ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน
พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)
ตอนที่ 18
ความกรุณาของพระพุทธองค์
ครั้งหนึ่ง
เมื่อพระองค์เสด็จจาริกเที่ยวสั่งสอนประชาชนตามถิ่นต่างๆ ทรงพักค้างคืนอยู่ ณ
ที่แห่งหนึ่ง พราหมณ์ชาวนาคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในถิ่นใกล้ๆ
กันนั้นได้ตั้งใจไว้แต่กลางคืนว่า รุ่งเช้าจักไปฟังธรรมของพระองค์
แต่โชคไม่เข้าข้างเขา อย่างที่เขานึกไว้ โดยที่พอวันรุ่งขึ้น
ถึงเวลาที่เขาควรจะไปฟังธรรมนั้น ปรากฏว่าวัวตัวหนึ่งของเขา
ได้หายไปเสียตั้งแต่เวลากลางคืน เขาเป็นคนยากจนมาก
ไม่อาจจะปล่อยให้หายเสียเช่นนั้น จึงออกจากบ้าน รีบติดตามวัวไปในป่า
โดยหวังว่าจักพบได้ในเวลาอันไม่นานแล้วกลับมาให้ทันฟังธรรมเทศนาพอดี
แต่วัวได้ไปไกลเกินกว่าที่เขาหวัง
แม้เขาจะได้พยายามติดตามเป็นอย่างดีแล้ว กว่าจะพบได้
ก็เป็นเวลาเลยเที่ยงวันไปแล้ว
เขารีบนำวัวกลับบ้านด้วยความเหนื่อยและอ่อนเพลียเพราะการเที่ยววิ่งหาที่นั่นที่นี่ท่ามกลางแดด
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ประสงค์ที่จะพักผ่อน หรือไปรับประทานอาหารเสียก่อน
แล้วจึงไปฟังธรรม
เขารีบตรงไปสู่ที่ที่พระพุทธองค์ประทับโดยหวังว่าอย่างน้อยที่สุด
เขาจะได้ฟังธรรมเทศนาตอนท้ายสักนิดหนึ่ง ก็ยังดี แต่เมื่อเขาไปถึงที่แสดงธรรม
ก็มีความประหลาดใจอย่างยิ่ง
เพราะว่าธรรมเทศนาสำหรับในวันนั้นยังไม่ได้เริ่มแสดงเลย
ในที่แสดงธรรมนั้นพระพุทธองค์ยังคงประทับอยู่นิ่งๆ ในท่ามกลางประชาชนเป็นอันมาก
เพื่อรอคอยเขาอยู่ด้วยความอดทน เขามีความดีใจอย่างสูงสุด
เมื่อรู้สึกว่าเขามาได้ทันเวลา และได้ค่อยๆ คลานเข้าไปอย่างเงียบๆ
ทางท้ายที่ประชุม เพื่อหาที่นั่งสักแห่งหนึ่ง
แต่พอเขาเข้ามาที่ประตู
พระพุทธองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเขาและได้ตรัสถามว่า
เขาได้รับประทานอะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่า ชาวนาผู้นั้นได้ทูลว่า
เขาเพิ่งกลับมาจากการตามวัวตั้งแต่เช้า และไม่ได้หยุดหาอะไรรับประทาน
เพราะประสงค์จะไม่ให้พลาดการฟังธรรม เมื่อได้ทรงสดับดังนั้น
พระพุทธองค์รับสั่งให้อุปัฏฐากผู้หนึ่งของพระองค์ไปนำอาหารบางอย่างมาให้ชาวนาผู้นั้น
และได้ทรงรอจนกว่าเขาจะรับประทานอาหารเสร็จ
ฝ่ายชาวนานั้นเมื่อรำงับความหิวและความกระหายแล้ว
ได้เข้ามาเฝ้าอยู่ใกล้ๆ พระพุทธองค์ พระองค์ได้ทรงเริ่มการแสดงธรรม
เขาจึงได้ทราบ ณ บัดนั้นเองว่าพระพุทธองค์ได้ทรงทราบวาระน้ำใจของเขาว่า
เขาต้องการฟังธรรม
และได้ทรงนั่งรอคอยเขาอยู่ท่ามกลางที่ประชุมพร้อมด้วยคนเป็นอันมาก
จนกระทั้งเขากลับมา
พวกชาวบ้านและภิกษุเป็นอันมากพากันเห็นว่าเป็นของแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
และไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ทรงเอาใจใส่ในเรื่องอาหารของคนเพียงคนเดียว
ทั้งเป็นเพียงฆราวาสไม่ใช่ภิกษุ มิหนำซ้ำยังเป็นพราหมณ์
ไม่ใช่สาวกของพระองค์มาก่อนเลย แต่พระกรุณาและความตั้งพระทัยของพระองค์
ซึ่งมีต่อพราหมณ์นั้นได้เป็นผลดียิ่ง
หัวใจของพราหมณ์นั้นเต็มตื้นไปด้วยควาเผื่อแผ่ของพระองค์
และเมื่อจบธรรมเทศนาแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นสาวกของพระองค์จนตลอดชีวิต
ในคราวอื่นอีก
พระองค์ได้ทรงแสดงความกรุณาต่อชาวบ้านตามธรรมดาซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง
ในเมืองซึ่งพระองค์กำลังประทับอยู่ในขณะนั้น
มีช่างทอผ้าคนหนึ่งอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ด้วยกันสองคนกับบุตรสาว
มีบุตรสาวเป็นผู้ช่วยทำงาน
เด็กหญิงผู้นี้มีความปรารถนาที่จะฟังธรรมเทศนาของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง
แต่ในวันที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมเทศนานั้น เผอิญมีงานท่อผ้าด่วน
ที่เขากับบิดาจะต้องทำให้เสร็จทันในวันนั้น ดังนั้นเด็กหญิงผู้นั้นจึงได้ตั้งใจ
ที่จะรีบทำงานส่วนของตนให้แล้วเสร็จก่อนเวลา
จนมีเวลาเหลือสำหรับการไปฟังธรรมเทศนาด้วย
เมื่อเขาได้รีบทำงานส่วนที่เป็นหน้าที่ของเขา คือม้วนด้ายที่กรอนั้นเสร็จแล้ว
ก็ตั้งใจจะไปส่งให้แก่บิดาที่โรงทองผ้าอีกแห่งหนึ่ง
แต่ในระหว่างทางที่เดินไปนั้น ยังไม่ถึงโรงทองผ้า
เขาได้ผ่านที่ซึ่งหมู่ชนกำลังนั่งฟังธรรมเทศนาของพระองค์อยู่
เด็กหญิงผู้นั้นได้วางหลอดด้ายลงและนั่งอยู่แถวหลังสุดของหมู่คนที่นั่งฟัง
แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า เด็กหญิงคนนี้พร้อมที่จะเข้าใจธรรมะ
และปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ จึงรับสั่งให้เข้าไปนั่งใกล้กว่านั้น
เพื่อจะได้นั่งฟังถนัดไม่ผิดพลาด เด็กหญิงนั้นได้เข้าไปใกล้พระองค์
พระองค์ทรงทักทายเพื่อให้เกิดความดีใจโดยตรัสถามว่า
เขามาจากไหนและกำลังจะไปข้างไหน แต่เด็กหญิงนั้น ทั้งๆ ที่ทราบดีอยู่
ว่าตนมาจากไหนและจะไปที่ไหนก็ตาม ได้ทูลว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า
ดิฉันไม่ทราบว่าดิฉันมาจากไหน และไม่ทราบว่าจะไปสู่ที่ไหน”
เมื่อประชาชนที่นั่งฟังอยู่ ณ ที่นั้น
ได้ฟังคำตอบอันแปลกประหลาดที่เด็กหญิงนั้นกล้าหาญทูลตอบแด่พระพุทธองค์ไปเช่นนั้น
ก็พากันขัดเคืองเป็นอันมาก เพราะคนเหล่านั้น
คิดว่าเด็กหญิงนั้นพูดเล่นตลกกับพระพุทธองค์
ซึ่งเป็นบุคคลสูงสุดและได้พากันกระซิบกระซาบกันบ้าง
พูดกันบ้างถึงเรื่องที่จะคร่าเด็กหญิงคนนี้ให้ออกไปเสียจากที่ประชุม
เพราะการกระทำที่ไม่งดงามนั้น
แต่พระพุทธองค์ทรงทราบถึงความคิดของเด็กหญิงผู้นี้ได้ดี
ในการที่ได้กล่าวคำตอบอันประหลาดเช่นนั้นกับพระองค์
จึงได้ทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นให้นิ่ง
แล้วพระองค์ทรงเหลียวไปตรัสแก่เด็กหญิงนั้นเพื่อให้อธิบายถึงความหมายของคำที่กล่าวเช่นนั้น
เด็กหญิงนั้นได้ทูลว่า
“ดิฉันทราบดีว่าดิฉันมาจากบ้านและกำลังจะไปสู่โรงทอผ้า ที่พ่อกำลังทอผ้าอยู่
แต่ข้อที่ดิฉันมาสู่ภพนี้ จากภพไหนนั้น ดิฉันไม่ทราบเลย
และทั้งดิฉันไม่แน่ใจว่า ภพเบื้องหน้าของดิฉันนั้น จะเป็นอย่างไร
ดิฉันไม่ทราบสิ่งทั้งสองนี้จริงๆ แม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่งพระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์และประชาชนทุกคนในที่นั้น ได้รู้สึกนิยมชมชื่น
ในสติปัญญาและความคิดของเด็กหญิงผู้นี้ ต่อจากนั้น
พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมเมื่อจบลง
เด็กหญิงผู้ซึ่งได้ตั้งอกตั้งใจฟังแต่ต้นจนตลอดผู้นี้
ได้บรรลุธรรมลำดับแรกของการลุถึงนิพพาน คือธรรมขั้นที่เรียกว่าโสดาบัน
หมายความว่าได้เข้าถึงกระแสทางแห่งนิพพานอย่างแน่วแน่
ไม่มีการเวียนกลับอีกต่อไปจนกว่าจะลุถึงนิพพานนั้น
ในคราวหนึ่ง
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปตามทางในป่าลึก พระองค์ได้ทรงพบเนื้อตัวหนึ่ง
ติดบ่วงของนายพรานดิ้นกระวนกระวายอยู่
พระพุทธองค์ได้เสด็จตรงไปแก้บ่วงปล่อยสัตว์นั้นให้หลุดรอดไป ในทันที
แล้วได้ประทับนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่งใกล้ๆ ที่นั้นเอง
ในระหว่างนั้นพรานผู้นั้นได้มาที่บ่วงของเขา
เขาเหลือบตาดูด้วยความชำนาญเพียงแวบเดียว ก็รู้ได้ทันทีว่า เนื้อติดบ่วงแล้ว
แต่มีคนมาแก้ปล่อยมันไป เมื่อเขาได้เหลียวดูรอบๆ
เพื่อมองหาตัวบุคคลที่ทำเช่นนั้น ก็ได้เหลียวไปพบนักบวชครองผ้าเหลืององค์หนึ่ง
ซึ่งนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ สถานที่นั้น
เขาทราบได้ทันทีว่าต้องเป็นบุคคลผู้นี้เองที่ทำให้เขาต้องสูงเสียเนื้อที่เขาควรจะได้ไปตัวหนึ่ง
เขาบ่นด้วยความโกรธว่า “มากเกินไปเสียแล้วพวกนักบุญเหล่านี้!
เล่นสกปรกไปเสียทุกหนทุกแห่ง ! เที่ยวทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น
เพื่อบุญกุศลของตนอย่างไม่เข้าเรื่อง” กล่าวดังนั้นแล้ว
เขาได้ยกคันศรขึ้นด้วยความโกรธ หยิบลูกศรเกี่ยวสายแล้วเล็งตรงไปยังพระพุทธองค์
ซึ่งขณะนี้กำลังประทับนั่งสงบนิ่งอยู่ แล้วก็ลงมือยิงพลางพูดว่า “อย่างนี้แล้ว
ไม่ต้องเสียลูกศรมากกว่าดอกเดียวดอก”
แต่ในขณะที่เขาเล็งลูกศรตรงไปยังสมณะผู้นั่งสงบนิ่งอยู่อย่างประหลาดนั้น
ปรากฏว่ามือของเขาสั่น ดังนั้นลูกศรที่เขายิงไป จึงพลาดที่หมาย
ตั้งแต่เป็นพรานมาในชีวิตเขาไม่เคยยิงอะไรผิดในระยะใกล้เช่นนี้
เขาจึงโกรธตัวเองหนักขึ้น เขาหยิบลูกศรมาอีกดอกหนึ่ง แล้วยิงไปใหม่ ก็พลาดอีก
เขายิ่งประหลาดใจในการที่ความแม่นยำของเขามาสูญสิ้นไปอย่างกะทันหันเช่นนี้แต่ก็ได้ฝืนยิงไปอีกดอกหนึ่งเป็นดอกสุดท้าย
ซึ่งก็พลาดที่หมายอีกอย่างเดียวกัน ในขณะนั้น ความรู้สึกซึ่งยิ่งไปกว่าความกลัว
ได้เกิดขึ้นในใจของเขาจนคันศรและลูกศรตกจากมือ
เขาได้หมอบคลานไปสู่ที่ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่ แล้วทูลถามว่า
“พระองค์เป็นใคร ”
พระองค์ได้ตรัสตอบเขาและทรงอธิบายให้เขาทราบถึงความชั่วในการทำลายชีวิต
ซึ่งเป็นการง่ายที่จะทำลาย
แต่เป็นการยากยิ่งในการที่จะทำให้กลับคืนมาหลังจากที่ถูกทำลายไปแล้ว
พรานผู้นั้นได้ฟังคำตรัสของพระองค์แล้ว มีความจับใจด้วยถ้อยคำของพระองค์
และกิริยาอาการของพระองค์ในการตรัสถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอันมาก
จนถึงกับได้ทำสัญญากับพระองค์ว่า นับแต่วันนั้นไปเขาจักไม่ทำลายชีวิตสัตว์ใดๆ
อีกเลย และจะเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยการกระทำที่ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นๆ
ตามที่พระองค์ทรงของร้อง
บุคคลอีกคนหนึ่ง
ซึ่งทำการล้างผลาญชีวิตและกลับตัวได้โดยคำแนะนำของพระองค์นั้น มีชื่อว่า
องคุลีมาล เขาเป็นคนฆ่าคนด้วยกัน และเขามีชื่อว่าองคุลีมาล ซึ่งแปลว่า
“มาลัยแห่งนิ้วมือ”
ก็เพราะว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์แล้วตัดนิ้วมือมาร้อยเป็นพวงแขวนคอไว้รอบๆ
คอของเขาถึง 99 คนแล้ว ในคราวนี้ เขาคอยอยู่ข้างทาง เพื่อฆ่าคนที่ครบร้อย
เพื่อให้พวงมาลัยของเขาเพิ่มจาก 99* นิ้วเป็น 100 นิ้วบริบูรณ์
เรื่องบังเอิญว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จผ่านมาตามถนนที่เขาคอยอยู่พอดี
องคุลีมาลไม่เข้าใจว่า พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นอะไร
เขาต้องการแต่จะให้พวงมาลัยนิ้วมือของเขาครบ 100 นิ้วเท่านั้น
องคุลีมาลก็เหมือนกับนายพรานที่กล่าวแล้ว
เขาก็พยายามที่จะเข้าถึงองค์พระพุทธเจ้า เพื่อทำลายชีวิตพระองค์ถึง 3 ครั้ง 3
หน แต่ก็ไม่ประสพความสำเร็จทุกครั้งไป
เขาจึงรู้สึกประหลาดใจและครั่นคร้ามเป็นอันมาก ได้เข้าไปหาพระองค์ด้วยความเคารพ
และทูลถามว่าพระองค์เป็นใคร
พระองค์ได้ตรัสตอบเขาโดยไม่ได้พาดพิงถึงการที่เขาพยายามที่จะทำลายชีวิตพระองค์แม้แต่คำเดียว
แต่ได้ตรัสอธิบายธรรมให้แก่เขาอย่างลึกซึ้ง
เขาได้ฟังธรรมจากพระพุทธโอษฐ์โดยตรงเช่นนั้น ก็สำนึกในความผิด
ละการกระทำอันชั่วร้ายเสียและได้บวชเป็นภิกษุ
ครั้นบวชแล้วได้พยายามปฏิบัติธรรมจนลุถึงความเป็นพระอรหันต์
แม้กระนั้น ท่านผู้นี้ก็ยังมิได้พ้นไปจากผลกรรมที่กระทำไว้แต่กาลก่อน
เมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี
คนเป็นอันมากได้ขว้างปาท่านด้วยไม้ค้อนก้อนดิน จนได้รับความเจ็บปวดสาหัส
และบาตรแตกกระจายทุกครั้งทุกคราวทุกหนทุกแห่งที่ท่านไป แต่ท่านก็มิได้โศกเศร้า
หรือน้อยใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนั้น
และมิได้โกรธเคืองบุคคลซึ่งขว้างปาท่าน ท่านทราบดีว่า มันเป็นผลของกรรมเก่า
และมันเป็นการดีมากแล้วในการที่ได้รับผลกรรมที่ให้เสร็จสิ้นไปเสีย
แทนที่จะให้ติดค้างกันอยู่ไม่รู้สิ้นสุด ดังนั้นท่านองคุลีมาล
จึงดับขันธ์ด้วยความสงบ และลุถึงนิพพาน
» วัยกุมาร
» เทวทัต