ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

ปรมัตถธรรม

จิตปรมัตถ์
เจตสิกปรมัตถ์
รูปปรมัตถ์
นิพพานปรมัตถ์
สงเคราะห์ปรมัตถธรรม 4
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ขันธ์ 5

รูปปรมัตถ์

รูปปรมัตถ์เป็นสภาวะธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ [ธรรมสังคณีปกรณ์ รูปกัณฑ์ ข้อ 503] มีปัจจัยปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นและดับไป เช่นเดียวกัน กับจิตและเจตสิก

รูปปรมัตถ์มี 28 รูป หรือ 28 ประเภท และมีความหมายไม่มีเหมือนที่เข้าใจกันว่า โต๊ะเป็นรูปหนึ่ง เก้าอี้เป็นรูปหนึ่ง หนังสือเป็นรูปหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น ในรูปปรมัตถ์ 28 ประเภทนั้น มีรูปที่จิตรู้ได้ทางตา คือ มองเห็นได้เพียงรูปเดียว คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ส่วนอีก 27 รูปนั้น จิตเห็นไม่ได้ แต่รู้ได้ทางอื่นตามประเภทของรูปนั้นๆ เช่น เสียงรู้ได้ทางหู เป็นต้น

ถึงแม้ว่าจะเห็นจิตและเจตสิกด้วยตาไม่ได้ เช่นเดียวกับรูป 27 รูปที่มองไม่เห็น แต่จิตและเจตสิกก็ไม่ใช่รูปปรมัตถ์ เพราะจิตและเจตสิกเป็นปรมัตถธรรมที่รู้อารมณ์ ส่วนรูปเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ รูปปรมัตถธรรมเป็นสังขารธรรม มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น รูปๆ หนึ่งอาศัยรูปอื่นเกิดขึ้น ฉะนั้น จะมีรูปเกิดขึ้นเพียงรูปเดียวไม่ได้ ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกัน และอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูปรวมกันเป็น 1 กลุ่มเล็กๆ ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้เลย ภาษาบาลีเรียกว่า 1 กลาป

รูปเป็นสภาพธรรมที่เล็กละเอียดมาก เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา รูปกลาปหนึ่งเกิดขึ้น จะดับไปเมื่อจิตเกิดดับ 17 ขณะ ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะจิตที่เห็น และจิตที่ได้ยินขณะนี้ ซึ่งปรากฏเสมือนว่าพร้อมกันนั้น ก็เกิดดับห่างไกลกันเกินกว่า 17 ขณะจิต ฉะนั้น รูปที่เกิดพร้อมกับจิตที่เห็น ก็ดับไปก่อนที่จิตได้ยินจะเกิดขึ้น

รูปแต่ละรูปเล็กละเอียดมาก ซึ่งเมื่อแตกย่อยรูปที่เกิดดับรวมกันอยู่ออกจนละเอียดยิบ จนแยกต่อไปไม่ได้อีกแล้วนั้น ในกลุ่มของรูป (กลาปหนึ่ง) ที่เล็กที่สุดที่แยกอีกไม่ได้เลยนั้น ก็มีรูปรวมกันอย่างน้อยที่สุด 8 รูป เรียกว่า อวินิพโภครูป 8 คือ

มหาภูตรูป (รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน) 4 ได้แก่

  • ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) เป็นรูปที่อ่อนหรือแข็ง 1 รูป
  • อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เป็นรูปที่เอิบอาบ หรือเกาะกุม 1 รูป
  • เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) เป็นรูปที่ร้อน หรือเย็น 1 รูป
  • วาโยธาตุ (ธาตุลม) เป็นรูปที่ไหวหรือตึง 1 รูป

มหาภูตรูป 4 นี้ต่างอาศัยกันเกิดขึ้น จึงแยกกันไม่ได้เลย และมหาภูตรูป 4 นี้เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก 4 รูปที่เกิดร่วมกับมหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน คือ

  • วัณโณ (แสงสี) เป็นรูปที่ปรากฏทางตา 1 รูป
  • คันโธ (กลิ่น) เป็นรูปที่ปรากฏทางจมูก 1 รูป
  • รโส (รส) เป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น 1 รูป
  • โอชา (อาหาร) เป็นรูปที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป 1 รูป

รูป 8 รูปนี้แยกกันไม่ได้เลย เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุด ที่เกิดพร้อมกันและดับพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จะมีแต่มหาภูตรูป 4 โดยไม่มี อุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) 4 รูปนี้ไม่ได้เลย

มหาภูตรูป 4 เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยของอุปาทายรูปที่เกิดร่วมกันในกลาปเดียวกัน แต่แม้ว่าอุปทายรูป จะเกิดพร้อมกับ มหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน แต่อุปทายรูป ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยให้มหาภูตรูปเกิด ฉะนั้น มหาภูตรูป 4 จึงเกิดพร้อมกับอุปาทายรูป โดยมหาภูตรูปเป็นปัจจัย คือเป็นที่อาศัยของอุปาทายรูป และอุปาทายรูปเกิดพร้อมกับมหาภูตรูปโดยอาศัยมหาภูตรูป แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยให้มหาภูตรูปเกิด

รูปทั้งหมดมี 28 รูป เป็นมหาภูตรูป 4 เป็นอุปาทายรูป 24 เมื่อมหาภูตรูป 4 ไม่เกิด อุปาทายรูป 24 ก็มีไม่ได้เลย การกล่าวถึงรูป 28 รูปนั้นกล่าวได้หลายนัย แต่จะขอกล่าวโดยนัยที่สัมพันธ์กัน เพื่อสะดวกแก่การเข้าใจและการจำดังนี้ คือ กลุ่มของรูปแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละกลาป นั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วยังไม่ดับไปทันที สภาวรูป มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะ

เมื่อรูปเกิดขึ้นขณะแรกนั้นเป็น อุปจยรูป 1
ขณะที่รูปเจริญขึ้นเป็น สันตติรูป 1
ขณะที่รูปเสื่อมลงเป็น ชรตารูป 1
ขณะที่รูปดับเป็น อนิจจตารูป 1
รวมเป็น ลักขณรูป 4

ลักขณรูป 4 นี้เป็นอสภาวรูป คือ เป็นรูปที่ไม่มีสภาวะต่างหากเฉพาะของตน แต่สภาวรูปทุกรูปนั้น ย่อมมีลักษณะที่ต่างกันเป็น 4 ลักษณะ คือ ขณะที่รูปเกิดขึ้นไม่ใช่ขณะที่รูปเจริญขึ้น และขณะที่รูปเสื่อมก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังเจริญ และขณะที่ดับก็ไม่ใช่ขณะที่เสื่อม กล่าวได้ว่าอุปจยรูปและสันตติรูปคือขณะที่เกิดแล้วยังไม่ดับ ส่วนชรตารูปและอนิจจตารูปนั้นคือ ขณะที่ใกล้จะดับและขณะดับ

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 เป็น 12 รูปนอกจากนั้นยังมี

ปริจเฉทรูป คือ อากาสรูป ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลาปทุกๆ กลาป ทำให้รูปแต่ละกลาปไม่ติดกัน ไม่ว่ารูปจะปรากฏเล็ก ใหญ่ขนาดใดก็ตาม ให้ทราบว่ามีอากาสรูปคั่นอยู่ระหว่างทุกๆ กลาปอย่างละเอียดที่สุด ทำให้รูปแต่ละกลาปแยกออกจากกันได้ ถ้าไม่มีปริจเฉทรูปคั่นแต่ละกลาป รูปทั้งหลายก็ติดกันหมด แตกแยกกระจัดกระจายออกไม่ได้เลย แต่แม้รูปที่ปรากฏว่าใหญ่โต ก็สามารถแตกย่อยออกได้อย่างละเอียดที่สุดนั้น ก็เพราะมีอากาสธาตุ คือ ปริจเฉทรูปคั่นอยู่ทุกๆ กลาปนั่นเอง ฉะนั้นปริจเฉทรูปจึงเป็นอสภาวรูปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่มีลักษณะเฉพาะของตนที่เกิดขึ้นต่างหาก แต่เกิดคั่นอยู่ระหว่างกลาปต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั่นเอง

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 เป็น 13 รูป

ไม่ว่ารูปจะเกิดที่ใด ภพภูมิใดก็ตาม จะเป็นรูปที่มีใจครอง หรือไม่มีใจครองก็ตาม จะปราศจากรูป 13 รูปนี้ไม่ได้เลย

ส่วนรูปที่มีใจครอง ซึ่งเป็นรูปของสัตว์ บุคคลต่างๆ ในภพภูมิที่มีขันธ์ 5 นั้น มีปสาทรูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน (ปัจจัย) ดังนี้ คือ
จักขุปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ 1 รูป
โสตปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับเสียงได้ 1 รูป
ฆานปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับกลิ่นได้ 1 รูป
ชิวหาปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับรสได้ 1 รูป
กายปสาทรูป เป็นรูปที่กระทบกับเย็น ร้อน (ธาตุไฟ) 1 อ่อน แข็ง (ธาตุดิน) 1 ตึง ไหว (ธาตุลม) 1
รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 เป็น 18 รูป

รูปที่มีใจครองคือมีจิตเกิดกับรูปนั้น จิตทุกขณะจะต้องเกิดที่รูปตามประเภทของจิตนั้นๆ คือ จักขุวิญญาณทำกิจเห็น เกิดที่จักขุปสาทรูป โสตวิญญาณทำกิจได้ยิน เกิดที่โสตปสาทรูป ฆานวิญญาณทำกิจได้กลิ่น เกิดที่ฆานปสาทรูป ชิวหาวิญญาณทำกิจลิ้มรส เกิดที่ชิวหาปสาทรูป กายวิญญาณทำกิจรู้โผฏฐัพพะ (ธาตุ ดิน ไฟ ลม) เกิดที่กายปสาทรูป

จิตอื่นๆ นอกจากนี้เกิดที่รูปๆ หนึ่ง เรียกว่า หทยรูป เพราะเป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 + หทยรูป 1 เป็น 19 รูป

รูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานทุกๆ กลาป จะต้องมี ชีวิตินทริยรูป เกิดร่วมด้วยทุกกลาป ชีวิตินทริยรูป รักษารูปที่เกิดร่วมกันในกลาปหนึ่งๆ ให้เป็นรูปที่ดำรงชีวิต ฉะนั้น รูปของสัตว์บุคคลที่ดำรงชีวิตจึงต่างกับรูปทั้งหลายที่ไม่มีใจครอง

 

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 + หทยรูป 1 + ชีวิตินทริยรูป 1 เป็น 20 รูป

การที่สัตว์บุคคลทั้งหลายโดยทั่วไปต่างกัน เป็นหญิงและชายนั้นเพราะภาวรูป 2 คือ

  • อิตถีภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศหญิง
  • ปุริสภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศชาย

ในแต่ละบุคคลจะมีภาวรูปหนึ่งภาวรูปใด คือ อิตถีภาวรูป หรือปุริสภาวรูปเท่านั้น และบางบุคคลก็ไม่มีภาวรูปเลย เช่น พรหมบุคคลในพรหมโลก และผู้ที่เป็นกระเทย

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 + หทยรูป 1 + ชีวิตินทริยรูป 1 + ภาวรูป 2 เป็น 22 รูป

การที่รูปของสัตว์บุคคลทั้งหลาย เคลื่อนไหวไปได้เพราะมีจิตนั้น ก็จะต้องมีรูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานด้วย เพราะถ้ามีเพียง รูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้น จะเคลื่อนไหวไปมาทำกิจธุระใดๆ ไม่ได้เลย การที่รูปร่างกายจะเคลื่อนไหวทำกิจการงานต่างๆ ได้นั้น จะต้องมี วิการรูป 3 รูป คือ

  • ลหุตารูป เป็นภาวะที่เบา ไม่หนักของรูป ดังเช่น อาการของคนไม่มีโรค
  • มุทุตารูป เป็นภาวะที่อ่อน ไม่กระด้างของรูป ดังเช่น หนังที่ขยำไว้ดีแล้ว
  • กัมมัญญตารูป เป็นภาวะที่ควรแก่การงานของรูป ดังเช่น ทองคำที่หลอมไว้ดีแล้ว

วิการรูป 3 รูปนี้เป็นอสภาวรูป เป็นรูปที่ไม่มีสภาวะต่างหากเฉพาะของตน เป็นอาการวิการของมหาภูตรูปคือ เบา อ่อนและควรแก่การงาน

วิการรูป 3 เป็นรูปที่เกิดภายในสัตว์บุคคลเท่านั้น รูปที่ไม่มีใจครองไม่มีวิการรูป 3 เลย และวิการรูป 3 นี้ไม่แยกกันเลย ในกลาปใดมีลหุตารูป กลาปนั้นก็มีมุทุตารูปและกัมมัญญตารูปด้วย นอกจากนั้น เมื่อจิตต้องการเคลื่อนไหว ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ร่างกายส่วนนั้นจะต้องมีวิการรูปที่เกิดจากอุตุ (ความสม่ำเสมอของธาตุเย็นร้อน) เป็นสมุฏฐาน และมีวิการรูปที่เกิดจากอาหาร (โอชารูป) เป็นสมุฏฐานด้วย มิฉะนั้นแล้ว แม้จิตต้องการจะเคลื่อนไหว รูปก็เคลื่อนไหวไม่ได้ เช่น ผู้ที่เป็นอัมพาตหรือเคล็ดยอกขัด กระปลกกระเปลี้ย เป็นต้น

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 + หทยรูป 1 + ชีวิตินทริยรูป 1 + ภาวรูป 2 + วิการรูป 3 เป็น 25 รูป

รูปที่มีใจครองนั้น เมื่อจิตต้องการให้รูปแสดงความหมายทางกาย ตามที่จิตรู้ในอาการนั้นขณะใด ขณะนั้นจิตเป็นสมุฏฐานให้ กายวิญญัติรูป คือ อาการพิเศษที่มีความหมายของรูปเกิดขึ้น ตามที่จิตรู้ในอาการนั้นทางตา หรือทางหน้าหรือท่าทาง เช่น ถลึงตา ยิ้มเยาะ เหยียดหยาม หรือห้ามปราม เป็นต้น เมื่อจิตไม่ต้องการให้รูปแสดงความหมาย กายวิญญัติรูปก็ไม่เกิด

ขณะใดที่จิตเป็นปัจจัยให้เกิดเสียงทางวาจา ซึ่งเป็นการพูด การเปล่งเสียงให้รู้ความหมาย ขณะนั้นจิตเป็นสมุฏฐาน คือ เป็นปัจจัยให้ วจีวิญญัติรูป เกิดขึ้นกระทบฐานที่เกิดของเสียงต่างๆ เช่น ริมฝีปาก เป็นต้น ถ้าวจีวิญญัติรูปไม่เกิด การพูด หรือการเปล่งเสียงต่างๆ ก็มีไม่ได้

กายวิญญัติรูปและวจีวิญญัติรูป เป็นอสภาวรูปที่เกิดและดับพร้อมกับจิต

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 + หทยรูป 1 + ชีวิตินทริยรูป 1 + ภาวรูป 2 + วิการรูป 3 + วิญญัติรูป 2 เป็น 27 รูป

ในบางแห่งจะรวมวิการรูป 3 และวิญญัติรูป 2 เป็นวิการรูป 5

เสียงหรือ สัททรูป ไม่ใช่วจีวิญญัติรูป เสียงเป็นรูปที่กระทบกับโสตปสาทรูป เป็นปัจจัยให้เกิดโสตวิญญาณจิต เสียงบางเสียงก็เกิดจากจิต และบางเสียงก็ไม่ได้เกิดจากจิต เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงลมพายุ เสียงเครื่องยนต์ เสียงกลอง เสียงวิทยุ เสียงโทรทัศน์ เป็นต้น

รวมอวินิพโภครูป 8 + ลักขณรูป 4 + ปริจเฉทรูป 1 + ปสาทรูป 5 + หทยรูป 1 + ชีวิตินทริยรูป 1 + ภาวรูป 2 + วิการรูป 3 + วิญญัติรูป 2 + สัททรูป 1 เป็น 28 รูป

ในบางแห่งแสดงจำนวนของรูปต่างกัน เช่น ในอัฏฐาสาลินี รูปกัณฑ์ ปกิณณกกถา แสดงรูป 25 คือ รวมธาตุดิน ไฟ ลม เป็นโผฏฐัพพายตนะ (รูปที่กระทบกายปสาท) 1 รูป รวมกับหทยรูปอีก 1 รูป จึงเป็นรูป 26

เมื่อรูปๆ หนึ่งเกิดขึ้นจะเกิดพร้อมกับรูปอีกกี่รูป รวมกันเป็นกลาปหนึ่งๆ นั้น ย่อมต่างกันไปตามประเภทของรูปนั้นๆ และการจำแนกรูป 28 รูปมีหลายนัย ซึ่งจะกล่าวถึงพอสมควรในภาคผนวก

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย