ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

เต๋าแห่งฟิสิกส์

บทที่ 1 ฟิสิกส์สมัยใหม่
บทที่ 2 การรู้และการเห็น
บทที่ 3 พ้นภาษา
บทที่ 4 ฟิสิกส์แนวใหม่
บทที่ 5 ศาสนาฮินดู
บทที่ 6 พุทธศาสนา
บทที่ 7 ปรัชญาจีน
บทที่ 8 ลัทธิเต๋า
บทที่ 9 นิกายเซน
บทที่ 10 เอกภาพแห่งสรรพสิ่ง
บทที่ 11 เหนือโลกแห่งความขัดแย้ง
บทที่ 12 จักรวาลอันเคลื่อนไหว
บทที่ 13 ความว่างและรูปลักษณ์

บทที่ 6 พุทธศาสนา

3

6.2  อริยสัจสี่

ตามพุทธประวัตินั้น พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสีทันทีหลังการตรัสรู้ของพระองค์ เพื่อเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ พระองค์ทรงแสดงหลักอริยสัจสี่ ซึ่งสรุปแก่นคำสอนของพระองค์ในลักษณะเดียวกับที่แพทย์กระทำในการรักษาผู้ป่วย คือประการแรก ค้นหาสมุฏฐานโรคของมนุษย์จากนั้นก็ยืนยันว่าความเจ็บป่วยนั้นสามารถรักษาให้หายได้ และท้ายที่สุดก็ประกอบยาให้รับประทาน อริยสัจข้อแรก แสดงลักษณะสภาวะของมนุษย์ อันได้แก่ ทุกข์ คือความทุกข์ทนและความผิดหวัง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากเราไม่ยอมรับความจริงของชีวิตที่ว่า สรรพสิ่งรอบตัวเราล้วนไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้นและดับไป” ความคิดที่ว่า ธรรมชาติมีลักษณะเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงนับเป็นรากฐานของพุทธศาสนา ในทัศนะของชาวพุทธ ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อเราต้านกระแสของชีวิตและพยายามยึดเหนี่ยวเอารูปลักษณ์อันใดอันหนึ่งอย่างตายตัว ทั้งที่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นมายา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เหตุการณ์ บุคคล หรือความคิดก็ตาม คำสอนเรื่องความไม่เที่ยง รวมไปถึงความคิดที่ว่าไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตาซึ่งเที่ยงแท้ถาวรเป็นผู้รับรู้ประสบการณ์ทั้งหลายของเรา พุทธศาสนาถือว่าความคิดเรื่องอัตตาของปัจเจกบุคคลเป็นเพียงภาพลวง เป็นอีกรูปหนึ่งของมายา เป็นความคิดนึกที่เฉลียวฉลาดแต่หาความจริงไม่ได้ การยึดติดกับความคิดนี้นำไปสู่ความพลาดหวังเช่นเดียวกับการยึดติดกับความคิดลักษณะอื่น ๆ

อริยสัจข้อที่สอง กล่าวถึงสาเหตุแห่งความทุกข์ คือ ตัณหา ความยึดอยาก การจับฉวยเอาด้วยความอยาก การไขว่คว้าอย่างไร้ประโยชน์ของชีวิตอันเนื่องมาจากทัศนะที่ผิดซึ่งเรียกว่า อวิชชา หรือความไม่รู้ จากอวิชชาเราได้แบ่งโลกซึ่งเรารับรู้ออกเป็นปัจเจกชนและสิ่งต่าง ๆ ที่แยกจากกัน ดังนั้นจึงพยายามที่จะจำกัดขอบเขตของสัจจะซึ่งมีลักษณะเลื่อนไหล ให้อยู่ลักษณะคงที่ตามที่จิตในของเราสร้างขึ้น ตราบเท่าที่ทัศนะเช่นนี้ยังคงอยู่เราก็ตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทนวนเวียน เมื่อเราพยายามที่จะยึดอยู่กับสิ่งซึ่งเราเห็นว่ามั่นคงและเที่ยงแท้ ทั้งที่จริงมันเป็นสิ่งคงอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็ถูกจับอยู่ในวังวนซึ่งทุก ๆ การกระทำก่อให้เกิดการกระทำต่อไปอีก และคำตอบต่อทุกคำถามแฝงไว้ด้วย คำถามใหม่ วังวนอันนี้ในพุทธศาสนาเรียกว่า สังสารวัฏ วังวนแห่งการเกิดและการตาย ถูกผลักดันให้หมุนไปโดย กรรม ลูกโซ่แห่งเหตุและผลอันไม่รู้จบ อริยสัจข้อที่สาม กล่าวว่าความทุกข์ความพลาดหวังอาจทำให้หมดไปได้เป็นไปได้ที่เราจะก้าวพ้นวังวนแห่งสังสารวัฏ หลุดพ้นจากกรรมและลุถึงภาวะแห่งความหลุดพ้นที่เรียกว่า นิพพาน ในภาวะนิพพาน ความคิดที่ผิดพลาดในเรื่องตัวตนซึ่งเป็นเอกเทศได้มลายไป และความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพชีพปรากฏขึ้นอย่างคงที่ในความรับรู้ นิพพานเทียบเท่ากับโมกษะในปรัชญาฮินดู เป็นภาวะการรับรู้ที่ไปพ้นปัญญาอย่างสามัญ และท้าทายต่อคำอธิบายอีกมากมาย การบรรลุนิพพานคือการบรรลุถึงความตื่นหรือพุทธภาวะ อริยสัจข้อที่สี่ คือ โอสถของพระพุทธเจ้าซึ่งใช้บำบัดรักษาความทุกข์ทั้งมวล นั่นคือ อริยมรรคมีองค์แปด หนทางแห่งการพัฒนาตนเองสู่พุทธภาวะ องค์มรรคสองแรกคือสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ นั่นคือญาณทัสนะที่กระจ่างชัด ส่องเข้าไปภายในสภาวะของมนุษย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นที่จำเป็น องค์มรรคสี่ข้อต่อมาเป็นเรื่องการกระทำที่ถูกต้อง อันประกอบขึ้นเป็นวินัยของวิถีชีวิตของชาวพุทธ เป็นทางสายกลางระหว่างทางสุดโต่งสองสาย องค์มรรคสองข้อสุดท้าย คือ สัมมาสติและสัมมาสมาธิ ในตอนท้ายได้บรรยายถึงประสบการณ์โดยตรงต่อสัจจะ ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์

<< ย้อนกลับ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย