ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระสงฆ์กับการเมืองไทย

สมเด็จพระพนรัตน

 วัดป่าแก้ว ต้นตำหรับพระสงฆ์กับการเมืองไทย

สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วหรือที่เรียกในปัจจุบันนี้ว่า วัดใหญ่ไชยมงคลเป็นเจ้าของตำราการสร้างพระกริ่ง ต้องลงเลขยันต์ในแผ่นนวโลหะ อันจะเป็นชนวนผสมในการหล่อด้วย เลขยันต์ที่นิยมใช้ลงโดยมาก คือ พระยันต์ 108 และนะปฐมังนะ ในการสร้างนั้น จะต้องมีพิธีพุทธาภิเษก พิธีโหร และพิธีพราหมณ์ประกอบ

ต่อมา ตำราการสร้างพระกริ่งได้สืบทอดไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน ฯ, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร, พระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส และสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ตามลำดับ

เรื่องราวของสมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว ในประเด็นต้นตำหรับพระสงฆ์กับการเมืองไทยนั้น ย้อนไปใน พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงทำยุทธหัตถีมีชัยชนะพระมหาอุปราชาและมางจาชะโร แห่งกรุงหงสาวดี ภายหลังชัยชนะในครั้งนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้โปรดให้ลูกขุนปรึกษาโทษข้าราชการชั้นแม่ทัพนายกองมีโทษถึงประหารหลายคน หากแต่วันตัดสินพิพากษาให้ลงโทษนั้นเป็นเวลาใกล้กับวันพระ จึงโปรดให้เอาตัวข้าราชการเหล่านั้นไปจองจำไว้ก่อน เมื่อพ้นวันพระไปแล้วจึงให้นำตัวไปประหารชีวิตเสียตามคำลูกขุนพิพากษาโทษ. ในคราวนั้น ได้มีพระมหาเถราจารย์รูปหนึ่งผู้มีปรีชาสามารถ แตกฉานในพระพุทธวจนะ มีวาทะหลักแหลม ได้พาพระราชาคณะ 25 รูป เข้าไปเฝ้าถวายพระพรถามข่าวสงคราม และด้วยวาทะหลักแหลมของท่าน ได้ช่วยให้บรรดาข้าราชการซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตแล้ว ให้รอดพ้นจากพระราชอาญาโทษได้ พระมหาเถราจารย์ รูปนี้ คือ สมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว. ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา มีดังนี้…

“ขณะเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ทำคชสงครามได้ชัยชำนะพระมหาอุปราชาและมางจาชะโรแล้ว บรรดาท้าวพระยามุขมนตรีนายทัพนายกองซ้ายขวาหน้าหลังจึงมาทันเสด็จ ได้เข้ารบพุ่งแทงฟันข้าศึกเป็นสามารถ และมอญพม่าทั้งนั้นก็แตกกระจัดกระจายไปเพราะพระเดชเดชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้นายทัพนายกองทั้งปวงยกตามไปจับข้าศึกแล้วเสด็จคืนมายังพลับพลา พระราชทานชื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพเป็นเจ้าพระยาปราบหงสา บรรดามุขมนตรีนายกองซึ่งยกตามข้าศึกไปนั้น ได้ฆ่าฟันพม่ามอญโดยทางไปถึงกาญจนบุรี ซากศพเกลื่อนไปแต่ตะพังตรุนั้นประมาณสองหมื่นเศษ จับได้เจ้าเมืองมะล่วนและนายทัพนายกองกับไพร่เป็นอันมาก ได้ช้างใหญ่สูงหกศอกสามร้อย ช้างพลายพังระวางเพรียวห้าร้อย ม้าสองพันเศษ มาถวาย

สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสให้ก่อพระเจดีย์ฐานสวมศพพระมหาอุปราชาไว้ตำบลตะพังตรุ ขณะนั้นโปรดพระราชทานช้าง ๆ หนึ่งกับหมอและควาญให้เจ้าเมืองมะล่วนขึ้นไปแจ้งแก่พระเจ้าหงสาวดี พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระนคร แล้วทรงมีพระราชดำรัสว่า เจ้ารามราฆพ ควาญช้างกับขุนศรีคชควาญ ซึ่งได้ผจญข้าศึกจนมีชัยชำนะด้วยพระองค์นั้น ก็ปูนบำเหน็จพระราชทานยศถาศักดิ์เครื่องอุปโภคเสื้อผ้าเงินทอง ฝ่ายนายมหานุภาพ ควาญช้าง หมื่นภักดีศวร ควาญช้าง โดยเสด็จพระราชสงครามจนถึงสิ้นชีวิตในท่ามกลางศึกมีความชอบให้เอาบุตรภรรยามาชุบเลี้ยง พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเงินทองเสื้อผ้าโดยสมควร เสร็จแล้วพระราชดำรัสให้ปรึกษาโทษนายทัพนายกองว่า ข้าศึกยกมาถึงพระนคร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ตั้งพระทัยจะรักษาพระพุทธศาสนาและสมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎร มิได้คิดเหนื่อยยากลำบากพระองค์ ทรงพระอุตสาหะเสด็จยกพยุหโยธาทัพออกไปรณรงค์ด้วยข้าศึก แต่นายทัพนายกองกลัวข้าศึกยิ่งกว่าพระราชอาญา มิได้โดยเสด็จพระราชดำเนินให้ทันละพระคชาธารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ให้เข้าอยู่ท่ามกลางข้าศึก จนได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยแก่พระมหาอุปราชาเสร็จ โทษนายทัพนายกองทั้งนี้จะเป็นประการใด

พระมหาราชครูปโรหิตทั้งปวงปรึกษาใส่ด้วยพระอัยยการศึกกับพระราชกฤษฎีกาว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินงานพระราชสงครามและเกณฑ์ผู้ใดเข้ากระบวนทัพแล้ว และมิได้โดยเสด็จให้ทันยุทธนาการ ท่านว่าโทษผู้นั้นเป็นอุกฤษฎ์ให้ประหารชีวิตเสียอย่าให้ผู้อื่นดูเยี่ยงอย่าง เอาคำพิพากษากราบทูล มีพระราชดำรัสสั่งให้เอาตามลูกขุนปรึกษา แต่ทว่าบัดนี้จวนวันจาตุททสีปัณณรสีอยู่ ให้เอานายทัพนายกองจำเรือนตรุไว้ก่อนสามวัน พ้นแล้วจึงให้สำเร็จโทษโดยพระอัยยการ

ครั้น ณ วันอาทิตย์ แรม 14 ค่ำ เดือนยี่ (พ.ศ. 2135) สมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว และพระราชาคณะยี่สิบห้ารูป ก็เข้ามาถวายพระพรถามข่าวซึ่งเสด็จงานพระราชสงคราม ได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยแก่พระมหาอุปราชา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แถลงการณ์ซึ่งปราบปัจจามิตรให้ฟังทุกประการ สมเด็จพระพนรัตนถวายพระพรถามว่า สมเด็จพระบรมบพิตรมีชัยแก่ข้าศึก เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องราชทัณฑ์เล่า? สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงตรัสบอกว่า นายทัพนายกองเหล่านี้อยู่ในกระบวนทัพโยม มันกลัวข้าศึกมากกว่าโยม ละให้โยมแต่สองคนพี่น้องฝ่าเข้าไปในท่ามกลางศึก จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา มีชัยชำนะแล้วจึงได้เห็นหน้ามัน นี่หากว่าบารมีของโยมหาไม่ แผ่นดินจะเป็นของชาวหงสาวดีเสียแล้ว เพราะเหตุดังนี้ โยมจึงให้ลงโทษโดยพระอัยยการศึก

สมเด็จพระพนรัตน จึงถวายพระพรว่า อาตมภาพพิเคราะห์ข้าราชการเหล่านี้ที่จะไม่กลัวพระราชสมภารเจ้านั้น หามิได้ และเหตุทั้งนี้เห็นจะพรรเอิญเป็น เพื่อจะให้พระเกียรติยศพระราชสมภารเจ้าเป็นมหัศจรรย์เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า เมื่อ (วันจะตรัสรู้พระโพธิญาณ) พระองค์เสด็จเหนืออปราชิตบัลลังก์ ใต้ควงไม้พระมหาโพธิ ณ เพลาสายัณห์ครั้งนั้น เทพยเจ้ามาเฝ้าพร้อมอยู่ทั้งหมื่นจักรวาล พระยาวัสวดีมารยกพลาพลเสนามารมาผจญครั้งนั้น ถ้าได้เทพยเจ้าเป็นบริวารมีชัยแก่พระยามาร ก็หาสู้เป็นมหามหัศจรรย์นักไม่ นี่พรรเอิญให้หมู่อมรอินทร์พรหมทั้งปวงปลาศนาการหนีไปสิ้น ยังแต่พระองค์เดียวอาจสามารถผจญพระยามาราธิราชกับทั้งพลเสนามารให้ปราชัยพ่ายแพ้ได้ สมเด็จพระบรมโลกนารถเจ้า จึงได้พระนามว่า พระพิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญดาญาณ เป็นมหามหัศจรรย์ดาลดิเรกไปทั่วอนันตโลกธาตุ เบื้องบนตราบเท่าถึงภวัคคพรหม เบื้องต่ำตลอดถึงอโธภาคอเวจีเป็นที่สุด พิเคราะห์ดูก็เหมือนพระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ครั้งนี้ ถ้าเสด็จพร้อมด้วยเสนางคนิกรโยธาทวยหาญมาก และมีชัยแก่พระมหาอุปราชา ก็จะสู้หาเป็นมหัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศปรากฏไปในนานาประเทศธานีใหญ่น้อยทั้งนั้นไม่ พระราชสมภารเจ้าอย่าทรงพระราชปริวิตกน้อยพระทัยเลย อันเหตุที่เป็นนี้เพื่อเทพยเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์จักสำแดงพระเกียรติยศ ดุจอาตมภาพถวายพระพรเป็นแท้

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังสมเด็จพระพนรัตนถวายวิสัชนากว้างขวาง ออกพระนามสมเด็จพระบรมอัครโมลีโลกครั้งนั้น ระลึกถึงพระคุณนามอันยิ่งก็ทรงพระปีติโสมนัสตื้นเต็มพระกมลหฤทัยปราโมทย์ ยกพระหัตถ์เหนือพระอุตมางคศิโรตม์นมัสการแย้มพระโอษฐ์ว่า สาธุ สาธุ พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรหนักหนา. สมเด็จพระพนรัตนเห็นว่าพระมหากษัตริย์คลายพระพิโรธแล้ว จึงถวายพระพรว่า อาตมภาพพระราชาคณะทั้งปวงเห็นว่า ข้าราชการซึ่งเป็นโทษเหล่านี้ก็ผิดหนักหนาอยู่แล้ว แต่ทว่าได้กระทำราชการมาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมราชอัยกาและสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และทำราชการมาในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระราชสมภารเจ้าแต่เดิมมาดุจพุทธบริษัทของสมเด็จพระบรมครูก็เหมือนกัน อาตมภาพทั้งปวงขอพระราชทานบิณฑบาตโทษคนเหล่านี้ไว้ครั้งหนึ่งเถิด จะได้ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าขอแล้ว โยมก็จะให้ แต่ทว่าจะให้ไปตีเอาเมืองตะนาวศรี (และ) เมืองทวาย แก้ตัวก่อน. สมเด็จพระพนรัตน์ถวายพระพรว่า การซึ่งจะใช้ไปตีบ้านเมืองนั้นก็สุดแต่พระราชสมภารเจ้าจะสงเคราะห์ ใช่กิจสมณะ แล้วสมเด็จพระพนรัตนและพระราชาคณะทั้งปวงถวายพระพรลาไป. จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสั่งให้ท้าวพระยาพระหัวเมืองมุขมนตรีพ้นโทษ”

» หน้าที่ของพระสงฆ์

» หน้าที่ในการศึกษาธรรม

» หน้าที่ในการปฏิบัติธรรม

» หน้าที่ในการเผยแผ่ธรรม

» หน้าที่ในการรักษาธรรม

» หน้าที่ของพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัย

» บทบาททางการเมืองของพระสงฆ์ในประวัติศาสตร์

» พระพุทธเจ้ากับการเมือง

» กรณีห้ามการทำสงคราม

» กรณีปราบแคว้นวัชชี

» บทบาทพระสงฆ์ในประวัติศาสตร์ไทย

» เจ้าพระฝาง พระมหาเถราจารย์แห่งแผ่นดินสยาม

» สมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว ต้นตำหรับพระสงฆ์กับการเมืองไทย

» พระอาจารย์ธรรมโชติ พระมหาเถระแห่งค่ายบ้านบางระจัน

» สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย