ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน
พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)
ตอนที่ 4
ในวัยหนุ่ม
ในที่สุด กาลเวลาได้ผ่านไป เจ้าชายได้ทรงเริ่มผ่านวัยขึ้นมาเป็นหนุ่ม
แต่สิ่งอันน่ารื่นรมย์เหล่านั้น กล่าวคือปราสาทก็ตาม สวนก็ตาม สระน้ำก็ตาม
ที่เดินที่เล่นที่ขับม้าก็ตาม
ข้าบริพารอันงามที่พระราชาจัดประทานให้เป็นอย่างดีก็ตาม
ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าอะไรในการที่จะหยุดความคิดอันลึกซึ้งของเจ้าชายได้เลย
พระราชาได้ทรงสังเกตเห็นความจริงข้อนี้
พระองค์ได้ทรงเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์จัดขึ้นเพื่อยึดหน่วงจิตใจเจ้าชาย
ให้ติดอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น ได้เป็นสิ่งที่ล้มเหลวไร้ผลโดยสิ้นเชิง
พระองค์ทรงเรียกประชุมอำมาตย์ทั้งหลายของพระองค์ แล้วรับสั่งถามคนเหล่านั้นว่า
ยังมีอะไรวิธีใดอีกบ้าง
ที่พระองค์จะทรงสามารถจัดทำเพื่ออย่าให้ถ้อยคำพยากรณ์ของพระฤษีผู้สูงอายุนั้นเกิดเป็นความจริงขึ้นมา
อำมาตย์ทั้งหลายได้กราบทูลถวายความคิดเห็นของตนๆ ว่า
ทางที่ดีที่สุดในการยึดหน่วงจิตใจของเจ้าชาย อย่าให้คิดไปในทางสละโลกนั้น
คือการจัดให้เจ้าชายได้สมรสกับสตรีสาวที่สวยที่สุดเสีย
พร้อมกับทูลอธิบายว่าด้วยการทำอย่างนี้ เจ้าชายจักพัวพันอยู่กับพระชายา
จนไม่มีเวลาที่จะหวนคิดถึงสิ่งอื่นใด จนเวลาล่วงไปๆ
กระทั่งอยู่ในภาวะเหมาะสมที่จะขึ้นครองบัลลังก์ตามความประสงค์ของพระราชบิดา
ตามแบบอย่างที่เขากระทำกัน พระราชาทรงเห็นชอบว่า
คำแนะนำอันนี้เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุด
แต่พระองค์ยังไม่ทรงวางพระทัยในข้อที่จะเสาะหาสตรีสาวสวยมาได้อย่างไร
ที่จะให้น่ารักน่าเสน่หา จนถึงกับเมื่อสมรสแล้ว
จะทำให้เจ้าชายหลงใหลโดยสิ้นเชิง และมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่นใด
นอกไปจากความคิดที่จะทำให้สตรีที่รักของตนนั้นมีความสุขอย่างยิ่งแต่อย่างเดียว
เมื่อได้ทรงพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว
พระองค์ก็ทรงพบความคิดอันแยบคาย
พระองค์ทรงบัญชาให้บรรดาหญิงที่มีรูปร่างงามที่สุดทั้งหมดในประเทศของพระองค์
มาสู่นครกบิลพัสดุ์ ในวันที่ได้กำหนดไว้
เพื่อให้เดินผ่านพระพักตร์เจ้าชายสิทธัตถะ
ให้เจ้าชายมีโอกาสระบุว่าสตรีใดเป็นผู้ที่สวยที่สุดกว่าบรรดาสตรีทั้งหลาย
และให้เจ้าชายประทานรางวัลเพื่อความงามของสตรีผู้นั้นเป็นพิเศษ
แม้สตรีอื่นทุกคนที่ได้มาแสดงตัวในที่นั้นก็จักได้รับรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยสมควรแก่ความงามของตนจากพระหัตถ์ของเจ้าชายเองเช่นเดียวกัน
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงมีพระราชบัญชาออกไปดังนี้แล้ว
พระองค์ยังได้ทรงจัดเตรียมให้อำมาตย์ผู้มากด้วยปัญญาของพระองค์จำนวนหนึ่ง
ไปคอยเฝ้าดูอยู่ ณ ที่ที่สตรีทั้งหลายเดินผ่านพระพักตร์เจ้าชาย
เพื่อจะได้สังเกตว่าเจ้าชายจักพอพระทัยในสตรีคนไหนอย่างสูงสุด
แล้วให้กำหนดตัวไว้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหน
จักได้กลับไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบในภายหลัง ในที่สุด
วันแห่งการประกวดความสวยงามก็มาถึง บรรดาหญิงสาวที่งดงามที่สุดในประเทศ
ได้เดินผ่านพระพักตร์เจ้าชายโดยลำดับทีละคนๆ
เป็นขบวนแห่งความงามอย่างแพรวพราวทอตาเป็นที่สุด
แต่ละคนได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ของเจ้าชาย
ตามที่เจ้าชายทรงเห็นว่าผู้ใดควรจะได้รับเพียงไร สตรีเหล่านั้น
แทนที่จะรู้สึกร่าเริงยินดี
ในการที่ได้มีเกียรติเข้ารับของรางวัลจากพระหัตถ์เจ้าชาย
กลับมีแต่ความกลัวจนสะทกสะท้าน จะกลับมีใจร่าเริงได้
ก็ต่อเมื่อได้ผ่านพ้นไปสู่หมู่เพื่อนสาวของตน เป็นอยู่อย่างนี้คนแล้วคนเล่า
มันเป็นการชอบด้วยเหตุผลแล้ว ที่พวกสตรีเหล่านั้นจะรู้สึกดังนั้น
เพราะว่าเจ้าชายของพวกเขาพระองค์นี้ ไม่เหมือนกับบรรดาชายหนุ่มอื่นๆ
ที่พวกเขาเคยพบปะมา เจ้าชายไม่ได้ตั้งพระทัยตรวจมองความงามของหญิงเหล่านั้นเลย
หรือหากจะกล่าวให้ตรงความจริงยิ่งไปกว่านั้น
ก็คือว่าพระองค์ไม่ได้ทรงมีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ในบรรดาสาวงามเหล่านั้นเลย
พระหัตถ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ
ได้ยื่นประทานของรางวัลให้แก่สตรีเหล่านั้นก็จริง
แต่พระหฤทัยนั้นกำลังคิดครุ่นอยู่ถึงสิ่งอื่นบางสิ่งโดยสิ้นเชิง
มันเป็นสิ่งซึ่งใหญ่หลวงกว่า
เป็นจริงยิ่งกว่าดวงหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางรูปร่างอันเย้ายวนของสาวๆ
เหล่านั้น สตรีบางคนได้พูดว่า
ขณะที่พระองค์กำลังประทับบนบัลลังก์เพื่อประทานรางวัลอยู่นั้น
เธอรู้สึกราวกะว่า พระองค์เป็นเพียงเทวรูปองค์ใดองค์หนึ่ง
มากกว่าที่จะเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ
บรรดาอำมาตย์ที่พากันเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตามพระราชโองการนั้น
ได้เกิดความรู้สึกหวั่นใจว่า
พวกเขาทั้งหลายจะต้องกลับไปกราบทูลพระราชาในการไร้ผลโดยสิ้นเชิงแห่งแผนการของพระองค์
เพราะว่าเจ้าชายไม่ได้ทรงแสดงความพอใจใดๆ ให้ปรากฏ ในบรรดาสตรีงามที่ผ่านไปๆ
นั้นแม้เพียงคนเดียว สตรีทั้งหลายก็ได้เดินผ่านไปๆ เกือบจะถึงคนสุดท้ายอยู่แล้ว
สิ่งของอันได้จัดเป็นรางวัลก็เกือบจะหมดอยู่แล้ว เจ้าชายก็ยังคงประทับนิ่ง
ไม่ไหวติง มีพระหฤทัยเลื่อนลอยไปในทางอื่นอย่างเห็นได้ชัดว่า
ไม่ทรงสนพระทัยในความงามอย่างยิ่งของหมู่สตรีสาว ซึ่งแต่ละคนๆ
มีความงามอย่างจับตาจับใจคนธรรมดาสามัญทุกๆ คนเหล่านั้นเลย
แต่ในที่สุด
ในขณะที่สตรีซึ่งทุกคนคิดว่าเป็นคนสุดท้ายได้เข้ารับรางวัลชิ้นสุดท้ายและเดินผ่านไปแล้ว
ยังมีสตรีสาวอีกคนหนึ่ง ได้เดินเข้ามาช้ากว่ากำหนดด้วยอาการค่อนข้างรีบร้อน
ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ในที่นั้น ได้สังเกตเห็นว่าเจ้าชายได้มีอาการสะดุ้งนิดหนึ่ง
ในเมื่อสตรีผู้นี้เดินมาตรงพระพักตร์ แม้สตรีผู้นี้ก็เหมือนกัน
แทนที่จะก้มหน้าอย่างเอียงอายเดินผ่านเจ้าชายไปอย่างสตรีทั้งหลาย
กลับมองพระพักตร์เจ้าชายอย่างตรงๆ ยิ้มแล้วถามว่า
“ยังมีรางวัลอะไรเหลืออยู่สำหรับหม่อมฉันบ้าง ” เจ้าชายได้ทรงยิ้มตอบและตรัสว่า
“ฉันเสียใจ ที่รางวัลได้หมดไปแล้ว แต่เธอจงรับเอาสิ่งนี้ไปเถิด”
พร้อมกับตรัสดังนั้น ได้ทรงปลดพระสังวาลอันงดงามเป็นพิเศษจากพระศอของพระองค์
แล้วทรงพันให้รอบข้อพระหัตถ์แห่งสตรีนั้น
อำมาตย์ทั้งหลาย
เมื่อได้เห็นดังนั้น ก็พากันปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง
ครั้นได้สืบจนทราบว่ากุลสตรีคนสุดท้ายนี้ มีนามว่า ยโสธรา
เป็นเจ้าหญิงธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ ดังนั้นแล้ว ก็พากันรีบกลับไปเฝ้าพระราชา
กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ในวันต่อมา
พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงจัดส่งคนของพระองค์ไปสู่สำนักพระเจ้าสุปปพุทธะ
เพื่อทูลขอพระธิดา อันมีนามว่ายโสธรานั้น เพื่อการสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะ
มีธรรมเนียมประเพณีอยู่อย่างหนึ่ง
ในบรรดาเจ้าศากยะซึ่งเป็นเชื้อชาติที่มีความเข้มแข็งกล้าหาญแห่งเชิงเขาหิมาลัยว่า
เมื่อชายหนุ่มคนใดประสงค์จะสมรส ข้อแรกเขาจะต้องแสดงตนเองให้คนทั้งหลายเห็นว่า
ตนเป็นผู้ฉลาดและเชี่ยวชาญในการขี่ม้า การใช้คันศรแลลูกศร
และการใช้ดาบเช่นเดียวกับชายหนุ่มอื่นๆ ดังนั้นเจ้าชายสิทธัตถะ
แม้ทรงเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ก็ยังทรงต้องอนุวัติตามธรรมเนียมประเพณีอันนี้
ดังเช่นชายหนุ่มทั้งหลาย ครั้นถึงวันนัด
ชายหนุ่มผู้ฉลาดและเข้มแข็งแห่งแคว้นศากยะทั้งหมด ก็ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ
สนามอันเป็นที่ประลองฝีมือ ในกรุงกบิลพัสดุ์ ล้วนแต่เป็นนักขี่ม้า นักยิงศร
และนักฟันดาบ ที่จัดเจนด้วยกันทุกคน ทุกๆ คนได้แสดงฝีมือในการขี่ม้า การใช้ศร
และการฟันดาบ ตามที่ตนสามารถต่อหน้าที่ประชุมของอำมาตย์และประชาชน
เจ้าชายสิทธัตถะทรงขี่ม้าขาวชื่อ กัณฐกะ แสดงความสามารถอาจหาญในการขับขี่
ประกวดกับคนอื่นๆ จนเป็นที่ปรากฏว่าพระองค์ทรงมีความสามารถเท่า
หรือยิ่งกว่าคนที่สามารถที่สุดในประเทศของพระองค์
ในการยิงศรพระองค์ทรงสามารถส่งลูกศรไปได้ไกล และแม่นยำกว่าคนหนุ่ม
ที่ถือกันในเวลานั้นว่ายิงศรได้เก่งที่สุดในประเทศนั้น กล่าวคือ
เจ้าชายเทวทัตซึ่งเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องของพระองค์นั่นเอง
ในการประลองฝีมือทางการฟันดาบนั้นเล่า พระองค์ได้ทรงฟันต้นไม้รุ่นๆ ต้นหนึ่ง
ขาดออกด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
ด้วยฝีพระหัตถ์อันประณีตและเที่ยงจนถึงกับเมื่อดาบผ่านไปแล้ว
ต้นไม้ก็ยังคงยืนต้นอยู่ ทำให้ผู้ที่คอยดูอยู่นั้นคิดไปว่าต้นไม้นั้นยังไม่ถูกตัด
จนกระทั่งมีลมโชยมา จึงได้ค่อยๆ ล้มไปสู่พื้นดิน ทำให้คนทั้งหลายเห็นว่า
แผลตัดนั้นเกลี้ยงอย่างกะรอยมีดตัดเนย ในการประกวดการฟันดาบคราวนี้
พระองค์ทรงเป็นผู้กำชัยชนะเลิศไว้ได้ กล่าวคือ
ทรงชนะพระอนุชาต่างมารดาของพระองค์เอง ซึ่งมีพระนามว่า นันทะ อันเป็นผู้ซึ่งใครๆ
คาดกันว่าไม่มีผู้ใดในประเทศนี้จะเอาชนะเจ้าชายพระองค์นี้ ในทางฟันดาบได้
อันดับต่อไป เป็นการประลองฝีมือทางการแข่งม้าโดยอาศัยม้ากัณฐกะสีขาว
ฝีเท้าเร็วของพระองค์
เจ้าชายสิทธัตถะสามารถขับขี่ทิ้งผู้อื่นทุกคนไว้เบื้องหลังได้โดยง่ายดาย
นักแข่งด้วยกันพากันไม่พอใจ บางคนพูดแก้เก้อว่า
“ที่พระองค์ทรงชนะได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะม้าต่างหาก
ถ้าเราได้ม้าฝีเท้าเร็วเช่นม้ากัณฐกะมาขี่ เราก็ต้องชนะเหมือนกัน
มันดีอยู่ที่ม้าต่างหาก หาใช่ดีที่คนขี่ไม่ อย่างไรๆ เอาม้าเปลี่ยวสีดำ
ตัวที่ไม่เคยยอมให้ใครๆ ขึ้นหลังเลยนั้น มาพิสูจน์กันที ว่าใครจะขึ้นขี่มันได้
หรือนั่งบนหลังมันได้นานที่สุด”ดังนั้นบรรดาเจ้าชายหนุ่มทั้งหลาย
จึงได้พยายามเต็มความสามารถของตน ผลัดกันทีละคนๆ
ที่จะพยายามจับม้าตัวนั้นเผ่นขึ้นนั่งบนหลังของมันให้ได้ ผลปรากฏทุกพระองค์
ได้ถูกม้าอันลำพองและดุร้ายตัวนั้นสะบัดให้ล้มลงมายังพื้นดินทุกคราวไป
กระทั่งเวียนมาถึงรอบของเจ้าชายอรชุน ซึ่งถือกันว่า
เป็นนักขี่ม้าที่เยี่ยมที่สุดในประเทศมาแล้ว
เจ้าชายองค์นี้ใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย ก็ทรงสามารถขึ้นนั่งบนหลังมันได้
และหวดด้วยแส้ เพื่อให้มันวิ่งไปรอบๆ สนาม แต่ในอึดใจต่อมา โดยที่ใครๆ
คาดไม่ถึงว่ามันจะมีฤทธิ์เดชอย่างไร ม้าร้ายตัวนี้ได้แว้งศีรษะของมันมาโดยเร็ว
งับเอาขาของเจ้าชายอรชุน ด้วยฟันอันใหญ่คมและแข็งกร้าวของมัน
ดึงกระชากเจ้าชายให้หลุดจากหลังแล้วเหวี่ยงลงยังพื้นดิน
หากว่าพนักงานที่คอยเฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่นั้น
พวกหนึ่งไม่ช่วยกันรั้งแยกมันออกไว้ทัน
และพนักงานอีกพวกหนึ่งไม่พากันรุมตีทางหลังของมันแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยที่เจ้าสัตว์ดุร้ายตัวนี้จะไม่ทำอันตรายแก่เจ้าชายอรชุนจนกระทั่งเสียชีวิต
แม้ม้าเปลี่ยวดุร้ายตัวนั้น จะอาละวาดถึงเพียงนั้นมาแล้วก็ตาม รอบถัดไป
ก็จำต้องเป็นรอบของเจ้าชายสิทธัตถะที่จะต้องขึ้นขี่ ตามที่ตกลงกัน
ทุกคนพากันคิดว่าพระองค์จะต้องเสียชีวิต เพราะแม้เจ้าชายอรชุน
ที่ถือกันว่าเชี่ยวชาญการขี่ม้าของประเทศก็ยังรอดตายไปได้อย่างหวุดหวิด แต่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงดำเนินอย่างแช่มช้าเป็นปรกติ
ตรงแน่วไปยังม้าตัวนั้น ทรงวางพระหัตถ์ข้างหนึ่งบนคอของมัน
และพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งลูบที่จมูกของมัน
พร้อมกับกล่าวคำอ่อนหวานที่หูของมันสองสามคำ และพระองค์ได้ทรงตบเบาๆ
ที่สีข้างทั้งสองของมัน การกระทำได้ในชั้นต้นนี้ก็ทำความประหลาดใจให้แก่ทุกๆ คน
ในการที่ม้าร้ายตัวนั้นยอมนิ่งให้ไม่กระดุกกระดิก
และซ้ำยังยินยอมให้เจ้าชายขึ้นบนหลัง
ขี่ขับไปข้างหน้าถอยมาข้างหลังได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาอีกด้วย
จึงเป็นที่ประจักษ์ด้วยกันทุกคนในที่นั้นว่า
มันยินยอมทำตามความประสงค์ของเจ้าชายทุกๆ อย่างโดยสิ้นเชิง
นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าไปใกล้มันได้อย่างนี้โดยไม่เกรงกลัวมัน
ทั้งสามารถบังคับขับขี่มัน โดยไม่ต้องมีการเฆี่ยนตีอีกด้วย
แม้ม้าตัวนั้นก็จักต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ในการกระทำเช่นนั้นของเจ้าชาย
ซึ่งมันไม่เคยได้รับการกระทำอย่างนี้จากใครที่ไหนมาก่อนเลย มันจึงยอมให้เจ้าชาย
ผู้ซึ่งไม่ทรงหวาดกลัว และทั้งไม่ทรงแสดงความทารุณต่อมัน
ทรงขึ้นขี่มันได้ตามความประสงค์
ในที่สุด ทุกคนได้ยอมรับว่า
เจ้าชายสิทธัตถะได้เป็นนักขี่ม้าที่เชี่ยวชาญที่สุดของประเทศด้วยอีกประการหนึ่ง
และเป็นผู้สมควรที่สุด ที่จะเป็นพระสวามีของเจ้าหญิงยโสธราผู้งามเลิศด้วย
ทางฝ่ายพระเจ้าสุปปพุทธะ พระบิดาแห่งเจ้าหญิงยโสธราก็ได้ทรงเห็นพ้องในข้อนี้
ทรงยินยอมยกธิดาของพระองค์ให้เป็นพระชายาของเจ้าชายหนุ่ม
ผู้ซึ่งมีรูปร่างงดงามและแกว่นกล้าพระองค์นี้ด้วยความเต็มพระทัย
เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงสมรสกับพระนางยโสธราผู้เลอโฉม
ในท่ามกลางความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวงของคนทุกหมู่เหล่า
และได้เสด็จพร้อมด้วยพระนางไปประทับ ณ ปราสาทอันสร้างใหม่และงดงาม
ซึ่งพระบิดารับสั่งให้สร้างขึ้น
เพื่อคนทั้งคู่จะได้แวดล้อมอยู่ด้วยความเบิกบานบันเทิงทุกอย่างทุกประการ
เต็มตามที่คนหนุ่มสาวจะพึงบันเทิงได้
ในบัดนี้
พระเจ้าสุทโธทนะเริ่มทรงดีพระทัยว่า
พระโอรสของพระองค์จักไม่ทรงใฝ่ฝันถึงการสละบัลลังก์ ออกไปผนวชเป็นนักบวชอีกต่อไป
แต่เพื่อให้เป็นที่แน่นอนยิ่งขึ้น
ว่าความคิดนึกของเจ้าชายจะไม่น้อมไปในทางนั้นโดยเด็ดขาด
พระราชาจึงรับสั่งไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งในที่นั้นเอ่ยถึงสิ่งที่นำมาซึ่งความเศร้าสลด
เช่น ความแก่ ความเจ็บ หรือความตาย เป็นต้น แม้แต่คำเดียว
คนที่ห้อมล้อมใกล้ชิดอยู่เหล่านั้น จะต้องพยายามกระทำทุกอย่างทุกทาง
ให้ราวกะว่าสิ่งอันไม่พึงปรารถนาเหล่านั้นมิได้มีอยู่ในโลกนี้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น พระราชาได้รับสั่งให้คนรับใช้ทั้งภายในและภายนอก
ที่มีลักษณะส่อรูปร่างหน้าตาไปในทางชราหรืออ่อนเพลีย หรือเจ็บไข้ได้ป่วย
ปรากฏออกมาเพียงเล็กน้อย ให้ออกไปเสียให้พ้นจากเขตวังของพระราชโอรส
พระองค์ได้ทรงจัดจนถึงกับว่า ในเขตปราสาทและบริเวณอุทยานรอบปราสาทของเจ้าชายนั้น
คนอื่นจักไม่มีผู้ใดเยี่ยมกรายเข้าไปเลย นอกจากหนุ่มสาว
ซึ่งมีใบหน้าแสดงแววแห่งความสุขความร่าเริง และความยิ้มแย้มแจ่มใสเท่านั้น
หากเผอิญมีใครล้มเจ็บลงในนั้น จักต้องช่วยกันรีบนำออกไปนอกบริเวณโดยทันที
และจะไม่ยอมให้กลับเข้ามาอีก จนกว่าจะหายและสมบูรณ์ดังเดิม
พระราชาทรงมีพระราชโองการอันเฉียบขาด มิให้ใครคนใดคนหนึ่งในที่นั้น
แสดงอาการหรือนิมิตแห่งความอ่อนเพลียหรือเศร้าใจออกมาต่อพระพักตร์ของเจ้าชาย ทุกๆ
คนที่แวดล้อมเจ้าชายอยู่
ต้องแสดงอาการรื่นเริงบันเทิงสดชื่นแจ่มใสจนตลอดทั้งวันทั้งคืน
และในยามที่เป็นเวลาปรนนิบัติเต้นรำขับกล่อมจะต้องไม่แสดงอาการแห่งความเมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยออกมาให้ปรากฏ
โดยสรุปแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงพยายามจัดทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ไปในทำนองที่ว่าเจ้าชายจักไม่สามารถทราบหรือแม้แต่เพียงคาดคะเนได้
ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกไปจากการยิ้ม
การหัวเราะและเกลื่อนไปด้วยความเป็นหนุ่มเป็นสาว เต็มไปด้วยความชื่นชม
และเป็นสุขเท่านั้น เพื่อความมุ่งหวังของพระองค์เป็นไปสมบูรณ์ตามนั้น
พระราชารับสั่งให้สร้างกำแพงสูงๆ ล้อมปราสาทและอุทยานของเจ้าชายเอาไว้
และทรงบังคับอย่างเฉียบขาดแก่ผู้เฝ้าประตูทั้งหลาย
ว่าเขาจักต้องไม่ยอมให้เจ้าชายเสด็จออกไปนอกกำแพงนี้ไม่ว่ากรณีใดๆ
โดยวิธีนี้ที่พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงคิดว่า มันจักเป็นที่นอนใจได้
ว่าเจ้าชายจักไม่ได้พบเห็นสิ่งใด
นอกจากสภาพอันน่ารื่นรมย์ของความเป็นหนุ่มเป็นสาวและความสวยความงาม
จักไม่ได้ยินเสียงใดๆ นอกจากเสียงแห่งความบันเทิงเริงรื่นของบทเพลงของการหัวเราะ
และจักทรงพอพระทัยในการที่จะเป็นอยู่ตามที่พระบิดาได้จัดสรรประทานให้
จักไม่ทรงปรารถนาในการออกบวช และทรงเสาะแสวงหาสิ่งอื่นใด
ให้มากไปกว่าการเป็นอยู่อย่างเจ้าชาย
ผู้เป็นพระโอรสหัวแก้วหัวแหวนของพระบิดาเท่านั้น
» วัยกุมาร
» เทวทัต