ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน
พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)
ตอนที่ 16
ปาฏิหาริย์
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปตามชนบทต่างๆ พร้อมกับภิกษุสงฆ์นั้น
ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไป ได้มีประชาชนพากันจับกลุ่มเพื่อดูพระองค์
และฟังพระองค์ตรัสและแสดงธรรม
มีคนจำนวนมากเลื่อมใสในพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์
จนถึงกับยอมเป็นสาวกของพระองค์ แต่พร้อมกันนั้นก็ยังมีศาสดาสอนศาสนาคนอื่นๆ
ซึ่งได้สั่งสอนประชาชนให้เลื่อมใสอยู่ด้วยวิธีการต่างๆ กันอีกมิใช่น้อย
และยังมีเจ้าลัทธิบางคนในจำนวนเจ้าลัทธิเหล่านั้น
ได้แสดงสิ่งซึ่งประหลาดผิดธรรมดา อันเรียกว่า ปาฏิหาริย์
บางสิ่งบางอย่างในบางครั้ง ได้ทำให้มหาชนแตกตื่นกันไปดู
และมีเป็นอันมากที่ได้เลื่อมใส และออกปากสรรเสริญการกระทำเช่นนั้น
ได้อยู่เฝ้าคอยฟังคำสั่งสอนของเจ้าลัทธิเหล่านั้น
จนกระทั่งกลายเป็นสาวกของเจ้าลัทธินั้นๆ ก็มีอยู่เป็นส่วนมาก
ภิกษุทั้งหลายได้สังเกตเห็นเหตุการณ์ดั่งนั้น
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทูลขอร้องให้พระองค์ทรงกระทำสิ่งประหลาดมหัศจรรย์
หรือที่เรียกกันว่าปาฏิหาริย์นั้น ให้ปรากฏแก่ประชาชนบ้าง
เพื่อประชาชนจักได้เลื่อมใสพอใจและเข้ามาเป็นสาวก
โดยทำนองเดียวกับที่เจ้าลัทธิเหล่าโน้นได้กระทำกันอยู่
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบภิกษุ ซึ่งได้มาทูลขอเช่นนั้นว่า
พระองค์ทรงรู้สึกละอายในการที่จะล่อประชาชนให้มีความเชื่อถือ
ด้วยการกระทำที่แปลกประหลาดหรือปาฏิหาริย์ทำนองนั้น
แต่พระองค์ทรงสามารถทำให้คนเกิดความประหลาดถึงขนาดรู้สึกมหัศจรรย์ในปาฏิหาริย์ที่แท้จริงอย่างอื่น
พระองค์ได้ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
ตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมกระทำปาฏิหาริย์ แต่อย่างเดียวนี้เท่านั้นคือ
เมื่อพระตถาคตทั้งหลายเห็นมนุษย์ประกอบไปด้วยกามกิเลสและตัณหา
ก็ทรงเปลื้องประชาชนเหล่านั้นออกเสียจากกามกิเลสและตัณหา
เมื่อทรงเห็นว่ามหาชนทั้งหลาย ตกเป็นทาสของโทสะและการผูกเวร
ก็ทรงเปลื้องประชาชนเหล่านั้นเสียจากการตกเป็นทาสของโทสะและการผูกเวร
เมื่อทรงทราบว่าประชาชนบอดเพราะความเขลาและอวิชชา ก็ทรงเปิดตาของคนเหล่านั้น
ช่วยให้เขาพ้นจากความเขลาและอวิชชา
ซึ่งเป็นความบอดมืดยิ่งเสียกว่าความมืดแห่งราตรี ภิกษุทั้งหลาย !
ปาฏิหาริย์อย่างเดียวดังกล่าวนี้เท่านั้น ที่พระตถาคตทั้งหลายพากันกระทำ
ส่วนปาฏิหาริย์อย่างอื่นๆ นั้น ท่านเกลียดชังและประณาม
ไม่ยอมกระทำปาฏิหาริย์เหล่านั้น
ครั้งหนึ่งมีคนบางคนได้มากราบทูลพระพุทธองค์ว่า ท่านพระปิณโฑละภารทวาชะ
มีท่านพระโมคคัลลานะไปเป็นเพื่อนได้กระทำปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจฤทธิ์ซึ่งท่านมีมากกว่าพระอรหันต์องค์อื่นๆ
โดยเหาะขึ้นไปในที่สูงปลดเอาบาตรใบหนึ่ง ซึ่งมีผู้ให้นำขึ้นไปติดไว้
เพื่อเป็นการทดลองฤทธิ์ของบุคคลผู้มีฤทธิ์ ลงมาได้ พระองค์ไม่ทรงเห็นดีด้วย
ในการกระทำเช่นนั้นของพระปิณโฑละภารทวาชะเป็นอันมาก
ได้รับสั่งให้ไปตามพระปิณโฑละภารทวาชะ มาพร้อมทั้งบาตรในนั้นด้วย
เมื่อท่านพระปิณโฑละภารทวาชะนำบาตรใบนั้นมาถึงแล้ว
พระองค์รับสั่งให้ทำลายบาตรใบนั้นเสีย
ต่อหน้าพระปิณโฑละภารทวาชะและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย จนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
และรับสั่งห้ามมิให้กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป พร้อมทั้งทรงบัญญัติว่า
ภิกษุทั้งหลายต้องไม่ทำการล่อลวงคนเขลาทั่วๆ ไปให้นับถือบูชา
ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์ชนิดนั้น ถ้าขืนทำเพื่อให้เขาเลื่อมใสเช่นนั้น
จักต้องไม่อยู่ร่วมกับพระองค์หรือภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกต่อไป
ข้อบังคับอันนี้ได้มีอยู่สืบมาเป็นวินัยข้อสำคัญข้อหนึ่งของภิกษุในพระพุทธศาสนา
ห้ามมิให้ภิกษุใดแสดงปาฏิหาริย์ เพื่อให้คนเลื่อมใส
เพื่อลาภสักการะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเด็ดขาด
พระพุทธองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะกระทำให้คนทั้งหลายหลงใหลเลื่อมใสในพระองค์
เพราะการกระทำปาฏิหาริย์ ชนิดซึ่งเป็นที่หลงใหลของคนสามัญทั่วไป
แต่ถึงกระนั้นประชาชนได้พากันรู้สึกและเห็นชัดแจ้งขึ้นว่าพระองค์เป็นศาสดาที่แท้จริง
และได้พากันแสดงความเคารพนับถือพระองค์ยิ่งขึ้น
และได้พากันบำรุงด้วยสมณบริขารอย่างมากมายทั่วไป ทุกหนทุกแห่ง
ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม สาวกของเจ้าลัทธิอื่นๆ เกิดความไม่พอใจที่ได้เห็นเช่นนั้น
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ และภิกษุได้เสด็จมาถึงนครโกสัมพี
ซึ่งมีเจ้าลัทธิผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งอาศัยอยู่ พร้อมด้วยสาวกจำนวนมาก
คนเหล่านี้ได้พากันด่าทอพระภิกษุสงฆ์
และบุคคลที่เลื่อมใสในพระพุทธองค์ด้วยถ้อยคำหยาบคายชั่วร้ายต่างๆ นานา
พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์และกราบทูลให้ทรงทราบถึงการที่คนเหล่านั้น
ได้พากันคอยด่าทอภิกษุสงฆ์ด้วยถ้อยคำหยาบคายร้ายกาจไปเสียทุกหนทุกแห่ง
และโดยเฉพาะเมื่อเวลาออกบิณฑบาต
และได้กราบทูลพระพุทธองค์ในนามของภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
ขอให้ทรงพาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เดินทางออกไปเสียจากนครโกสัมพี
เพื่อภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจักได้ไม่ถูกด่าทอในเวลาบิณฑบาตทุกๆ วันเช่นนั้นอีก
พระพุทธองค์ได้ทรงนิ่งฟังท่านพระอานนท์กล่าวจนตลอด
และในที่สุดได้ทรงโต้ตอบกับพระอานนท์ ดังต่อไปนี้
อานนท์,
ถ้าหากว่าเราไปสู่ที่อื่นแล้ว ถูกคนในที่นั้นกระทำทารุณด่าทอต่อเราเข้าอีก
จะทำอย่างไรเล่า
ถ้าเป็นอย่างนั้น
พวกเราก็ควรจักไปสู่ที่อื่นต่อไปอีก
ถ้าในที่แห่งใหม่นี้
เราก็ยังถูกด่าทอสบประมาทอยู่นั่นเองเล่า เราจะทำอย่างไรต่อไป
เราก็จะไปสู่ที่อื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ได้ทรงนิ่งอยู่ขณะหนึ่งแล้ว
ได้ทรงเหลียวมองดูพระอานนท์ด้วยสายพระเนตรที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง และได้ตรัสว่า
ดูก่อนอานนท์, อดทนให้เหมาะๆ เสียสักหน่อยเท่านั้น
ก็จะตัดความยุ่งยากลำบากทั้งหมด
ในการที่ต้องเที่ยวโยกย้ายไปมาเสียได้โดยสิ้นเชิง
มันไม่เป็นที่แน่นอนว่าเราจะหาพบที่แห่งใหม่ ซึ่งไม่มีใครด่าทอในโอกาสข้างหน้า
แต่มันเป็นที่แน่นอนว่าเราจะหาพบที่เช่นนั้นได้ในที่ตรงนี้เอง
ถ้าหากว่าเราเพียงแต่ประพฤติตนอดกลั้นอดทนกันเสียบ้าง โดยการอดกลั้นอดทนนี่เอง
ที่นักปราชญ์ทั้งหลายพากันเอาชนะศัตรูได้โดยสิ้นเชิง
อานนท์เอ๋ย,
จงดูช้างซึ่งบุคคลพาเข้าไปสู่สนามรบ
มันพุ่งตัวเข้าไปในท่ามกลางการต่อสู้อันชุลมุนวุ่นวาย
มันไม่เอาใจใส่ต่อลูกศรหรือแหลนหลาว ซึ่งบุคคลพุ่งซัดเข้ามาโดยรอบตัวมัน
มันตั้งหน้ากระโจนเข้าใส่ข้าศึกทำลายสิ่งต่างๆ
ซึ่งเข้ามาเผชิญหน้ามันให้ราบเรียบไปหมด อานนท์เอ๋ย, ฉันจักเอาอย่างช้างตัวนั้น
ฉันจักอยู่ที่นี่ในเมืองนี้
และจะพยายามเผยแผ่คำสอนที่ถูกต้องด้วยกำลังกายกำลังใจทั้งหมดและจะทำโดยไม่หยุดยั้ง
ในการที่จะปลดเปลื้องคนชั่วช้าเหล่านั้นออกมาเสียจากข่ายแห่งกิเลส
ซึ่งเขากำลังพากันติดแน่นอยู่
ฉันจะไม่เอาใจใส่แม้แต่หน่อยเดียวในคำกล่าวร้ายของฝ่ายปฏิปักษ์ซึ่งแกล้งกล่าวแก่ฉันและแก่สาวกของฉัน
มันเหมือนกับคนที่ถ่มน้ำลายจะขึ้นไปบนฟ้า โดยคิดจะให้ฟ้าเปื้อน
เขาจะได้พบความจริงว่าน้ำลายจะขึ้นไปเปื้อนฟ้าไม่ได้
แต่จะกลับตกลงมารดหน้าของผู้ถ่มนั้นเองต่อภายหลังนี้ฉันใด พวกคนที่น่าสมเพช
ซึ่งแกล้งด่าทอเรา ก็จักได้ประสพในภายหลังว่า คำด่าทอนั้นจักกลับไปสู่พวกเขา
เพราะเราไม่เอาใจใส่ต่อคำด่าทอเช่นนั้น
พระพุทธองค์ไม่ทรงกระทำตามคำขอร้องของท่านพระอานนท์ และภิกษุทั้งหลาย
ยังคงประทับอยู่ ณ เมืองโกสัมพี และผลแห่งการอดกลั้นอดทนของพระองค์
ก็ได้ปรากฏออกมาอย่างแท้จริง ในเวลาอันไม่นานเลย
เมื่อประชาชนชาวนครโกสัมพีทั้งหลายได้พากันเห็นว่า
พระองค์และภิกษุสงฆ์มีความอดทนอย่างน่าสรรเสริญต่อถ้อยคำของสาวกแห่งเจ้าลัทธิอื่นๆ
โดยไม่ปริปากกล่าวร้ายตอบ แม้แต่คำเดียวเช่นนั้น
ก็พากันเกลียดชังนักบวชและสาวกของเจ้าลัทธิอื่นเป็นอันมาก
ที่ทำการกล่าวร้ายต่อบุคคลผู้ไม่เคยกล่าวร้ายแก่ใครๆ
คนหนุ่มตระกูลสูงแห่งนครโกสัมพีเป็นอันมากพากันนิยมชมชื่น
ในการกระทำของพระพุทธองค์ และของภิกษุทั้งหลายที่ได้กระทำเช่นนั้น
ได้พากันรับนับถือของพระพุทธองค์ถึงกับออกบวชเป็นภิกษุก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างไรก็ตาม นักบวชชาวโกสัมพีเหล่านี้
แม้บวชเป็นภิกษุแล้วบางพวกก็ยังไม่อาจละทิ้งนิสัยการทะเลาะเบาะแว้ง
ชั่วเวลาไม่นาน ได้มีการทะเลาวิวาทกันเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
เกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติว่าใครจะปฏิบัติถูกกว่าหรือดีกว่า
ในเรื่องกระจุกกระจิกหยุมๆ หยิมๆ พวกหนึ่งถืออย่างหนึ่ง
อีกพวกหนึ่งถืออีกอย่างหนึ่ง ไม่ตกลงกันจนวิวาทกัน
แม้พระพุทธองค์จะได้ทรงขอร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ระงับการวิวาทเหล่านั้นเสีย
เพื่ออยู่กันด้วยความสงบโดยไม่ต้องวินิจฉัยให้แตกหักว่า
ใครเป็นฝ่ายผิดและใครเป็นฝ่ายถูก ก็ยังพากันดื้อดึงวิวาทกันเรื่อยไปไม่ยอมหยุด
ภิกษุเหล่านี้ไม่เอาใจใส่ในข้อที่พระองค์ได้ตรัสบอกให้ทราบว่า
การทะเลาวิวาทมาดร้ายกันนั้น
เป็นความผิดความเลวยิ่งไปกว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันเพียงเล็กๆ น้อยๆ
อันเป็นมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทกันนั้นเสียอีก
เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าภิกษุเหล่านั้นไม่เชื่อฟังพระองค์
จนไม่ยอมรับคำแนะนำ พระองค์ก็ได้เสด็จไปเสียจากนครโกสัมพี
ทิ้งภิกษุเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง
เมื่อประชาชนชาวเมืองโกสัมพีได้ทราบว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแต่พระองค์เดียว
และภิกษุเหล่านั้นประพฤติตนเป็นคนขี้ทะเลาะเบาะแว้งเหมือนชาวบ้าน
ไม่แตกต่างกับชาวบ้าน ก็ได้พากันงดการถวายอาหารบิณฑบาตและการบำรุงอื่นๆ
โดยสิ้นเชิง การทำอย่างนี้ได้ทำให้ภิกษุเหล่านั้นสำนึกตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
ภิกษุเหล่านั้นจึงได้หยุดการวิวาท ทำความปรองดองซึ่งกันและกัน
เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของพระองค์อย่างเคร่งครัด
จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงยินยอมให้ภิกษุเหล่านั้นอยู่ร่วม
และร่วมการเดินทางกับพระองค์สืบไป
» วัยกุมาร
» เทวทัต