สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การเดินทางในสมัยโบราณ
การเดินทางในสมัยกลาง
การเดินทางเพื่อทำสงครามครูเสด
การเดินทางเพื่อจาริกแสวงบุญ
การเดินทางในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
การเดินทางในสมัยใหม่
การท่องเที่ยวในประเทศไทย
อนุสาร อ.ส.ท.
การทำงานท่องเที่ยว
ปีท่องเที่ยวไทย
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน
วิวัฒนาการการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวในประเทศไทย
การท่องเที่ยวของไทย ก่อนการพัฒนาทางบกในสมัยรัชกาลที่ 5
เป็นการท่องเที่ยวหรือการเดินทางของขุนนาง และพ่อค้ามากกว่าสามัญชน
ทั้งนี้เพราะการเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก ขาดระบบการคมนาคมที่ดี
การคมนาคมทางบกใช้เกวียน ช้าง ม้า และวัว เป็นพาหนะในการขนส่ง
สำหรับทางน้ำใช้เรือติดต่อระหว่างแม่น้ำลำคลองต่างๆ ภายในประเทศ
สำหรับการติดต่อกับต่างประเทศก็ใช้เรือใบหรือเรือสำเภาเป็นพาหนะที่สำคัญในการเดินทาง
หลังจากที่ประเทศไทย ได้เปิดการค้าขายกับต่างประเทศอย่างเสรี
ในปีพ.ศ.2398 ได้มีการปรับปรุงการค้าขายกับต่างประเทศให้ทันสมัย
และอำนวยความสะดวกให้แก่พ่อค้าต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
และมีการก่อสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ เชื่อมติดต่อกับภูมิภาคต่างๆ
และก่อสร้างทางเกวียนเชื่อมระหว่างเมืองและสถานีรถไฟทางเกวียนดังกล่าวแล้วได้ขยายเป็นถนนรถยนต์ในเวลาต่อมา
หลังจากสร้างทางรถไฟ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
ผู้บัญชาการรถไฟในขณะนั้น ได้จัดตั้งแผนกโฆษณาของการรถไฟขึ้น ในปี พ.ศ. 2467
เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมทางด้านการท่องเที่ยว
และอำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในเมืองไทย
โดยมีการส่งเรื่องราวของเมืองไทยไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา ต่อมา
ทำหน้าที่รับรองและให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทย
รวมทั้งโฆษณาเผยแพร่ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวต่างประเทศ
ต่อมางานนี้ก็ได้ย้ายตามกรมพระกำแพงฯ ไปที่กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม
ต่อมาจึงค่อยย้ายมาขึ้นกับกรมโฆษณาการ สำนักนายกรัฐมนตรี
ในปี พ.ศ.2479
กระทรวงเศรษฐการเสนอโครงการบำรุงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยมีแผนงาน 3 ประการ
1. แผนงานโฆษณาชักชวนนักท่องเที่ยว
2. แผนงานรับรองนักท่องเที่ยว
3. แผนงานบำรุงสถานที่ท่องเที่ยวและที่พัก (ททท., ม.ม.ป. : 1)
งานดังกล่าวดำเนินติดต่อเรื่อยมา จนกระทั่งหยุดชะงักระยะหนึ่ง
ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ในวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2492 คณะรัฐมนตรี
ได้ให้โอนกิจการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมมาอยู่กับกรมโฆษณาการ
สำนักนายกรัฐมนตรีและให้เรียกหน่วยงานนี้ว่า สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว ใน
ปีพ.ศ.2493 หน่วยงานดังกล่าวแล้ว ได้ยกฐานะเทียบเท่ากอง เรียกว่า
สำนักงานท่องเที่ยว
ในปีพ.ศ.2502 ได้มีประกาศราชกฤษฎีกา
แยกสำนักงานท่องเที่ยวออกจากกรมประชาสัมพันธ์หรือกรมโฆษณาการ
จัดตั้งใหม่ให้เป็นหน่วยงานอิสระขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานนี้ว่า
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีชื่อย่อว่า อ.ส.ท. (ททท., ม.ม.ป.
: 2) โดยเปิดดำเนินการขึ้น ณ อาคารสนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา
ฝั่งตรงข้ามวัดเบญจมบพิตร ในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2503 โดยมีท่านพลเอกเฉลิมชัย
จารุวัสตร์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก และถือว่า
วันนี้เป็นวันกำเนิดขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
หลังจากประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทำให้การพัฒนาประเทศขยายตัวขึ้นเกือบทุกด้าน การติดต่อระหว่างประเทศ
ประกอบกับการคมนาคมที่ได้พัฒนาจนทำให้การเดินทางสะดวก รวดเร็ว
ทั้งภายในและระหว่างประเทศ จึงทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวขึ้นอย่างมาก ขอบข่าย
อำนาจหน้าที่ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เริ่มมีจุดจำกัด
และข้อบกพร่องในการแก้ปัญหาต่างๆ
เพื่อให้ทันกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อ.ส.ท.
จึงได้ร่างพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและได้ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ซึ่งทำหน้าที่แทนรัฐสภา ในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2522 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับพิเศษ เล่มที่ 96 ตอนที่ 72 วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2522 ในพระราชบัญญัติฉบับนี้
ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ของ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็น
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้ชื่อย่อว่า ททท. (ททท., ม.ม.ป. : 2)
โดยมีวัตถุประสงค์และนโยบายหลัก ดังนี้ (ททท., 2538 : 12 - 14)
วัตถุประสงค์
-
ส่งเสริมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตลอดจนการประกอบอาชีพของคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
-
เผยแพร่ประเทศไทยในด้านความงามของธรรมชาติ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา และวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ตลอดจนกิจการอย่างอื่น อันจะเป็นการชักจูงให้มีการเดินทางท่องเที่ยว
-
อำนวยความสะดวกและปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว
-
ส่งเสริมความเข้าใจดี และความเป็นไมตรีจิตระหว่างประชาชน และระหว่างประเทศ โดยอาศัยการท่องเที่ยว
-
ริเริ่มให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวและเพื่อพัฒนาปัจจัยพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว
นโยบายหลักที่สำคัญ
1.
ส่งเสริมชักจูงให้แก่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางมาสู่ประเทศไทย
เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้
เป็นเงินตราต่างประเทศเข้ามาเพิ่มพูนเศรษฐกิจส่วนรวมโดยรีบด่วน
2. ขยายแหล่งท่องเที่ยวให้กระจายไปในท้องถิ่น
เพื่อเป็นการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวให้ถึงประชากรในทุกภูมิภาค
3. อนุรักษ์และฟื้นฟูสมบัติ วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้คงความเป็นเอกลักษณ์ของไทยไว้ด้วยดีที่สุด
4.
พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการด้านการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานที่ดีเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนให้มากขึ้น
5. เพิ่มความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
สามารถให้เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางต่างๆ ในประเทศไทย
ด้วยความมั่นใจในความปลอดภัยของร่างกายและทรัพย์สินของตนและหมู่คณะ
6. ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศ
เฉพาะผู้มีกลุ่มรายได้น้อยและเยาวชน
เพื่อเป็นการเพิ่มสวัสดิการด้านการท่องเที่ยวให้แก่คนไทย
7. สร้างกำลังคนที่เป็นคนไทย เข้าทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มากที่สุด
8.
ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมอันเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
ททท.สามารถปฏิบัติงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประเทศได้เจริญรุดหน้าอย่างเป็นที่น่าพอใจ
จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยเพียงประมาณ 8
หมื่นคนในปี พ.ศ.2503 กระทั่งถึงวันที่มีจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยวก็ขยายตัวเติบใหญ่
กลายเป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่นำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 ยืนยงมานับสิบปีต่อเนื่องกัน
และวันนี้ประเทศไทยยังสามารถกล่าวอ้างได้ว่า ได้ก้าวสู่ความเป็น HUB
หรือสถานีกลางสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ไม่เพียงเท่านั้น ในด้านตลาดท่องเที่ยว ตลาดการท่องเที่ยวของคนไทยก็ขยายตัวตัว
จากเดิมที่เคยมุ่งเน้นแต่ชาติตะวันตกที่สำคัญ
ในปัจจุบันไทยเรามีตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
มีสำนักงานประจำอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทำการบุกเบิกตลาดอยู่อย่างเข้มแข็งหลากหลาย
ในยามที่นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งมีปัญหา
ก็สามารถเพิ่มการทำงานในอีกภูมิภาคหนึ่ง ทำให้จำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวยั่งยืน
ไม่ตกต่ำไปตามสภาวการณ์ต่างๆ ที่ผันแปรมากจนเกินไป
ในส่วนของการท่องเที่ยวแห่งภายในประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยเราก็กระจายตัวกว้างขวางไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
แหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ มากมายหลายหลากเปิดตัวกว้างขวาง
จนถึงวันนี้อาจนับได้ว่าแทบไม่มีภูเขาสูงและทะเลลึกแห่งใดในประเทศไทยที่ปราศจากรอยเท้าของนักท่องเที่ยวเดินทางไป
เยี่ยมเยือน
วัฒนธรรมประเพณีของไทยและของผู้คนต่างเผ่าพันธุ์ในประเทศที่เคยถดถอยขาดความเจริญงอกงาม
ถึงวันนี้ก็ได้รับการปัดฝุ่นนำกลับมาสู่ความสนใจของผู้คนอีกครั้งและพัฒนาให้มีชีวิตชีวาต่อไป
ภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยหลายหลาก เช่น การทำเครื่องหัตถกรรมล้ำค่าต่างๆ
ที่เคยถูกหลงลืม ไร้ผู้สืบทอด ใกล้สูญหาย
ถึงวันนี้ได้รับการนำกลับมาปรับปรุงให้ทันสมัยและก้าวคืนเข้าสู่การรับใช้สังคมอีกครั้งอย่างน่าภาคภูมิใจ
การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนเราเองก็ทำให้เกิดการกระจายรายได้ในประเทศอย่างกว้างขวาง
เงินตราจากนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนผู้ได้เปรียบในสังคม
ก็ได้ช่วยกระจายตรงลงไปสู่ชุมชนรากหญ้า
ชาวบ้านในพื้นที่ชนบทห่างไกลได้รับส่วนแบ่งตามความเหมาะสม
ชาวบ้านในหลายแห่งมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับปัญญาชนและคนร่ำรวยจากในเมือง
ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนภูมิปัญญา สร้างโอกาสที่ดีให้กับชีวิตในด้านต่างๆ
อย่างกว้างขวาง
แน่นอนที่ทุกสรรพสิ่งย่อมมีสองด้าน
การท่องเที่ยวก็มีส่วนในการนำความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมาะสมบางประการเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยว
เช่น การท่องเที่ยวทางทะเลที่ไม่มีการจำกัดจำนวน
มีการทิ้งสมอทำลายปะการังหรือการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบางประเภทที่มีส่วนเข้าไปทำให้วิถีชีวิตในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
แต่เกือบทั้งหมดนั้นก็มักจะเป็นการกระทำไปอย่างหวังดีแต่ไม่เข้าใจ
หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เมื่อคนที่ตั้งใจเข้าไปส่งเสริมการท่องเที่ยว
แต่เป็นคนต่างถิ่นเข้าไปพบกับเจ้าของบ้านที่ก็ยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีอะไรดีพอที่จะอวด
การจัดการทั้งหลายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเวลาอันรวดเร็วนั้นก็อาจมีการหลงทางไปบ้าง
ซึ่งเมื่อชุมชนเข้มแข็งแล้ว ด้วยเศรษฐกิจการเมืองและการศึกษาที่พัฒนาขึ้น
การจัดทำแผนที่ ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ดีขึ้น
ส่งผลให้ประเทศยิ่งมีความพร้อมสำหรับการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างแดน
เป็นยิ้มที่เต็มอิ่มสบายและออกจากภายในที่มีความสุขมากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อมีการริเริ่มการทำงานใด ๆ ขึ้น อุปสรรค
ความยากลำบากก็เป็นสิ่งที่มาคู่กัน การทำงานด้านการท่องเที่ยวก็เช่นกัน
ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มีมากมาย ในช่วงแรกของการทำงานโดยพนักงาน อ.ส.ท. ไม่กี่คนนั้น
นับเป็นช่วงเวลาที่ควรเชิดชูไว้เป็นตัวอย่างในด้านความมุ่งมั่น มานะอดทน
และผู้นำในการนั้นคือท่านผู้อำนวยการคนแรก พลเอกเฉลิมชัย จารุวัสตร์
ซึ่งเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
ในระยะเริ่มแรก ปัญหาและอุปสรรคสำคัญของการทำงานคือ พนักงานมีจำนวนน้อย
แต่ภาระหน้าที่ในการทำงานมีมากมายในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญ
ภาระด้านการท่องเที่ยวก็เป็นงานใหม่ ไม่มีใครเคยทำงานด้านนี้มาก่อน
ภาระที่พนักงานแต่ละคนได้รับจึงเป็นภาระงานแบบรวม ๆ
คือทุกคนต้องทำได้ทุกอย่างและพร้อมที่จะกระโดดเข้าไปช่วยเหลือกันได้ในทุกด้าน
ทุกเวลาที่จำเป็น