ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย
พิธีกรรม >>
หอพระไตร
พุทธศาสนสุภาษิต
หมวดชีวิต-ความตาย
ชีวิตนี้วิปริตผันแปร ไม่แน่นอน
วัย หมดไปตามลำดับแห่งวัย
หนุ่มก็ตาย แก่ก็ตาย
ชีวิต ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย
ถ้าอยู่เลยร้อยปี ก็ต้องตายเพราะความแก่เป็นแน่แท้
คนโง่ก็ตาย คนฉลาดก็ตาย
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนก้าวเดินไปสู่ความตาย
คนถึงคราวตาย หมู่ญาติก็ช่วยไม่ได้
ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก
วันและคืนย่อมผ่านไป
เมื่อมีชีวิต วัยแห่งชีวิตก็ร่นเข้ามา
เกิด ก็เป็นทุกข์
จะตาย ก็ตายไปคนเดียว
กาลเวลาล่วงไป ราตรีก็ผ่านไป
ตาย ก็เป็นทุกข์
แก่ ก็เป็นทุกข์
สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่น
จะวิ่งหนีก็ไม่ทัน (ความตายไม่มีใครหนีได้)
สัตว์โลก ถูกชราปิดล้อม
เจ็บ ก็เป็นทุกข์
จะเกิด ก็เกิดมาคนเดียว
ชีวิตนี้คับแค้น และสั้นนิดเดียว
ชีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรเกื้อกูลกัน
เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน
เมื่อคนจะตาย ยังแถมประกอบด้วยทุกข์อีก
คนที่ร้องให้ถึงคนตาย เขาก็จะต้องตายด้วย
ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก
เห็นอยู่เมื่อเช้า สายก็ตาย
ที่ตายแล้วก็แล้วไป ไม่ควรเศร้าโศกถึง
ปราชญ์ทั้งหลาย บอกแล้วว่าชีวิตนี้น้อยนัก
โลกถูกความตายครอบเอาไว้
เมื่อความตายมาถึงตัว ก็ไม่มีใครป้องกันได้
เมื่อคนตายแล้วสมบัติสักนิดก็ไม่ติดไป
ทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วจะต้องแตกสลายในที่สุด
ทุกชีวิตจะต้องทอดทิ้งร่ายกายไว้ในโลก
ไม่มีใครผัดเพี้ยนกับความตาย ซึ่งมีอำนาจมากได้
สถานที่ที่ได้ชื่อว่าไม่มีคนตาย ไม่มีในโลก
ทุกคนควรทำหน้าที่ของตนและไม่ควรประมาท
ทั้งหนุ่มและแก่ ล้วนร่างกายแตกดับไปทุกคน
สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่น ถูกชราปิดล้อม
เมื่อสัตว์ถูกชรานำเข้าไปแล้ว ไม่มีผู้ป้องกัน
ความผัดเพี้ยนกับมฤตยูอันมีกองทัพใหญ่นั้น ไม่ได้เลย
กี่วันผ่านไป ชีวิตก็ยิ่งใกล้ความตาย
คนทุกคนต้องตาย
วัยสิ้นไปตามคืนและวัน
การตายโดยชอบธรรม ดีกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่ชอบธรรม
อายุของคนย่อมหมดสิ้นไป
ความตายย่อมมีแก่ผู้เกิด
วันคืนเคลื่อนคล้อย อายุก็เหลือน้อยเข้าทุกที
สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไป
สายเห็นกันอยู่ รุ่งเช้าอีกวันก็ตาย
มีชีวิตอยู่อย่างไม่ถูกต้อง หาประเสริฐไม่
เงิน ก็ซื้ออายุให้ยืนยาวไม่ได้
สัตว์ทั้งปวง จัดทอดทิ้งร่างไว้ในโลก
ตั้งอยู่ในธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวปรโลก
วัยย่อมเสื่อมลงเรื่อยไป ทุกหลักตา ทุกลืมตา
เมื่อตาย ทรัพย์สักนิดเดียวจะติดตัวไปก็ไม่มี
ตายเพื่อความถูกต้องประเสริฐกว่า
ถึงคราวตาย บุตรทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้
ถึงคราวตาย บิดา ญาติพี่น้องก็ช่วยไม่ได้
รวยก็ตาย จนก็ตาย
ทรัพย์สมบัติ ก็ซื้อความแก่ไม่ได้
สักวันหนึ่ง ก็จะพรากจากกันไป
วันคืน ไม่ผ่านไปเปล่า
มฤตยู พยาธิ ชรา ทั้งสามนี้ดุจไฟลามลุกไหม้
ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม ใครเล่าจะกลัวความตาย
ผู้ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี
วันคืนผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมจะเหลือน้อยลง
อายุย่อมหมดไปทุกขณะที่หลับตาและลืมตา
คนจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพียงร้อยปี หรือจะเกินก็เพียงเล็กน้อย
แม้ชีวิตอยู่ร้อยปี ก็ไม่พ้นความตายไปได้
มวลมนุษย์ล้วนมีความตายรออยู่ข้างหน้า
ชีวิตของเราเป็นของน้อย ชราและพยาธิก็คอยย่ำยี
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกันไปกับตัวมันเอง
คนใดร้องให้บ่นเพ้อถึงคนที่ตายไปแล้ว แม้คนที่ร้อนนั้นก็ต้องตายเหมือนกัน
เมื่อมาเกิด ก็ไม่มีใครอ้อนวอนมาเกิด เมื่อตายจากโลกนี้ ก็ไม่มีใครอนุญาตให้ไป
วันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไป จากประโยชน์ที่จะทำ
ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความสลายเป็นที่สุด
ทั้งคนมี ทั้งคนจน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโครตไม่เสื่อมสลาย
อายุสังขาร ใช่จะประมาทไปตามสัตว์ผู้ยืน นั่ง นอน หรือ เดินอยู่ก็หาไม่
สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ย่อมกลัวโทษและกลัวความตาย จงทำตนเป็นอุปมา
แล้วไม่พึงฆ่าหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า
เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่ และไม่พึงประมาท
ร่างกายนี้ ไม่นานนัก เมื่อวิญญาณจากไปแล้ว หมู่ญาติก็เกลียดกลัว
เอาไปทิ้งในป่าช้าเหมือนท่อนไม้
เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยมรณะสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ
ถอยกลับจากการรักชีวิต
กาลเวลาล่วงไป วันคืนผ่านพ้นไป วัยก็หมดไปที่ละตอน ๆ ตามลำดับ
อายุของคนนี้น้อยนัก จะต้องจากโลกนี้ไป จึงควรทำกุศล และประพฤติพรหมจรรย์
น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง ฉันใด อายุของคน
ก็ย่อมไม่เวียนไปสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น
ชีวิตนี้เป็นสิ่งคับข้อง เป็นสิ่งเล็กน้อย ประกอบด้วยทุกข์
ใครเล่ายังจะอาศัยชีวิตนี้ ไปสร้างเวรกับผู้อื่น
ชีวิตนี้น้อยนัก ไม่ถึงร้อยปีก็ตายกันแล้ว ถ้าจะอยู่เกินไป
ก็ต้องตายเพราะความแก่
วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตย่อมหมดเข้าไป อายุของสัตว์ ย่อมสิ่นไป
เหมือนน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ๆ ฉะนั้น
ชนเหล่าใดกำหนดรู้รูปธาตุ ไม่ตั้งอยู่ในอรูปธาตุ ย่อมหลุดพ้นไปได้ในในโรธธาตุ,
ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ละมัจจุได้
อายุของมนุษย์มีน้อย คนดีพึงดูถูกอายุนั้นเสีย
พึงประพฤติดุจคนมีศรีษะถูกไฟใหม้ มฤตยู (ความตาย) จะไม่มาถึง ย่อมไม่มี
ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเขลา ทั้งฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย
ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
ความตายย่อมครอบงำคนเก็บดอกไม้ (กามคุณ) ที่มีใจข้องในอารมณ์ต่าง ๆ
ไม่อิ่มในกาม ไว้ในอำนาจ
ภัยของสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมี เพราะต้องตายแน่นอน เหมือนภัยของผลไม่สุก
ย่อมมี เพราะต้องหล่นในเวลาเช้าฉะนั้น
ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้ว ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด,
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น
ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากินด้วยพลอง ฉันใด, ความแก่และความตาย
ย่อมต้อนอายุของสัตว์มีชีวิตไปเช่นกัน ฉันนั้น
การร้องให้ ความโศกเศร้า หรื การคร่ำครวญร่ำไรใด ๆ
ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ผู้ที่ตายแล้วก็คงอยู่อย่างเดิมนั้นเอง
เมื่อถูกพญามัจจุราชครอบงำ ไม่ว่าบุตร ไม่ว่าบิดา ไม่ว่าญาติพวกพ้อง
มีไว้ก็ช่วยต้านทานไม่ได้ จะหาที่ปกป้องในหมู่ญาติ เป็นอันไม่มี
ข้าพเจ้าไม่มีความชั่ว ซึ่งทไว้ ณ ที่ไหน ๆ เลย
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นเกรงความตายที่จะมาถึง
การร้องให้หรือโศกเศร้า จะช่วยให้จิตใจสงบ สบาย ก็หาไม่
ทุกข์ยิ่งเกิดเพิ่มพูนทับทวี ทั้งร่ายกายก็พลอยทรุดโทรม
คนที่รักใคร่ ตายจากไปแล้ว
ย่อมไม่ได้พบเห็นอีกเหมือนคนตื่นขึ้นไม่ได้เห็นสิ่งที่ได้พบในฝัน
จะตายก็ไปคนเดียว จะเกิดก็มาคนเดียว ความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งหลาย
ก็เพียงแค่ได้มาพบปะเกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง
คนที่สละความเศร้าโศกไม่ได้ มัวทอดถอนถึงคนที่จากไปแล้ว
ตกอยู่ในอำนาจของความโศก ย่อมประสบความทุกข์หนักยิ่งขึ้น
ตอนเช้ายังเห็นกันอยู่มากคน พอตกเห็นบางคนก็ไม่เห็น เมื่อเย็น
ยังเห็นกันอยู่มากคน ตกถึงเช้า บางคนก็ไม่เห็น
ถ้าบุคคลจะเศร้าโศกถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่แก่ตน (เช่นผู้ที่ตายไปแล้ว เป็นต้น)
ไซร้ ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเอง ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพญามัจจุราชตลอดเวลา
แม่น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น
ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งคนมี ทั้งคนจน
ล้วนเดินหน้าไปหาความตายทั้งหมด
ผลไม้สุกแล้ว ก็หวั่นแต่ละต้องร่วงหลุ่นไปตลอดเวลา ฉันใด
สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็หวั่นแต่จะตายอยู่ตลอดเวลา ฉันนั้น
อายุของคนน้อยนัก คนดีไม่ควรลืมอายุ ควรระลึกถึงอายุดุจคนถูกไฟไหม้ศรีษะ
เพราะการที่ความตายจะไม่มาถึงนั้น ไม่มีเลย
ถ้าจะเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเองด้วย
ที่ตกอยู่ในอำนาจของความตายตลอดเวลา
ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไปฉันใด, สัตว์มีชีวิตทั้งปวง
ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น
เพราะฉะนั้น สาธุชน สดับคำสอน ของท่านผู้ไกลกิเลสแล้ว
พึงกำจัดความร่ำไรรำพันเสีย เห็นคนล่วงลับจากไป ก็ทำใจให้ได้ว่า
ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราจะขอให้เป็นอยู่อีกย่อมไม่ได้
ดูซิ.. ถึงคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมตัว เดินทางไปตามยถากรรม
ที่นี่สัตว์ทั้งหลายเผชิญกับอำนาจ ของพญามัจจุราชเข้าแล้ว
กำลังดิ้นรนกันอยู่ทั้งนั้น
เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ ความพลัดพรากจากกัน ก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัย
หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ ควรเมตตา เอื้อเอ็นดูกัน
ไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้
วันคืนล่วงไปเท่าไรชีวิตก็พร่องลงไปเท่านั้น
เวลาแห่งความตายรุกไล่เข้าไปทุกอิริยาบท ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทเวลา
จะอยู่ในอากาศ อยู่กลางมหาสมุทร เข้าไปสู่หลืบเขา ก็ไม่พ้นจากมฤตยูได้
ประเทศคือดินแดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ ไม่มี
กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยล่อมละลำดับไป
ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้
เมื่อเศร้าโศกไป ก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง ร่างกายจะผ่ายผอม
ผิดพรรณจะซูบซีดหม่นหมอง ส่วนผู้ที่ตายไปแล้ว
ก็จะเอาความโศกเศร้านั้นของเรา ไปช่วยอะไรตัวเขาไม่ได้ ความร่ำไรรำพัน
ย่อมไร้ประโยชน์
ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตาย ก็เหมือนเด็กร้องให้
เหมือนกับขอพระจันทร์ที่โคจรไปในอากาศ คนตายถูกเผาอยู่
ย่อมไม่รู้ว่าญาติคร่ำครวญถึง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศก
เขาไปแล้วตามวิถีทางของเขา
»
หมวดเบื้องต้น
»
หมวดบุคคล
»
หมวดการศึกษา
»
หมวดวาจา
»
หมวดอดทน
»
หมวดความเพียร
»
หมวดความโกรธ
»
หมวดการชนะ
»
หมวดความประมาท
»
หมวดความไม่ประมาท
»
หมวดตน- ฝึกตน
»
หมวดมิตร
»
หมวดคบหา
»
หมวดสร้างตัว
»
หมวดการปกครอง
»
หมวดสามัคคี
»
หมวดเกื้อกูลสังคม
»
หมวดพบสุข
»
หมวดทาน
»
หมวดศีล
»
หมวดจิต
»
หมวดปัญญา
»
หมวดศรัทธา
»
หมวดบุญ
»
หมวดความสุข
»
หมวดธรรม
»
หมวดกรรม
»
หมวดกิเลส
»
หมวดบาป-เวร
»
หมวดทุกข์-พ้นทุกข์
»
หมวดชีวิต-ความตาย
»
หมวดพิเศษ
*** คัดลอกมาจาก หนังสือพุทธศาสนสุภาษิต ฉบับสมบูรณ์ โดยธรรมสภาจัดพิมพ์