ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

เต๋าแห่งฟิสิกส์

บทที่ 1 ฟิสิกส์สมัยใหม่
บทที่ 2 การรู้และการเห็น
บทที่ 3 พ้นภาษา
บทที่ 4 ฟิสิกส์แนวใหม่
บทที่ 5 ศาสนาฮินดู
บทที่ 6 พุทธศาสนา
บทที่ 7 ปรัชญาจีน
บทที่ 8 ลัทธิเต๋า
บทที่ 9 นิกายเซน
บทที่ 10 เอกภาพแห่งสรรพสิ่ง
บทที่ 11 เหนือโลกแห่งความขัดแย้ง
บทที่ 12 จักรวาลอันเคลื่อนไหว
บทที่ 13 ความว่างและรูปลักษณ์

บทที่ 6 พุทธศาสนา

4

6.3  ตถตา

ความเป็นเช่นนั้นเอง พระพุทธเจ้ามิได้ทรงพัฒนาหลักธรรมของพระองค์ให้เป็นหลักปรัชญาที่ตายตัว แต่ทรงถือเป็นหนทางสำหรับการตรัสรู้ คำสอนของพระองค์เกี่ยวกับโลกได้เน้นให้เห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง พระองค์ยังทรงย้ำถึงการเป็นอิสระจากผู้สอนธรรมซึ่งรวมทั้งพระองค์เองด้วย โดยตรัสว่าพระองค์เพียงชี้ทางไปสู่พุทธภาวะและปัจเจกชนแต่ละคนต้องเดินไปสู่จุดหมายด้วยความพยายามของตนเอง ปัจฉิมโอวาทของพระองค์ก่อนปรินิพพานแสดงให้เห็นลักษณะสำคัญของทัศนะต่อโลกของพระองค์ และความเป็นครูซึ่งมีจนวาระสุดท้าย พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นครั้งสุดท้ายว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำกิจให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท” ในสองสามศตวรรษแรกหลังพุทธปรินิพพาน ได้มีมหาสังคายนาหลายครั้งโดยพระเถระชั้นนำในสมัยนั้นได้มาประชุมกันจัดทบทวนวางหลักคำสอนให้แน่นอนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในมหาสังคายนาครั้งที่สี่ที่เกาะลังกา (ศรีสังกา) ศตวรรษแรกของคริสตกาล หลักธรรมที่เคยสืบทอดกันมาด้วยปากก็ได้ถูกบันทึกลงเป็นตัวอักษรเป็นครั้งแรกในภาษาบาลี รู้จักกันในนามพระไตรปิฎกฉบับบาลี และเป็นรากฐานของนิกายหินยาน ในทางตรงกันข้าม นิกายมหายานได้มีรากฐานอยู่บนพระสูตรจำนวนหนึ่ง บันทึกด้วยภาษาสันสกฤต ในราวหนึ่งร้อยถึงสองร้อยปีต่อมา บรรจุคำสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างประณีตบรรจงและลึกซึ้งกว่าพระไตรปิฏกบาลี

นิกายมหายานเรียกตนเองว่ายานใหญ่ (The Great Vehicle) เพราะได้เสนอวิธีการ หรือ “วิธีปฏิบัติด้วยความชำนิชำนาญ” เพื่อบรรลุถึงพุทธภาวะมากมากหลายวิธีแก่ผู้รับคำสอนของตน คำสอนเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ที่เน้นความศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์ จนกระทั่งถึงหลักปรัชญาที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งมีแนวคิดที่เข้ามาใกล้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เป็นอย่างมาก บุคคลแรกที่อธิบายหลักคำสอนตามแนวมหายานและเป็นนักคิดที่ลึกซึ้งที่สุดผู้หนึ่งในหมู่พระเถระของพุทธศาสนาก็คือท่านอัศวโฆษา (Ashvaghosha) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษแรกของคริสตกาล ท่านได้อธิบายแนวความคิดพื้นฐานของพุทธศาสนาแบบมหายาน โดยเฉพาะในหลักธรรมเรื่อง “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ชื่อ “การตื่นขึ้นของศรัทธา” (The Awakdning of Faith) เป็นคัมภีร์ที่ใช้ภาษาซึ่งสละสลวยมากและเข้าใจง่าย คัมภีร์เล่มนี้คล้ายกับคัมภีร์ภควัทคีตาในหลาย ๆ เรื่อง เป็นคัมภีร์เล่มแรกซึ่งถือว่าแสดงหลักธรรมของมหายานและยอมรับกันว่าเป็นคัมภีร์หลักของทุกนิกายของพุทธศาสนาแบบมหายาน ท่านอัศวโฆษาอาจจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อท่านนาคารชุน นักปรัชญาของมหายานซึ่งทรงภูมิปัญญาที่สุด ท่านนาคารชุนได้ใช้วิธีวิเคราะห์เหตุและผล อย่างละเอียดลออในการแสดงข้อจำกัดของความคิดทั้งมวลเกี่ยวกับสัจจะ ท่านได้หักล้างข้อโต้แย้งทางอภิปรัชญาในยุคของท่านได้อย่างชาญฉลาดและได้แสดงให้เห็นว่า โดยปรมัตถ์แล้ว สัจจะมิใช่เป็นสิ่งที่จับฉวยเอาได้ด้วยความคิด ดังนั้นท่านจึงเรียกสัจจะนั้นว่า สุญตา – ความว่าง ซึ่งมีความหมายตรงกันกับคำว่า “ตถตา” หรือ “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ของท่านอัศวโฆษา เมื่อระลึกได้ถึงความไร้สาระของความคิดนึก เราจะประจักษ์สัจจะแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง

<< ย้อนกลับ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย