วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
เสือโคร่ง
เสือดาว
เสือดำ
เสือลายเมฆ
แมวป่าหัวแบน
แมวป่า
แมวลายหินอ่อน
แมวดาว
เสือปลา
เสือโคร่ง
เสือโคร่งดำ เสือโคร่งขาว
เสือโคร่งดำ เป็นเสือโคร่งที่มีสีดำ เป็นที่กล่าวถึงมาเป็นเวลาช้านาน
แต่ยังเป็นที่ยืนยันแน่ชัดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตามยังมีรายงานพบเห็นตัวอยู่นาน ๆ ครั้ง
หลักฐานหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการพบหนังเสือโคร่งดำในขณะที่มีการจับกุมการค้าหนังสัตว์เถื่อนที่เดลฮีในปี
2535 หนังผืนนั้นมีสีดำสนิทที่บริเวณกระหม่อมและกลางหลัง และค่อย ๆ
จางลงไล่ลงมาตามข้างลำตัวจนถึงสุดแถบ
หนังผืนนั้นไม่ได้เกิดจากความปกติของเม็ดสีแบบเมลานิซึมอย่างที่พบในเสือดำหรือจากัวร์ดำหรือเสือชนิดอื่น
ๆ ซึ่งดำปลอดทั้งตัว แต่เชื่อว่าเป็นลักษณะของยีนอากูตี ซึ่งทำให้แถบดำเชื่อมต่อกัน
ตัวอย่างของเสือที่มีลักษณะแบบนี้เคยมีผู้ถ่ายภาพได้ในอุทยานแห่งชาติกันนาของอินเดีย
เสือโคร่งขาว หรือเสือเบงกอลขาว มีรูปร่างเหมือนเสือโคร่งปรกติ
แต่มีขนพื้นสีขาวและลายสีน้ำตาลเข้ม ม่านตาสีฟ้า เป็นเสือโคร่งที่คุ้นตาผู้คนมาก
สามารถพบได้ในสวนสัตว์เกือบทุกแห่งรวมทั้งสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ในเมืองไทย
แต่อย่างไรก็ตามเสือโคร่งขาวได้สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติของอินเดียแล้ว
ตัวสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นเป็นลูกเสือตัวผู้ที่ถูกจับได้มาจากรีวา
ในตอนกลางของอินเดียโดยมหาราชาแห่งรีวาในปี พ.ศ. 2494 มีชื่อว่า โมฮัน
เสือโคร่งขาวเกือบทั้งหมดที่อยู่ในสวนสัตว์และแหล่งเพาะเลี้ยงต่าง ๆ
ทั่วโลกในปัจจุบันล้วนแต่เป็นลูกหลานของโมฮันทั้งสิ้น
เสือโคร่งขาวไม่ใช่เสือโคร่งเผือกแท้
แต่เป็นอาการผิดปรกติที่ผิวหนังมีจำนวนเม็ดสีน้อย
เสือโคร่งขาวลำตัวมีพื้นสีขาวปลอดและมีลายพาดกลอนเป็นสีน้ำตาลและมีตาสีฟ้า
ซึ่งเรียกว่า chinchilla mutation
ชนิดย่อยของเสือโคร่ง
เสือโคร่งแบ่งออกเป็นชนิดย่อยหรือพันธุ์ได้ 9 พันธุ์
มีแหล่งกระจายพันธุ์ ขนาดและน้ำหนัก ต่างกันไป
ต้นกำเนิด
ในอดีตเคยมีเสือโคร่งอยู่เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากยังมีป่าไม้และทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์
อันเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ที่เป็นอาหารของเสือโคร่ง
อาณาเขตของมันพบได้ไกลถึงชายฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก
ซึ่งแสดงถึงอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าในปัจจุบันมาก
ด้วยอุปนิสัยของเสือโคร่งที่เป็นสัตว์ขี้ร้อน
ชอบอยู่กับน้ำและอาศัยอยู่ในป่าลึกที่เย็นชื้นในเวลากลางวัน
ก็อาจทำให้สันนิษฐานได้ว่าเสือโคร่งมีต้นกำเนิดมาจากแดนที่หนาวเย็น
จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์โดยเฮมเมอร์ ในปี 2530 และ มาซัค ในปี 2526
สันนิษฐานว่าเสือโคร่งมีต้นกำเนิดจากเอเชียตะวันออก
และเริ่มกระจายพันธุ์ออกไปเป็นสองเส้นทางหลัก ๆ เมื่อราวสองล้านปีก่อน
ทางตะวันตกเฉียงเหนือเสือโคร่งค่อย ๆ
ย้ายถิ่นไปตามลำน้ำและป่าไม้ลงมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ เสือโคร่งแพร่พันธุ์ผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บางส่วนไปหมู่เกาะอินโดนีเซีย และบางส่วนไปถึงอินเดีย
แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าเสือโคร่งพันธุ์จีนใต้เป็นลูกหลานโดยตรงมาจากบรรพบุรุษเสือโคร่ง
ซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่เดียวกันมาก่อน
เสือโคร่งพันธุ์จีนใต้มีลักษณะของกะโหลกที่แตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างเด่นชัด
เช่นกะโหลกที่สั้น และเบ้าตาที่ชิดกันและชี้ตรงไปข้างหน้ามากกว่าพันธุ์อื่น
ถิ่นที่อยู่อาศัย
เสือโคร่งอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่หลายประเภท
ตั้งแต่ป่าดงดิบในเขตศูนย์สูตร ป่าผลัดใบในเอเชียใต้ ป่าสนและป่าโอ๊กในไซบีเรีย
ป่าชายเลนในซุนดาบันส์ ป่าหญ้าแถบตีนเขาหิมาลัย
เคยมีผู้พบเห็นรอยเสือโคร่งที่ระดับความสูงถึง 3,000 เมตรในเทือกเขาหิมาลัย ป่าอ้อ
(ขณะหากินในป่าอ้อ
บางครั้งเสือโคร่งอาจยืนขึ้นสองขาด้วยขาหลังแล้วกระโดดขึ้นเพื่อให้พ้นยอดอ้อ
เพื่อดูสภาพโดยรอบ) นอกจากนี้ยังพบได้ในทุ่งหญ้าและบริเวณที่ลุ่มน้ำขัง
โดยสรุปแล้วปัจจัยสำคัญสำหรับถิ่นที่อยู่ของเสือโคร่งไม่ใช่ชนิดของป่า
ขอเพียงแต่ให้มีความรกทึบพอให้เป็นที่หลบภัยและซุ่มซ่อนได้ มีเหยื่อขนาดใหญ่ให้ล่า
และมีแหล่งน้ำตลอดปี
เสือโคร่งต้องการเหยื่อที่เพียงพอ จึงต้องมีอาณาเขตที่กว้างขวางมาก
อาณาเขตของเสือโคร่งแต่ละตัวมีความแตกต่างกันตามสภาพของแหล่งที่อยู่
ความอุดมสมบูรณ์ของเหยื่อ แหล่งน้ำ และเพศ
สถานที่อยู่สำหรับเสือโคร่งตัวเมียจำเป็นต้องมีสถานที่ ๆ
สะดวกสำหรับการออกลูกและเลี้ยงลูก ในขณะที่ตัวผู้มีอาณาเขตกว้างกว่าของตัวเมีย
และจะซ้อนเลื่อมกับอาณาเขตของตัวเมียตัวอื่น 2-3 ตัว
ในอุทยานแห่งชาติจิตวันในเนปาลและอุทยานแห่งชาติกันนาของอินเดีย
เสือโคร่งตัวเมียมีอาณาเขตกว้าง 10-39 ตารางกิโลเมตร ตัวผู้มีอาณาเขตกว้าง 30-105
ตารางกิโลเมตร ในขณะที่ทางตะวันออกสุดของรัสเซีย
เป็นแหล่งที่มีจำนวนสัตว์เหยื่อกระจัดกระจายไม่สม่ำเสมอและมีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล
อาณาเขตของเสือโคร่งพันธ์ไซบีเรียจึงกว้างถึง 100-400 ตารางกิโลเมตรสำหรับตัวเมีย
และกว้างถึง 800-1,000 ตารางกิโลเมตรสำหรับตัวผู้
มีผู้ประเมินความหนาแน่นของเสือโคร่งในเทือกเขาซิโฮเตอะลินในรัสเซียตะวันออกไว้ว่ามีเพียง
1.3-8.6 ต่อ 1,000 ตารางกิโลเมตร (รวมลูกเสือ) เท่านั้น
ในขณะที่ในป่าเขตศูนย์สูตรมีความหนาแน่นของเสือโคร่งถึง 7-12 ตัวต่อ 100
ตารางกิโลเมตร (รวมลูกเสือ)
อุปนิสัย
เสือโคร่งหากินในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่และมักจะเป็นช่วงหัวค่ำและเช้ามืด
แต่ก็อาจออกหากินในเวลากลางวันได้เป็นบางครั้ง
โดยเฉพาะในฤดูหนาวสำหรับเสือที่อาศัยอยู่ในเขตเหนือ
เสือโคร่งมักใช้สายตาและการรับฟังช่วยในการล่ามากกว่าการรับกลิ่น
อาหารส่วนใหญ่ของเสือโคร่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น กระทิง วัว กวาง เลียงผา แอนติโลป
ควาย เก้ง และหมูป่า บางครั้งก็อาจล่าลูกช้างหรือลูกแรดได้
เสือโคร่งในอินเดียมักชอบล่าสัตว์ใหญ่มากกว่าสัตว์เล็ก เช่นในอุทยานแห่งชาติจิตวัน
อาหารหลักของเสือโคร่งคือ กวางป่า รองลงมาคือกวางดาว
ในนาการาโฮลพบว่าอาหารหลักคือกระทิงและกวางป่า
ส่วนเสือโคร่งในเมืองไทยไม่ค่อยล่าสัตว์ใหญ่บ่อยนัก
จากการสำรวจพบว่าอาหารหลักของเสือโคร่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งคือเก้ง
กวางป่า หมูป่า และหมูหริ่ง ตามลำดับ
ในภาวะอาหารขาดแคลน เสือโคร่งก็อาจล่าสัตว์เล็กอย่างลิง นก ปลา
หรือสัตว์เลื้อยคลาน บ้างเช่นกัน
บางครั้งเสือโคร่งอาจฆ่าและกินเสือดาวหรือแม้แต่เสือโคร่งด้วยกันเอง
รวมถึงสัตว์ล่าเหยื่อชนิดอื่นเช่นหมีควายด้วย
เสือโคร่งหาเหยื่อโดยใช้วิธีซุ่มรอเช่นเดียวกับเสือและแมวทั่วไป
โดยอาศัยต้นไม้ใบหญ้าพรางตัวแล้วค่อย ๆ
ย่องเข้าไปใกล้เหยื่อทางด้านหลังหรือด้านข้าง
เมื่อได้จังหวะและระยะพอเหมาะจะกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
จุดตายสำคัญที่เสือโคร่งเลือกกัดคือคอ
การเลือกตำแหน่งกัดว่าจะเป็นด้านหน้าคอหรือหลังคอขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
ขนาดของเหยื่อ ขนาดของเสือ ทิศทางการเข้าจู่โจมว่าจะเป็นจากด้านหน้า
ด้านข้างหรือด้านหลัง และลักษณะการต่อสู้ของเหยื่อ
มันจะเลือกวิธีที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บน้อยที่สุด เมื่อเสือล้มเหยื่อลงได้แล้ว
มันจะเข้ากัดที่คอหอยและค้างไว้ให้เหยื่อหายใจไม่ออกจนตาย
การกัดที่จุดนี้มีข้อได้เปรียบกว่าการกัดที่จุดอื่น ๆ
เพราะเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยจากเขาและจากการเตะถีบของเหยื่อ
และยังทำให้ง่ายในการบังคับไม่ให้เหยื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ซึ่งเป็นวิธีที่มักใช้กับเหยื่อขนาดใหญ่เช่นกระทิงหรือกวาง หากเป็นเหยื่อตัวเล็ก
เสือมักเลือกที่จะกัดตรงด้านหลังคอที่ตำแหน่งใกล้กะโหลก
แรงกัดจะทำให้กระดูกคอแตกและกดเส้นประสาทจนเหยื่อตาย
เมื่อเสือโคร่งจับเหยื่อได้ มันมักลากเหยื่อไปยังที่ลับตาเช่นใต้เงาไม้และใกล้น้ำ เพื่อที่จะกินน้ำได้สะดวก มันมีพลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ซากกระทิงที่หนักกว่าตัวมันหลายเท่ามันก็ยังลากไปได้ หลังจากที่กินอาหารอิ่มแล้ว หากเหยื่อยังเหลือ มันมักจะอยู่ไม่ไกลจากเหยื่อนั้นมากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์กินซากอื่น ๆ มาแอบกินเหยื่อ บางครั้งมันก็เอากิ่งไม้ใบไม้มาบังเหยื่อเพื่ออำพรางด้วย
เสือโคร่งตัวหนึ่งกินอาหารครั้งละประมาณ 18-40 กิโลกรัม โดยจะเริ่มกินที่สะโพกก่อนเสมอ หากเหยื่อไม่ถูกขโมยไปเสียก่อน มันจะหวนกลับมากินทุกวันอีกเป็นเวลา 3-6 วันจนกว่าซากจะหมดหรือเกือบหมด เสือจะล่าเหยื่อขนาดใหญ่เพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น เคยมีบันทึกว่าเสือโคร่งตัวเมียในจิตวันที่ไม่ได้เลี้ยงลูกจะล่าเหยื่อทุก ๆ 8-8.5 วัน
ถึงแม้ว่าเสือโคร่งจะเป็นนักล่าผู้ยิ่งใหญ่และได้รับการยกย่องให้เป็นถึงจ้าวป่า แต่การล่าของเสือโคร่งส่วนใหญ่จะล้มเหลว ประสิทธิภาพในการจับเหยื่อของเสือโคร่งอาจต่ำถึงราว 1 ใน 10 หมายความว่าถ้าย่องเข้าจับเหยื่อ 10 ครั้งจะทำสำเร็จเพียงครั้งเดียว และอาจน้อยถึง 1 ใน 20 ในบางครั้ง หากการล่าเหยื่อไม่สำเร็จในครั้งแรก เสือโคร่งมักจะปล่อยเหยื่อไปโดยไม่ใส่ใจจะติดตามเหยื่อตัวนั้นไปอีก แต่เคยมีเสือโคร่งตัวหนึ่งในตอนใต้ของประเทศอินเดียไล่ตามกวางป่าที่บาดเจ็บไปไกลกว่า 2 กิโลเมตรเป็นเวลาถึงกว่า 2 ชั่วโมง
เสือโคร่งจะเป็นสัตว์ที่อยู่โดยลำพัง แต่บางครั้งเสือโคร่งอาจรวมกันล่าเหยื่อแบบสิงโตเหมือนกัน เคยมีผู้พบเห็นเสือโคร่งฝูงหนึ่งซึ่งอาจเป็นเสือในครอบครัวเดียวกัน ประกอบด้วยตัวผู้ 2 ตัวและตัวเมีย 3 ตัว ล่าเหยื่อโดยมีการวางกำลังตามจุดต่าง ๆ รอบทะเลสาบซึ่งมีกวางอยู่ และยังมีการไล่ต้อนเหยื่อให้วิ่งไปตำแหน่งที่เสืออีกตัวหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ด้วย จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน กล่าวว่าเคยเห็นเสือโคร่งสองตัวรุมฆ่าช้างงาขนาดใหญ่ได้
แม้ว่าเสือโคร่งจะเป็นสัตว์ที่อยู่ตามลำพังยกเว้นแม่เสือที่เลี้ยงดูลูก แต่เคยมีบันทึกว่าพบเสือโคร่งหากินกันเป็นครอบครัวหรือพักผ่อนร่วมกัน ในอุทยานแห่งชาติกันนาในประเทศอินเดีย มีผู้พบเห็นเสือโคร่งตัวเมียกับลูก ๆ และเสือโคร่งวัยรุ่นอีกตัวซึ่งน่าจะเป็นพี่ของเสือครอกนั้นร้องเรียกเสือโคร่งตัวผู้เต็มวัยตัวหนึ่ง หลังจากนั้นทั้งหมดก็เดินไปด้วยกัน
เสือโคร่งชอบทิ้งรอยข่วนตามต้นไม้เพื่อประกาศอาณาเขต และเป็นการบริหารเล็บให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ การประกาศอาณาเขตของตัวเองอีกวิธีหนึ่งคือ การปล่อยปัสสาวะไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่นพุ่มไม้ โคนไม้ หรือก้อนหิน กลิ่นของปัสสาวะยังสามารถระบุตัวเสือโคร่งได้ด้วย เมื่อเสือโคร่งตัวอื่นมาได้กลิ่นนี้ จะทราบได้ว่าเจ้าของพื้นที่เป็นเพศใด และพร้อมที่จะสืบพันธุ์แล้วหรือไม่ กลิ่นของปัสสาวะนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก ดังนั้นเจ้าของพื้นที่จะต้องมั่นแวะเวียนตรวจตราพื้นที่และเติมกลิ่นของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากกลิ่นหายไปแล้ว เสือโคร่งตัวอื่นอาจถือว่าเป็นพื้นที่ไม่มีเจ้าของและยึดพื้นที่ไปได้
เสือโคร่งต่างจากสัตว์ในตระกูลแมวหลายชนิด เสือโคร่งไม่กลัวน้ำซ้ำยังชอบน้ำมาก ในช่วงกลางวันของฤดูร้อนมันมักลงไปนอนแช่น้ำในทะเลสาบหรือบึง มีบันทึกการเห็นเสือโคร่งว่ายน้ำเป็นระยะทางไกลอยู่บ่อยครั้ง เช่น ในซุนดาบันส์ในประเทศอินเดียและบังกลาเทศซึ่งเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำคงคาและพรหมบุตร มักมีเสือโคร่งว่ายน้ำข้ามแม่น้ำอยู่เสมอ ๆ เคยมีบันทึกไว้ว่าเสือโคร่งว่ายน้ำข้ามแม่น้ำในซุนดาบันส์เป็นระยะทางถึง 29 กิโลเมตร และอาจมีอีกตัวหนึ่งที่ว่ายไกลถึง 56 กิโลเมตร และในที่เดียวกันนี้ก็เคยมีเสือโคร่งลากคนออกไปจากเรือเลยทีเดียว ในมาเลเซียเคยมีผู้พบเสือโคร่งตัวหนึ่งว่ายน้ำเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตรจากแผ่นดินใหญ่ของประเทศมาเลเซียไปเกาะปีนัง ในแถบแคสเปียนและแม่น้ำอะมูร์ ในรัสเซียตะวันออกก็เคยมีผู้พบเห็นเสือว่ายน้ำเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ในเขตอนุรักษ์เสือโคร่งรันทัมบอร์ในอินเดียก็เคยมีรายงานว่าเสือโคร่งไล่ฆ่ากวางป่าในทะเลสาบจนจมน้ำลงไปทั้งคู่อยู่พักหนึ่ง และในทะเลสาบเดียวกันนี้เคยมีผู้พบเห็นเสือโคร่งจับจระเข้มากินอีกด้วย
ตามปรกติ เสือโคร่งไม่ชอบปีนต้นไม้ แต่ก็ปีนได้ถ้าต้องการ ในอินเดีย เคยมีรายงานว่าเสือดาวตัวหนึ่งไปเข้าใกล้แม่เสือโคร่งตัวหนึ่งที่มีลูก จึงถูกเสือโคร่งไล่ล่า แม้เสือดาวตัวนั้นจะปีนหนีขึ้นต้นไม้แต่ก็ยังถูกแม่เสือโคร่งตามขึ้นไปฆ่าบนต้นไม้ได้
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)
![](../../bulet2.gif)