อมใสในข้อกฎอันใหม่ของท่าน และพากันตั้งเป็นหมู่คณะขึ้นใหม่มีพระเทวทัตเป็นหัวหน้าหมู่ พระพุทธองค์ได้ทรงทราบเรื่องนี้ ได้รับสั่งให้พระสารีบุตรไปทำความเข้าใจแก่ภิกษุเหล่านั้นเสียใหม่ เพื่อความปลอดภัยของภิกษุเหล่านั้นเอง พระสารีบุตรได้ไปถึงสถานที่นั้น บังเอิญในขณะที่พระเทวทัตกำลังจำวัตรอยู่ พระสารีบุตรได้บอกกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้นตามที่เป็นจริงว่า พระพุทธองค์ทรงมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรในเรื่องนี้ และได้ชี้แจงความจริงต่างๆ อันเกี่ยวกับพระเทวทัตแก่ภิกษุเหล่านั้น ชั่วเวลาเล็กน้อยเท่านั้น ภิกษุเหล่านั้นได้พากันกลับใจ ในการที่จะปฏิบัติตามพระเทวทัตอย่างเคร่งครัดสืบไป และได้พากันลุกขึ้นจากที่นั่น ติดตามพระสารีบุตรมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกันทั้งหมด
     เมื่อพระเทวทัตตื่นขึ้นในตอนบ่าย ได้เห็นบริวารเงียบผิดปรกติ ก็ออกมาดู เพื่อทราบว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อได้สำรวจดูทั่วแล้ว ท่านก็ทราบได้ว่าไม่มีภิกษุเหลืออยู่ในที่นั้นแม้แต่รูปเดียว และต่อมาอีกเล็กน้อย พระเทวทัตก็ได้ทราบจากผู้รู้เห็นเหตุการณ์ อันทำให้ทราบได้ว่า พระสารีบุตรได้มาที่นี่ในขณะที่ท่านหลับอยู่ และได้พูดจากับภิกษุทั้งหลายจนกระทั่งภิกษุเหล่านั้นได้ละทิ้งสำนักนี้ พากันไปกับพระสารีบุตรเพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยกันหมดทุกรูป ก็มีความแค้นใจเป็นอันมาก ในขณะนี้พระเทวทัตมีความเหนื่อยอ่อน จนไม่สามารถจะเดินทางไกลได้ จึงสั่งให้คนรับใช้ของท่านจัดแคร่มีคานหาม มาหามท่านไปสู่สำนักของพระพุทธองค์โดยที่ท่านอยากจะทราบว่า พระพุทธองค์ทรงมีความมุ่งหมายอย่างไร ในการที่ให้นำภิกษุส่วนของท่านไปจนหมดจนสิ้นเช่นนั้น
     เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ทราบข่าวความโกรธของพระเทวทัตและทราบความที่พระเทวทัตกำลังเดินมาสู่สำนักของพระพุทธองค์ ด้วยความโกรธเช่นนั้น ได้พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์และทูลขอให้พระองค์ทรงหลบไปเสีย โดยถวายความคิดเห็นว่าพระเทวทัตมาด้วยความโกรธในคราวนี้ อาจจะทำอันตรายแก่พระพุทธองค์อย่างซึ่งหน้าก็ได้ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงหวั่นไหวในการมาของพระเทวทัต แม้แต่หน่อยเดียว พระองค์ได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า พระเทวทัตจะไม่สามารถทำอันตรายพระองค์ แม้แต่ประการใดเลย และทรงปฏิเสธที่จะหลบไปตามคำขอร้องของภิกษุ ทั้งทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้สึกปลอดภัยโดยประการทั้งปวง ในการกระทำของพระเทวทัต
     พระองค์ทรงพิสูจน์ให้ภิกษุทั้งหลายเห็นว่า คำตรัสของพระองค์นั้นเป็นความจริงทุกประการ เพราะข่าวซึ่งภิกษุทั้งหลายได้ทราบในกาลต่อมานั้นมีว่า คนหามแคร่ของพระเทวทัตได้หยุดพักระหว่างทาง และพระเทวทัตได้สิ้นชีวิต ณ ที่นั้นโดยอาการที่ไม่มีใครเคยคาดฝัน ความจริงต้องเป็นความจริงอย่างถูกต้องตามความจริงทุกประการ ความตายได้ตกลงสู่พระเทวทัตเอง ในเวลาและในสถานที่ ซึ่งพระเทวทัตกำลังพยายามจะปลงพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง
     ต่อจากนั้นมา ไม่มีความระส่ำระสายอันใดเกิดขึ้นแก่คณะสงฆ์อีก จนตลอดพระชนมายุของพระพุทธองค์ เว้นเสียแต่ความวินาศบางอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นแก่กลุ่มชนนอกคณะสงฆ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพระองค์เป็นส่วนตัว พระราชาและเจ้าชายในราชตระกูลเป็นอันมากแห่งศากยวงศ์และแห่งแคว้นโกศลได้สูญเสียชีวิตในการทำสงคราม ซึ่งแม้พระองค์จะทรงทัดทานไว้ได้ ก็เพียงในคราวแรก 2-3 คราว เหตุการณ์อันนี้ได้เกิดขึ้นใกล้ๆ กับปีที่พระองค์จะเสด็จปรินิพพานนั่นเอง

» กำเนิดพระสิทธัตถะ

» วัยกุมาร

» ในวัยรุ่น

» ในวัยหนุ่ม

» ความเบื่อหน่าย

» การสละโลก

» พระมหากรุณาธิคุณ

» ความพยายามก่อนตรัสรู้

» ประสพความสำเร็จ

» ทรงประกาศพระธรรม

» สิงคาลมาณพ

» สารีบุตรและโมคคัลลานะ

» เสด็จกบิลพัสดุ์

» พุทธกิจประจำวัน

» พระนางมหาปชาบดี

» ปาฏิหาริย์

» พระพุทธดำรัส

» ความกรุณาของพระพุทธองค์

» เทวทัต

» ปรินิพพาน

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย