ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
บทที่ 1 ฟิสิกส์สมัยใหม่
บทที่ 2 การรู้และการเห็น
บทที่ 3 พ้นภาษา
บทที่ 4 ฟิสิกส์แนวใหม่
บทที่ 5 ศาสนาฮินดู
บทที่ 6 พุทธศาสนา
บทที่ 7 ปรัชญาจีน
บทที่ 8 ลัทธิเต๋า
บทที่ 9 นิกายเซน
บทที่ 10 เอกภาพแห่งสรรพสิ่ง
บทที่ 11 เหนือโลกแห่งความขัดแย้ง
บทที่ 12 จักรวาลอันเคลื่อนไหว
บทที่ 13 ความว่างและรูปลักษณ์
บทที่ 5 ศาสนาฮินดู
3
5.2 กรรม
โครงสร้างพื้นฐานของเทพปกรณัมของฮินดูก็คือ การสร้างโลกโดยการพลีตนเองของพระเจ้า การพลี ซึ่งมีความหมายเดิมว่า กระทำให้ศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าได้กลายเป็นโลกและในที่สุดได้กลับเป็นพระเจ้าอีกครั้ง กิจกรรมแห่งการสร้างสรรค์นี้เรียกว่า ลีลา (lila) การแสดงของพระเจ้า และโลกก็คือเวทีแห่งการแสดงอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เรื่องราวแห่งลีลานี้มีลักษณะเป็นปาฏิหาริย์อยู่มากดังเช่นเรื่องเกี่ยวกับเทพของฮินดูทั่ว ๆ ไป พรหมันเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์ผู้ยิ่งใหญ่ โดยได้แปลงตนเองเป็นโลก โดยอาศัย พลังสร้างสรรค์อย่างปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นความหมายเดิมของคำว่า มายา (maya) ในคัมภีร์ฤคเวท คำว่ามายาซึ่งเป็นคำสำคัญที่สุดคำหนึ่งในปรัชญาอินเดีย ได้กลายความหมายไปเมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายศตวรรษจาก พลัง หรือ อำนาจ ของพระผู้สร้าง กลับกลายเป็น สภาวะทางจิตของบุคคลซึ่งตกอยู่ใต้อำนาจของปาฏิหาริย์ของพรหมัน ในขณะใดที่เราหลงยึดเอารูปลักษณะนับหมื่นนับแสนของลีลาของพระเจ้าว่าเป็นสัจจะ โดยมิได้ยอมรับความเป็นเอกภาพของพรหมันซึ่งก่อกำเนิดแก่รูปลักษณ์เหล่านี้ทั้งหมด เรากำลังตกอยู่ใต้มนต์สะกดของมายา ดังนั้น มายาจึงมิได้หมายความว่าโลกคือภาพลวง
ดังที่กล่าวกันทั่วไป ภาพลวงเพียงแต่คงอยู่ทัศนะของเราเท่านั้น หากเราคิดว่ารูปร่างและโครงสร้างสรรพสิ่งและเหตุการณ์รอบ ๆ ตัวเราเป็นสิ่งที่แท้จริงของธรรมชาติ แทนที่จะตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความคิดในการวัดค่าและจำแนกแจกแจงของจิตใจของเราเท่านั้น มายาก็คือภาพลวงแห่งการยึดเอาความคิดเหล่านั้นว่าเป็นความจริงหลงยึดเอาแผนที่ว่าเป็นตัวเขตแดน ในทัศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของฮินดู รูปลักษณ์ทุกรูปเป็นสิ่งสัมพันธ์ เลื่อนไหล และเป็นมายาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นลวงมนุษย์ โดยปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง โลกแห่งมายาเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องกัน เนื่องจากลีลาของพระเจ้า เป็นการแสดงซึ่งเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ แรงแห่งการเคลื่อนไหวของการแสดงนี้ก็คือ กรรม ซึ่งเป็นความคิดที่สำคัญอีกประการหนึ่งในแนวคิดของอินเดีย กรรม หมายถึง การกระทำ เป็นหลักการอันมีชีวิตชีวาของการแสดง จักรวาลทั้งหมดเป็นจักรวาลแห่งการกระทำซึ่งทุก ๆ สิ่งเชื่อมโยงอย่างเคลื่อนไหวกับสิ่งอื่น ในภาษาของ คีตา กรรม คือ แรงกระทำแห่งการสร้างสรรค์ ซึ่งให้กำเนิดแก่สรรพชีพ เช่นเดียวกับคำว่ามายา ความหมายของกรรมก็ถูกจำกัดลงมาจากความหมายระดับกว้างขวางที่สุด ครอบคลุมทั้งเอกภพ สู่ระดับที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในแง่จิตวิทยา ตราบใดที่โลกทัศน์ของเรายังคงมีพื้นฐานอยู่บนความแบ่งแยกสรรพสิ่งออกเป็นส่วน ๆ ตราบเท่าที่เราตกอยู่ใต้มนต์ของมายา คิดว่าตัวเรานั้นแยกจากสิ่งแวดล้อม และสามารถกระทำสิ่งใด ๆ ได้อย่างอิสระ ตราบนั้นเรากำลังถูกยึดเหนี่ยวโดยกรรม การหลุดพ้นจากกรรม หมายถึง การตระหนักรู้ในเอกภาพและความบรรสานสอดคล้องของธรรมชาติ ซึ่งรวมทั้งมนุษย์ และกระทำการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความรุ้นั้น ในประเด็นนี้ ในคีตาได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า การกระทำทั้งมวล เกิดขึ้นภายใต้กาลเวลาโดยการโยงใยของแรงกระทำของธรรมชาติ แต่มนุษย์ได้หลงผิดด้วยความเห็นแก่ตัว คิดว่าตัวเขาเองคือผู้กระทำ แต่สำหรับผู้ที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างแรงกระทำของธรรมชาติและการกระทำ จะเข้าใจการกระทำต่อกันและกันของแรงกระทำของธรรมชาติ และไม่ตกเป็นทาสของมัน