ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน
พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)
ตอนที่ 17
พระพุทธดำรัส
ในฐานะที่พระพุทธองค์เป็นโอรสแห่งกษัตริย์
ย่อมทรงคุ้นเคยกับมรรยาทอย่างราชสำนักทุกประเภท
พระองค์จึงทรงสามารถทำการโต้ตอบสนทนา ในท่ามกลางที่ประชุมแห่งกษัตริย์หรือมหาราชา
ตลอดจนถึงนักบวชนักศึกษาผู้คงแก่เรียนชั้นสูงได้โดยสะดวก
และยังทรงทำให้อิสรชนเหล่านั้นจากพระองค์ไปด้วยความพอใจ
และมีความรู้อย่างแจ่มแจ้งในธรรมอันลึกซึ้งติดไปด้วย มิใช่แต่เท่านั้น
แม้ในการสมาคมหรือโต้ตอบสนทนากับชนสามัญทั่วไป
พระองค์ก็ยังทรงสามารถทำได้เป็นอย่างดีอย่างเดียวกัน
และเท่ากันกับที่จะสมาคมโต้ตอบกับชนชั้นที่มีความเข้าใจและพอใจในธรรมอันลึกซึ้งนั้น
เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทไปตามชนบทต่างๆ
พระองค์พร้อมที่จะตรัสโต้ตอบและทำความยินดีปรีดาให้แก่คนทุกคนที่ทรงพบ
ไม่ว่าเขาจะเป็นชาวนาชาวสวนหรือเป็นช่างเหล็ก ช่างทำเกวียน
หรือแม้แต่ช่างตัดผมเป็นต้น ถ้าหากว่าเขาพอใจที่จะสนทนาด้วยพระองค์
ตัวอย่างในเรื่องนี้ คือวันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปตามหมู่บ้าน
ซึ่งกำลังประกอบการทำนากันอยู่ทั่วไป ได้ทรงพบชาวนาคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในนา
ได้ทรงหยุดและทรงไต่ถามเกี่ยวกับการทำนาของเขา ตอนหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า
“ท่านจงรู้เถิด เราก็เป็นชาวนาด้วยเหมือนกัน เราได้เตรียมพร้อมทุกๆ อย่าง
ที่จะทำนากระทั่งเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะใช้เป็นพืช”
ชาวนาคนนั้นได้ร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านเป็นชาวนาอะไรกัน !
ถ้าท่านเป็นชาวนาจริง วัวของท่านอยู่ที่ไหน ไถของท่านอยู่ที่ไหน
และอะไรอื่นๆ อีกหลายอย่าง ของท่านอยู่ที่ไหน ”
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบอย่างสงบเสงี่ยมว่า “สิ่งเหล่านั้น
เราได้มีติดตัวมาที่นี่แล้วทั้งหมด ท่านจงฟังให้ดีเถิด
เราจะบอกให้ท่านทราบทุกสิ่งทุกอย่างทีเดียว
เมล็ดพืชของเรา
คือความปรารถนาและความกรุณาในการที่จะช่วยสรรพสัตว์ที่ทำให้เรามีความเชื่ออันมั่นคง
และตั้งใจแน่วแน่เพื่อเป็นพุทธะรวมทั้งสิ้นที่เราได้ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์
น้ำสำหรับหล่อเลี้ยงต้นข้าวของเราให้งดงามนั้น
คือกุศลกรรมอันมหาศาลที่เราได้พากเพียรพยายามกระทำสืบมาจนกระทั่งถึงวันตรัสรู้
ปัญญาเป็นแอกและไถของเรา ใจเป็นเชือกชักสำหรับบังคับวัว ความละอายบาป
อันเป็นเครื่องเกียดกันบาปออกเสียจากจิต เป็นงอนไถอันงามงอนของเรา
ธรรมะซึ่งทำให้เราสามารถขจัดสิ่งชั่วและประกอบสิ่งดี เป็นคันสำหรับจับ
ก็เมื่อท่านไถนาของท่าน ท่านย่อมตัดและกลบหญ้าที่เป็นโทษทุกอย่างเสียฉันใด
ผู้ที่รู้อริยสัจสี่ประการ ก็ย่อมตัดและกลบอกุศลจิตอันชั่วร้ายภายในตัวเขาฉันนั้น
ครั้นถึงเวลาค่ำ เสร็จงานกลางวันแล้ว
ท่านแก้วัวของท่านปล่อยมันไปเที่ยวตามที่มันต้องการ ฉันใด,
ผู้เป็นบัณฑิตก็ยึดมั่นอยู่แต่ในความบริสุทธิ์ ย่อมสละสิ่งอันไม่บริสุทธิ์ให้ออกไป
ฉันนั้น, วัวของท่านต้องแข็งข้อลากไถเพื่อไถพื้นที่นาของท่านให้เหมาะแก่การหว่าน
ฉันใด, ผู้มีปัญญาก็ตั้งหน้าพยายามจนสุดกำลัง
เพื่อชำระสันดานของตนให้สะอาดเหมาะสมแก่การลุงถึงนิพพาน ฉันนั้น,
ชาวนาทำงานหนักเพื่อตบแต่งที่ดินให้เหมาะแก่เมล็ดพืช ฉันใด,
บัณฑิตก็ประกอบความยายามหนัก เพื่อกำจัดโทษแห่งวัฏฏสงสาร ฉันนั้น
แต่คนที่ทำงานในนาข้าว ต้องประสพความไม่พอใจผิดหวังอยู่บ่อยๆ
เพราะผลที่เก็บเกี่ยวได้น้อยเกินไป บางคราวถึงกับโกรธหัวปั่นนอนไม่หลับก็มีอยู่เสมอ
ส่วนผู้ที่ทำนาแห่งปัญญาเพื่อลุถึงนิพพานนั้น ไม่เคยได้รับความไม่พอใจเช่นนั้นเลย
เขาเป็นผู้แน่นอนที่จะต้องได้เก็บเกี่ยวผลงานของเขาเต็มที่ มีความสุขเต็มที่
มีความพอใจเต็มที่ เมื่อได้มองเห็นผลคือนิพพานนั้น พราหมณ์เอย,
โดยลักษณะอย่างนี้แหละ ซึ่งเราก็เป็นชาวนาคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
และนี่แหละเป็นวิธีซึ่งเราได้ทำนาของเรา”
เมื่อพราหมณ์ได้ฟังคำตรัสเช่นนั้นของพระพุทธองค์เขามีความพอใจอย่างสูงสุด
จนถึงกับพยายามทูลวิงวอนให้พระองค์ทรงรับเขาเข้าเป็นชาวนาคนหนึ่งในการทำนาตามแบบของพระองค์
และเขาได้เป็นสาวกของพระองค์สืบไปจนตลอดชีวิต
ได้มีผู้มาทูลถามพระพุทธองค์
ถึงวิธีที่คนทั่วไปอาจลุถึงสภาพที่เป็นความสุขที่สุด และประเสริฐที่สุด
และมีสวัสดีมงคลถึงที่สุด พระพุทธองค์ได้ตรัสข้อแนะนำเหล่านี้แก่เขา
“จงอย่าเข้าเป็นพวกกับคนโง่เขลา จงทำความสนิทสนมกับบัณฑิต
จงแสดงความเคารพนับถือต่อคนที่ควรเคารพนับถือ
จงอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสมแก่อุปนิสัยและความสามารถของตน จงเป็นคนที่เคยทำความดีไว้มาก
จงประกอบกุศลกรรมเพื่อความรุ่งเรืองในอนาคตอยู่อย่างไม่ขาดสาย
จงทำความพอใจในการดูการฟังทุกอย่างที่สามารถจะทำได้เพื่อให้ได้มาซึ่งวิชาความรู้
จงศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่ประกอบด้วยโทษ
จงฝึกฝนให้เป็นคนมีระเบียบวินัยและแบบแผนอันดี
จงพูดแต่คำจริงคำน่ารักและคำมีประโยชน์ จงอุปัฏฐากมารดาแลบิดา
จงเอาใจใส่เลี้ยงดูบุตรภรรยา จงละเว้นความโลเลในการงาน จงบำเพ็ญทาน
จงประพฤติแต่กรรมดี จงช่วยเหลือญาติและมิตรสหาย ในคราวที่ควรช่วยเหลือ
จงเว้นการทำสิ่งที่ต้องเสียใจทีหลัง จงอย่าทำสิ่งซึ่งท่านห้ามไว้โดยกฎแห่งศีลธรรม
จงเว้นจากการดื่มน้ำเมา จงอย่าชักช้าที่จะประกอบกรรมดีในเมื่อโอกาสมาถึง
จงนอบน้อมต่อทุกคน จงอย่าจองหองพองตัว จงพอใจด้วยสิ่งที่มีอยู่
จงรู้บุญคุณที่บุคคลอื่นทำแก่ตน จงฟังธรรมตามโอกาส จงมีความอดกลั้นอดทน
จงทำตนให้เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส จงเยี่ยมเยียนพระอริยเจ้าอยู่เนืองนิตย์
จงซักซ้อมสนทนาธรรมทุกโอกาส จงเป็นอยู่ด้วยความพากเพียร จงประพฤติพรหมจรรย์
จงกำหนดอริยสัจสี่ไว้ในใจ จงมีนิพพานเป็นที่มุ่งหมายของจิตอยู่เสมอ
เมื่อถูกสิ่งต่างๆ รบกวนจงอย่าหวั่นไหว จงอย่าโศกเศร้า จงอย่ากำหนัด และจงปรกติ
ผู้ใดประพฤติได้สมบูรณ์ตามนี้ ความชั่วร้ายจักไม่สามารถครอบงำผู้นั้น
เขาจักมีสวัสดีมงคลอย่างสูงสุด ได้รับความสุขแห่งจิตที่สมบูรณ์อยู่เนืองนิจ”
อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพำนักอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ชาวบ้านในถิ่นนั้น ได้มาเฝ้าพระองค์และทูลถามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค,
พวกเราได้ทราบว่าพระองค์เป็นพระศาสดาผู้ประกาศธรรม
และได้สั่งสอนสิ่งที่ดีเป็นอันมาก ให้แก่สาวกของพระองค์ ซึ่งได้สละบ้านเรือนแล้ว
ติดตามมาอยู่ศึกษากับพระองค์ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน
ส่วนพวกเราทั้งหลายไม่สามารถจะเป็นนักบวช พวกเรายังเป็นชาวบ้าน
แออัดอยู่ด้วยบุตรภรรยา ประกอบการอาชีพด้วยการทำนาและเลี้ยงสัตว์
ได้รับความสุขอยู่ตามประสาชาวบ้าน ยังต้องใช้เงินใช้ทอง
ยังรักการประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับอันมีค่าและดอกไม้ตามโอกาส
ยังลูบทาด้วยของหอมตามเนื้อตัว เพื่อเกิดความพอใจอยู่ตามวิสัยของโลกทั่วไป
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค, ถ้าในคำสั่งสอนของพระองค์ มีอะไรๆ
ที่จะเป็นความดีแก่พวกเราทั้งหลาย เพื่อมีความสุขทั้งในเวลานี้แลเวลาต่อไป
จนกระทั่งสิ้นชีวิตแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงได้โปรดให้พวกเราทั้งหลายได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนส่วนนั้น
เพื่อปฏิบัติตามและได้รับผลอันนั้นด้วยเถิด”
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนท่านทั้งหลาย
มีธรรมะอยู่ 4 อย่าง
ซึ่งบุคคลผู้สั่งสอนเช่นกับเราจะพึงสั่งสอนแก่ท่านทั้งหลายผู้มิใช่นักบวช
เพื่อให้ได้ทราบและปฏิบัติ ท่านทั้งหลายจงฟังและเราจะกล่าวให้ฟัง
ข้อที่หนึ่ง สิ่งใดเป็นอาชีพของพวกท่าน
สิ่งนั้นท่านควรขยันกระทำให้ดีที่สุดอยู่เนืองนิตย์ ให้ท่านมีความสามารถในสิ่งนั้นๆ
จริงๆ ถ้าเป็นชาวนาท่านต้องเป็นชาวนาที่ดีด้วยหมั่นและฉลาด
ทำเนื้อนาของท่านให้เกิดผลถึงที่สุดของมันจริงๆ ถ้าเป็นพ่อค้า
ท่านต้องเป็นพ่อค้าที่มีหูตากว้างขวางและขวนขวายอยู่อย่างขมักเขม้น
ถ้าเป็นคนใช้ก็เป็นคนใช้ผู้น่าเชื่อถือในความสามารถและเป็นที่ไว้วางใจได้ในความซื่อสัตย์สุจริต
ของผู้เป็นนายของตน จงเป็นผู้กระปรี้กระเปร่าและมีกำลังกายอยู่เสมอ
ในการที่จะทำให้เป็นผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยในสิ่งที่ท่านทำ ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใด
ด้วยการกระทำอย่างนี้ ท่านจะมีทรัพย์สมบัติ
แล้วจะสามารถใช้ทรัพย์สมบัตินั้นไปในทางที่ดี
คือการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือนอกไปจากการใช้สอยโดยตนเอง
ถ้าท่านไม่ขยันทำงานให้มีทรัพย์ ท่านจะไม่สามารถประกอบการกุศลและสงเคราะห์ผู้อื่น
เพราะท่านไม่มีอะไรที่จะใช้ในการสงเคราะห์เขานั่นเอง
(คำสอนข้อนี้เรียกชื่อโดยภาษาบาลีว่า อุฏฐานสัมปทา
แปลว่าการถึงพร้อมด้วยความขยันในหน้าที่)
ข้อที่สอง
ท่านจะต้องมีความเอาใจใส่เป็นพิเศษอย่างถูกต้อง
ในการรักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้แล้ว จะไม่ใช้จ่ายให้สิ้นเปลืองไปอย่างโง่เขลา
มันไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเทน้ำใส่ลงไปในตุ่มที่มีรูรั่ว นอกจากความเหนื่อยเปล่า
การมีทรัพย์นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีดอก แต่มันเป็นความจำเป็นทุกกระเบียดนิ้ว
ที่จะต้องจัดต้องทำไม่ให้มันสูญหายไปอย่างโง่เขลาแลเปลืองเปล่าทุกๆ อย่าง
(คำสอนข้อนี้เรียกชื่อโดยภาษาบาลีว่า อารักขสัมปทา แปลว่าการถึงพร้อมด้วยการรักษา)
ข้อที่สาม ฆราวาสจักต้องเลือกเอาแต่บุคคลที่ดีมาเป็นเพื่อน
หรือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ตามปรกติ คนเราคบคนเช่นใด ก็จักเป็นเช่นคนนั้น
ถ้าคบคนดี ก็เป็นโอกาสดีที่จะกลายเป็นคนดีไปด้วย ถ้าคบคนชั่ว
ก็จะกลายเป็นคนชั่วได้โดยง่ายที่สุด ท่านจะสามารถจับของสกปรก
โดยที่ไม่ทำให้มือของท่านสกปรกไปด้วยนั้น ไม่ได้ เหตุนั้น
พวกฆราวาสควรคบหาสมาคมแต่กับคนดี ที่ฉลาด ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
และนิยมต้องนับถือแต่สิ่งที่ดี แล้วเขาก็จะกลายเป็นคนดี คนฉลาด
คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และคนนิยมแต่ในสิ่งที่ดีไปได้โดยง่ายดาย
(คำสอนข้อนี้เรียกชื่อโดยภาษาบาลีว่า กัลยาณมิตตา แปลว่าการคบคนดี)
ข้อที่สี่ ฆราวาสควรดำเนินการครองชีวิตที่เป็นไปในสายกลาง
และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
เขาไม่ควรเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือยเกินไปหรืออย่างแห้งแล้งเกินไป
เขาไม่ควรจะใช้จ่ายหรือให้ทานจนเกินกว่ารายได้ของตนเอง ถ้าเขาทำเช่นนั้น
ทรัพย์สมบัติของเขาจะเหมือนกับน้ำในสระ ซึ่งมีทางไหลออกมากกว่าทางไหลเข้า
ซึ่งไม่ช้าก็จักแห้งขอดไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย
แต่ถ้าผู้นั้นเอาใจใส่ในการใช้สอยทรัพย์สมบัติ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว
ตลอดจนถึงทำบุญให้ทานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่เกินรายได้ของตนแล้ว
สระน้ำกล่าวคือทรัพย์สมบัติของเขาก็จะไม่มีวันแห้งขอดเลย
จักมีน้ำเหลืออยู่คือมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่
สำหรับใช้จ่ายในเมื่อมีกิจรีบด่วนที่จะต้องใช้จ่ายเป็นพิเศษเกิดขึ้น
แต่ข้อนี้มิได้หมายความว่าเขาจะไม่ใช้ทรัพย์นั้น ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
และมิได้หมายความว่าเขาจะต้องสะสมมันไว้อย่างซ่อนเร้น
โดยไม่ใช่จ่ายให้เป็นประโยชน์อะไรเลย
คนที่ทำเช่นนั้นเหมือนกับคนที่มีต้นผลไม้อยู่ในสวนมีผลดกเต็มต้น
แต่แทนที่จะกินผลไม้นั้นเมื่อมันสุกได้ที่แล้ว
เขากลับเก็บผลไม้เหล่านั้นลงหีบแล้วฝังดินเสีย
ผู้ที่ทำเช่นนี้จะต้องประจักษ์ในภายหลัง ว่าผลไม้ของเขาเน่าหมด
ไม่มีส่วนที่เป็นประโยชน์เหลืออยู่เลย เขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากของดีๆ
ที่มีอยู่” (คำสอนข้อนี้ เรียกชื่อโดยภาษาบาลีว่า สมชีวิตา แปลว่า
การดำรงชีวิตที่ถูกต้อง)
พระองค์ได้ตรัสเป็นคำสรุปความในตอนท้ายว่า
“ท่านที่เป็นฆราวาสทั้งหลาย นี่แหละเป็นข้อปฏิบัติ 4 ประการ อันนำมาซึ่งความสำเร็จ
และเป็นอยู่อย่างผาสุกในโลกนี้ในเมื่อท่านปฏิบัติตาม และต่อจากนี้ เราจักบอกธรรมอีก
4 ประการ ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีอย่างยิ่ง ในอนาคต ธรรม 4 ประการนั้น คือ (1)
มีความเชื่อว่า การทำดีจะนำมาซึ่งผลดี และการทำชั่วจะนำมาซึ่งผลชั่ว (2)
ประกอบกรรมดีอยู่เสมอ เว้นขาดจากการทำชั่ว เช่น การฆ่า การลักขโมย
การประพฤติผิดต่อของรักของบุคคลอื่น การพูดไม่จริง และการดื่มน้ำเมา (3)
การฝึกตนให้เป็นคนใจกว้างขวางในการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ถึงกับมีจิตใจผ่องใสไม่ยึดถือในทรัพย์สมบัติชนิดโลกๆ อย่างเหนียวแน่นเกินไป (4)
การบำเพ็ญให้เกิดปัญญาในการที่จะรู้และปฏิบัติไปตามทางอันนำให้ถึงนิพพาน”
(คำสอนทั้ง 4 ข้อนี้ เรียกชื่อตามลำดับว่าศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา)
ทั้งหมดนี้ คือคำเทศนา ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พวกชาวบ้าน ซึ่งยังเป็นฆราวาส
ไม่สามารถจะบวชเป็นนักบวช แต่การจะปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความดี
ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทุกคนมีความพอใจอย่างสูงสุด
ในคำสั่งสอนอันชัดเจนแจ่มแจ้งของพระองค์ ซึ่งได้ตรัสแก่เขาในครั้งนั้น
ในบรรดาเทศนาที่ยาวที่สุด ซึ่งพระพุทธองค์ได้เคยทรงแสดงนั้น
มีธรรมเทศนาเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้ตรัสแก่พระเจ้าอชาตสัตรู แห่งแคว้นมคธ
หาได้มีแต่ที่ตรัสแก่คนธรรมดาหรือแก่ภิกษุของพระองค์เท่านั้นไม่ พระเจ้าอชาตสัตรู
ผู้นี้เป็นคนชั่ว คือเป็นผู้ร้ายฆ่าคน รับสั่งให้ทรมานพระเจ้าพิมพิสาร
พระราชบิดาของพระองค์เองด้วยการให้อดอาหาร จนสิ้นพระชนม์อย่างโหดร้าย
และไม่เป็นธรรม แล้วขึ้นครองราชย์บัลลังก์ด้วยพระองค์เอง
เรื่องมีว่า
ในคืนวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญ พระเจ้าอชาตสัตรูได้ประทับนั่งอยู่ที่เฉลียง
ไม่ทรงทราบว่าจะหาความสำราญอย่างไรดี จึงตัดสินพระทัยเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์
ซึ่งกำลังประทับอยู่ในสวนมะม่วง ซึ่งหมอชีวกได้ถวายเป็นสังฆาราม
เมื่อพระเจ้าอชาตสัตรูเสด็จไปถึงที่ที่พระพุทธองค์ประทับก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่อย่างสงบ
ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลายในโรงอันเป็นที่ประชุม
ได้ทรงทำความคุ้นเคยด้วยการทักทายปราศรัยกับพระพุทธองค์พอสมควรแล้ว
ได้ทูลถามพระองค์ถึงประโยชน์หรืออานิสงส์ของการบวชเป็นภิกษุ
พระเจ้าอชาตสัตรูได้ทูลถามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า,
ผู้ที่ครองชีวิตอย่างสมณะนั้น ย่อมได้รับคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง
หม่อมฉันได้ไต่ถามนักบวชเจ้าลัทธิต่างๆ เป็นอันมาก ด้วยปัญหาข้อนี้
แต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่พอใจจากผู้ใดเลย เขาเหล่านั้นได้ตอบไปเสียในทางอื่น
ซึ่งหม่อมฉันมิได้ไต่ถาม ทำนองเดียวกับเมื่อถามเรื่องขนุนสำมะลอ
กลับไปตอบเรื่องมะม่วง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า, หม่อมฉันจักมีความพอใจอย่างสูงสุด
ถ้าหากได้ฟังคำตอบแห่งปัญหาข้อนี้จากพระผู้มีพระภาคเจ้า”
เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัส
เป็นเครื่องทำความสนิทสนมต่อพระเจ้าอชาตสัตรูพอสมควรแล้ว
ก็ได้ตรัสถึงคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงของการครองชีวิตเป็นสมณะอย่างยืดยาว
พระองค์ได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้ง
จนกระทั่งเมื่อจบลงนั้นพระเจ้าอชาตสัตรูได้รู้สึกพอพระทัยในคำตอบนั้นเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นคำตอบที่ถูกแท้
และมีความเชื่อว่า เป็นการดีที่สุดเหนือความดีทั้งปวงในโลกนี้
ในการที่ได้บวชเป็นภิกษุที่ดี และปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาที่ดี เช่นพระพุทธองค์
และยังได้ทรงทูลขอร้องให้พระพุทธองค์ทรงยอมรับพระองค์ เป็นสาวกจนตลอดชีวิตด้วย
เมื่อพระเจ้าอชาตสัตรูเสด็จกลับแล้ว
พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย, พระราชานี้
มีจิตใจเลื่อมใสในข้อความที่เรากล่าวเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าพระราชานี้ไม่ได้ทำกรรมชั่วร้าย คือการทำบิดาของตนให้สิ้นพระชนม์แล้ว
พระราชานี้ก็จักเห็นธรรมะอันเรากล่าวอย่างแจ่มแจ้งด้วยดวงตาสำหรับเห็นธรรม ณ
ที่นั่งตรงนี้เอง และจักสละราชบัลลังก์ออกบวชเป็นภิกษุและเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ในธรรมวินัยนี้”
สูตรที่ยาวที่สุดซึ่งพระองค์ได้ตรัสนี้
มีพิสดารอยู่ในคัมภีร์ทีฆนิกายแห่งสุตตันตปิฎก เรียกว่า สามัญญผลสูตร
แสดงถึงคุณประโยชน์แห่งการครองชีวิตเป็นนักบวชไว้อย่างพิสดารที่สุด
ผู้ปรารถนาจะทราบโดยละเอียดอาจอ่านดูได้จากสูตรนั้น
ตัวอย่างแห่งธรรมเทศนาที่สั้นที่สุด ที่พระองค์ได้เคยตรัสนั้น เช่น
ธรรมเทศนาเรื่องนี้ ครั้งหนึ่ง มีคนๆ หนึ่งได้ทูลถามพระองค์ว่า
การให้อะไรเป็นการให้ที่ดีที่สุด รสของอะไรเป็นรสที่ดีที่สุด
ความยินดีในอะไรเป็นความยินดีที่ดีที่สุด
อะไรเป็นเครื่องระงับกิเลสและความทุกข์ให้สิ้นเชิง
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบคำถามทั้งสี่ข้อนี้รวมกันด้วยคำๆ เดียวว่า “ธรรม !”
ผู้ถามได้ทูลขอให้พระองค์ทรงอธิบายให้กระจ่างขึ้นอีกเล็กน้อย
พระองค์ได้ตรัสอธิบายว่า “การให้สิ่งของแม้จะเป็นการกระทำที่ดีก็จริง
แต่ไม่สามารถทำคนผู้ได้รับให้เดินไปตามทางแห่งนิพพานได้
ธรรมะเท่านั้นที่จะทำคนให้เดินไปตามทางแห่งนิพพานได้
เพราะฉะนั้นการทำคนให้รู้ธรรมะซึ่งผู้ทำอาจจะได้รับความลำบากบ้าง นั่นแหละ
เรียกว่าการให้ธรรมในที่นี้และเป็นการให้ที่ดีที่สุดกว่าการให้ทั้งหลาย
“เมื่อได้รู้ธรรม เมื่อนั้นจิตใจก็เต็มไปด้วยความสดชื่นแจ่มใส
เกิดความรู้สึกพอใจในรสอันสูงสุดของธรรมนั้น ธรรมนั้นได้ทำลายกิเลสร้ายต่างๆ
ซึ่งทำคนให้เป็นทุกข์นั้นให้หมดไป แล้วทำให้ประสพความไม่มีทุกข์เลย ซึ่งเรียกว่า
นิพพานในที่สุด เพราะฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นสิ่งที่มีรสดีเลิศกว่ารสทั้งหลาย
และนำมาซึ่งความยินดีที่ยิ่งกว่าความยินดีทั้งหลาย และเป็นสิ่งที่เลิศที่สุดในโลก
ที่สามารถทำกิเลสให้สูญสิ้นไป พวกท่านจงประกาศธรรมะนั้นแก่คนทั้งหลายเถิด
จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำการให้ที่ดีที่สุด
ดีกว่าการให้ทั้งหลายแก่ผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์ และผู้ที่อยู่ในสวรรค์”
» วัยกุมาร
» เทวทัต