ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน
พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)
ตอนที่ 13
เสด็จกบิลพัสดุ์
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเป็นพระพุทธบิดา ได้ทรงทราบข่าวว่า
บัดนี้พระโอรสของพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
และกำลังประทับอยู่ที่นครราชคฤห์ จึงได้ทรงส่งผู้เดินข่าวไปกราบทูล
เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงทราบว่า บัดนี้พระพุทธบิดาทรงชรามากแล้ว
และได้ทรงขอร้องให้พระองค์เสด็จไปเพื่อจะได้มีโอกาสเห็นพระองค์สักครั้งหนึ่ง
ก่อนแต่จะสิ้นพระชนม์
แต่บังเอิญคนเดินข่าวซึ่งพระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งไปนั้นได้ไปถึงนครราชคฤห์ในขณะที่พระพุทธองค์กำลังทรงแสดงธรรมแก่ประชาชนอยู่
เขาจึงได้นั่งฟังธรรมไปจนจบโดยยังไม่ได้ทูลแจ้งข่าวที่ตนรับเอามา
แต่พระธรรมที่พระพุทธองค์แสดงนั้น ปรากฏแก่เขาว่า มีความไพเราะ
และมีความจริงแท้อย่างน่าอัศจรรย์ จนเมื่อการแสดงธรรมจบลงแล้ว
เขามีความพอใจและปลาบปลื้มในธรรมนั้น
จนลืมเรื่องราวที่เขารับรับสั่งมากระทั่งถึงลืมว่าตนเองเป็นคนเดินข่าว
ดังนั้นแทนที่จะทูลแจ้งข่าว
เขาก็ได้ขอบวชเป็นภิกษุและอยู่อาศัยฟังธรรมของพระองค์สืบไป
พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงคอยอยู่เป็นเวลานาน
มิได้เห็นคนเดินข่าวของพระองค์กลับมา จึงได้ทรงส่งผู้เดินข่าวพวกอื่นอีก
ให้ไปทูลแจ้งข่าวแก่พระพุทธองค์
และเพื่อติดตามข่าวอันเกี่ยวกับคนเดินข่าวชุดแรกด้วย
แต่คนเดินข่าวพวกที่สองนี้ก็อย่างเดียวกัน ได้ไปถึงในตอนเย็น
ในขณะที่ได้มีการแสดงพระธรรมเทศนา เขาได้ฟังได้พอใจ จนลืมการส่งข่าว
และได้บวชเป็นภิกษุเสียโดยทำนองเดียวกันอีก
พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงส่งไปใหม่เป็นครั้งที่สามที่สี่จนถึงครั้งที่เก้า
เหตุการณ์ก็เป็นไปโดยทำนองเดียวกันทั้งสิ้น คือคนเหล่านั้นได้หลงใหลในพระธรรมเทศนา
จนลืมตัวเอง ลืมการแจ้งข่าว และได้บวชเป็นภิกษุเพื่ออยู่ฟังพระธรรมเทศนาต่อไป
ด้วยความกระหาย
พระเจ้าสุทโธทนะทรงประหลาดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ในการที่คนเดินข่าวมิได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว
และเมื่อทรงหมดความสามารถในการที่จะได้รับข่าวแต่อย่างใดแล้ว
จึงได้ทรงขอร้องต่อพระนางยโสธรา ซึ่งเป็นพระสุนิสา (ลูกสะใภ้) ของพระองค์
ให้ทรงส่งข่าวเป็นของพระนางเอง ไปดูบ้าง ผลก็เป็นอย่างเดียวกัน ส่งไปกี่คนๆ
ก็มิได้รับข่าวอย่างใดกลับมา จนกระทั่งพระนางยโสธรา
ก็ทรงหมดความสามารถเช่นเดียวกันอีก
พระเจ้าสุทโธทนะทรงระลึกขึ้นได้ว่า
มีคนหนุ่มในราชสำนักอยู่คนหนึ่งชื่อว่า อุทายิ
เคยเป็นเพื่อนเล่นคนโปรดของเจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กอยู่ด้วยกัน
พระองค์ทรงดำริว่า
ถ้าหากส่งอุทายินี้ไปแล้วบางทีจะทำให้พระพุทธองค์เสด็จมาสู่นครกบิลพัสดุ์ได้
ดังนั้น
พระองค์จึงทรงส่งอุทายิไปทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์เสด็จมาสู่นครกบิลพัสดุ์
เพื่อเป็นโอกาสให้ทุกๆ คนในที่นั้น ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์สักครั้งหนึ่ง
โดยที่คนเหล่านั้น ก็คือพระบิดาของพระองค์ พระชายาของพระองค์ พระโอรสของพระองค์
และประชาชนพลเมืองซึ่งจะต้องเป็นของพระองค์
ถ้าหากว่ามิได้ทรงสละราชสมบัติออกไปผนวชเสีย นั่นเอง
เมื่ออุทายิได้มาถึงนครราชคฤห์แล้ว
เขาก็ได้ทราบถึงสาเหตุที่ว่าทำไมคนเดินข่าวเหล่านั้นจึงไม่กลับไปสู่นครกบิลพัสดุ์เลยสักคนเดียว
ในขณะที่เขาเข้าไป พอสักว่าได้ยินเสียงที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาเท่านั้น
เขาได้พยายามที่จะไม่ฟังพระธรรมเทศนานั้นต่อไปอีก โดยที่กลัวว่า
เขาจะต้องกลายเป็นอย่างเดียวกับนักเดินข่าวคนก่อนๆ เมื่อจบการแสดงพระธรรมเทศนา
เขาได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ถวายความเคารพอย่างสูงสุดแล้วได้กราบทูลพระองค์ว่า
พระบิดาและพระชายา พระโอรส พร้อมทั้งชาวกบิลพัสดุ์ทั้งปวง
มีความกระหายถึงกับมีความร้อนใจในการที่จะได้เห็นพระองค์และหวังในความกรุณาของพระองค์ว่า
จะโปรดเสด็จไปเยี่ยมเขาโดยด่วน
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบด้วยความเมตตาเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์ไม่ปฏิเสธในความประสงค์ของคนเหล่านั้น
และจะเสด็จไปสู่นครกบิลพัสดุ์เพื่อเยี่ยมเยียนเขาโดยเร็ว ดังนั้นอุทายิ
จึงได้รีบกลับไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะให้ทรงทราบว่า พระสิทธัตถะในกาลก่อนนั้น
บัดนี้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวโลกแล้ว
จักเสด็จมาสู่นครกบิลพัสดุ์เพื่อกระทำหน้าที่ที่บุตรจักต้องทำตอบแทนแก่บิดา
ในไม่ช้าทุกคนในนครกบิลพัสดุ์ นับตั้งแต่พระราชาลงไป
มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าพระราชกุมาร ซึ่งได้ละทิ้งพวกเขาเป็นเวลา 6
ปีมาแล้ว ไปบวชเป็นนักบวช อาศัยอาหารของผู้อื่นเลี้ยงชีวิต
เพื่อการบรรลุธรรมอันสูงสุดนั้น บัดนี้ได้ประสพความสำเร็จตามความประสงค์
ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของคนทั้งหลาย
ไม่เพียงแต่ของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นศาสดาของเทวดาทั้งหลายด้วย
ทั้งจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนพวกเขาและบอกธรรมะที่ได้ตรัสรู้นั้นให้แก่เขา
ประชาชนเหล่านั้นได้พากันทำความสะอาดถนนหนทางทุกแห่ง ในนครกบิลพัสดุ์
และประดับประดาบ้านเรือนด้วยดอกไม้ ด้วยธง ด้วยแถบผ้าสีต่างๆ กัน
เตรียมรับพระราชกุมารของตนๆ ในฐานะที่เป็นทั้งพระโอรสแห่งพระราชาของตน
และเป็นทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จถึงนครกบิลพัสดุ์ในเวลาเย็นวันหนึ่ง
ได้ประทับอยู่ในอุทยานนอกนครตามธรรมเนียมของนักบวชทั้งหลาย ในวันรุ่งเช้า
ได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตตามถนนต่างๆ ภายในเมือง
ตามที่พระองค์เคยทรงกระทำเป็นปรกติ ผู้ที่ได้เห็นพระองค์เสด็จดำเนินบิณฑบาตแล้ว
บางคนได้เข้าไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะให้ทรงทราบ
พระเจ้าสุทโธทนะทรงสลดพระทัยพร้อมทั้งทรงพิโรธ ในการที่ได้ทรงสดับข่าวเช่นนั้น
พระองค์รับสั่งให้รีบขับรถพาพระองค์ตรงไปยังถนนซึ่งมีผู้แจ้งข่าวว่าพระพุทธองค์
กำลังทรงเที่ยวขออาหารอยู่อย่างคนขอทาน
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะได้เสด็จมาถึงถนนสายนั้น
ก็ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์กำลังทรงดำเนินอยู่บนท้องถนน
มีบาตรอยู่ในพระหัตถ์ อันเต็มไปด้วยอาหาร
กำลังบ่ายพระพักตร์มาตามทางที่ตรงไปสู่พระราชวัง
มีประชาชนห้อมล้อมถวายความเคารพอยู่โดยรอบ
แต่ความน้อยพระทัยและความพิโรธของพระเจ้าสุทโธทนะในข้อที่พระโอรสของพระองค์ทรงกระทำภิกขาจารในถิ่นแคว้นที่อะไรๆ
ก็เป็นของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะถือเอาได้ โดยไม่ต้องมีการอนุญาตเช่นนี้
ยังคงกลัดกลุ้มอยู่ในพระหฤทัยของพระองค์อย่างใหญ่หลวง
พระองค์ได้เสด็จตรงไปยังพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสตัดพ้อด้วยพระสำเนียงอันแสดงความขัดแค้นเขือเจือด้วยความน้อยพระทัย
ลูกเอ๋ย นี่หรือที่เป็นข่าวดีที่พ่อได้รับ
เพื่อทำอย่างนี้เท่านั้นแหละหรือ ที่ลูกทิ้งบ้านเมืองของพ่อไป
แล้วเพื่อกลับมาเป็นคนขอทาน เลี้ยงชีวิตวันหนึ่งๆ
อย่างคนขอทานทั่วไปในประเทศของพ่อ ลูก, เป็นลูกของพระราชา
เป็นรัชทายาทของราชบัลลังก์แน่แล้วหรือ โอ ! ลูกเอ๋ย,
ในวันนี้ลูกได้ทำความเสื่อมเสียแก่พ่อ และแก่ราชวงศ์ของเจ้า อย่างที่สุดแล้ว
เคยมีครั้งไหนบ้าง ที่วงศ์ตระกูลของเจ้าเคยทำอย่างนี้ เคยมีครั้งไหนบ้าง
ที่พวกเราเคยเที่ยวขออาหารอย่างคนขอทานเช่นนี้
พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบแก่พระบิดา ซึ่งทรงกริ้ว
เพราะความเข้าพระทัยผิดอย่างเรียบๆ ว่า ดูก่อนมหาราช,
นี่แลเป็นการกระทำที่วงศ์ตระกูลของอาตมาได้เคยปฏิบัติกันมาแล้วอย่างแท้จริง
พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงตวาดขึ้นว่า เท่าที่มนุษย์เขาจำกันได้นั้น
วงศ์ตระกูลของเจ้าเป็นเจ้าแผ่นดินกันทุกคน
ไม่มีใครสักคนเดียวเคยทำสิ่งที่น่าอดสูง เช่นนี้
พระองค์ได้ตรัสตอบอย่างเรียบๆ สืบไปว่า ดูก่อนมหาราช,
ข้อนั้นก็เป็นความจริงเหมือนกัน
แต่ในที่นี้อาตมาไม่ได้หมายถึงการสืบตระกูลอย่างชาวโลกเช่นนี้ บัดนี้
อาตมาเป็นผู้ถูกนับเนื่องเข้าในตระกูลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่ล่วงมาแล้ว อาตมาหมายถึงพระพุทธเจ้าเหล่านั้นเอง
เมื่อกล่าวว่าอาตมาได้ทำตรงตามที่วงศ์ตระกูลของอาตมาได้เคยทำมาแล้ว
พระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน ได้ทรงกระทำดั่งนี้มาด้วยกันทั้งนั้น
และการทำอย่างนี้เท่านั้น ที่ถูกต้องและเหมาะสมแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อาตมาจึงได้กระทำอย่างเดียวกัน
เมื่อพระพุทธองค์ทรงดำเนินไปตามท้องถนนพร้อมกับพระพุทธบิดาตรงไปยังพระราชวังนั้น
พระองค์ได้ตรัสแก่พระบิดาว่า
พระองค์มิได้เสด็จกลับมาสู่บ้านเกิดของพระองค์อย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัวที่กลับมามือเปล่า
พระองค์ได้ตรัสยืนยันว่า
พระองค์ได้นำเพชรพลอยอันมีค่าสูงเกินกว่าที่จะตีค่าได้ติดตัวมาด้วยเป็นอันมาก
เป็นเพชรพลอยที่มีค่าสูงสุดในโลก
เป็นเพชรพลอยแห่งสัจจธรรมที่สามารถนำคนไปสู่ความสุขอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระนฤพาน
เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาถึงพระราชวังแล้ว
พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันเป็นทางแห่งความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
ที่พระองค์ทรงค้นพบ แก่พระพุทธบิดาและคนอื่นๆ อย่างละเอียดลออชัดเจนแจ่มแจ้ง
จนเป็นที่เข้าใจแก่คนทั้งหลายในที่นั้นและพากันยอมรับธรรมะนั้นไปประพฤติปฏิบัติ
ในฐานที่เป็นสาวกของพระองค์สืบไป และในเวลาภายหลังต่อมา
พระโอรสของพระพุทธองค์ซึ่งมีนามว่า ราหุล นั้นก็ได้ออกบวชด้วยเหมือนกัน
» วัยกุมาร
» เทวทัต