สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ความหมายการเมืองการปกครอง
รัฐ (State)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม
รัฐธรรมนูญ (Constitution)
กฎหมาย (Law)
อำนาจอธิปไตย
รัฐสภา พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง
ประชาชนกับบทบาททางการเมือง
ลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การเมืองการปกครองไทย
ระบบเศรษฐกิจและระบบการปกครอง
ธรรมาภิบาล
บรรณานุกรม
อำนาจอธิปไตย
ลักษณะของอำนาจอธิปไตย
แม้ว่าอำนาจอธิปไตยจะเป็นอำนาจตามนามธรรมก็ตาม แต่นักปราชญ์ได้กำหนดลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยไว้ 4 ประการ คือ
1. ความเด็ดขาด (Absoluteness)
2. การทั่วไป (Comprehensiveness)
3. ความถาวร (Permanence)
4. แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility)
1. ความเด็จขาดหรืออำนาจสมบูรณ์ (Absoluteness) คือ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจเหนืออำนาจอื่นใด และเป็นอำนาจที่มีความสมบูรณ์ในตัวของมันเองโดยไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยอำนาจอื่น ซึ่งความสมบูรณ์ของอำนาจนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความเด็ดขาดและสามารถใช้บังคับได้ทุกเมื่อโดยการออกกฎหมายมาบังคับ แต่การจะใช้บังคับนั้นรัฐจะต้องคำนึงถึงหลักศีลธรรมอันดีงามของสังคมด้วย เพราะถ้ามีสิ่งใดที่ออกมาในทำนองที่ผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีหรือหลักศีลธรรมอันดีงามของสังคมจะทำให้กระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชนได้
2. การทั่วไป (Comprehensiveness) หมายความว่าอำนาจอธิปไตยจะมีอำนาจครอบคลุมทั่วไปในรัฐหรือเป็นอำนาจที่ครอบคลุมทั่วไปในทุกคน ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กรที่มีอยู่ในรัฐนั้น ๆ แต่มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง เช่น เรื่องที่แต่ละรัฐมอบต่อกัน และแต่ละรัฐจะเรียกคืนเมื่อใดก็ได้
3. ความถาวร (Permanence) อำนาจอธิปไตยของรัฐจะคงอยู่อย่างถาวรตราบเท่าที่รัฐยังคงดำรงความเป็นรัฐอยู่ หรือตราบเท่าที่รัฐยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐอื่น ถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยจะเปลี่ยนก็ตาม แต่อำนาจอธิปไตยก็ยังคงอยู่อย่างถาวร เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงอันเป็นเพียงขบวนการทางการเมือง คือ อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงคณะบุคคลผู้บริหารประเทศหรือเปลี่ยนแปลงลัทธิทางการเมืองเท่านั้น แต่อำนาจอธิปไตยจะคงมีอยู่เหมือนเดิม
4. แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) คือในรัฐหนึ่งจะต้องมีอำนาจอธิปไตยอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อำนาจอธิปไตยจะไม่สามารถที่จะแบ่งแยกออกไปเป็นส่วน ๆ ในรัฐเดียวกันได้ เพราะถ้ามีการแบ่งแยกกันแล้วจะทำให้รัฐเกิดขึ้นใหม่เป็นหลายรัฐ เช่น อินเดียแยกออกเป็นประเทศปากีสถานและเยอรมนี แยกเป็นเยอรมันตะวันตก เยอรมันตะวันออก เป็นต้น แต่ที่รับให้องค์กรต่าง ๆ ของรัฐเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เพื่อให้การปกครองประเทศเป็นไปในทางที่จะเกื้อกูลประโยชน์แก่ประชาชน รัฐจึงได้กำหนดอำนาจอธิปไตยไปตามองค์กรที่สำคัญ คือ องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร และองค์กรฝ่ายตุลาการ เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้น มิได้หมายความว่าอำนาจอธิปไตยได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่เป็นเพียงเรื่องของการมอบหมายให้องค์กรทั้งสามร่วมกันใช้อำนาจอธิปไตยในลักษณะดังนี้ คือ
1. ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ การใช้อำนาจอธิปไตยโดยผ่านทางสภาในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อนำมาบังคับใช้ในรัฐ ดังนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านย่อมมีสิทธิ์จะเสนอพระราชบัญญัติเข้าสู่สภาเพื่อให้สภาพิจารณาแล้วตราออกมาเป็นกฎหมายด้วยกันทั้งนั้น
2. ฝ่ายบริหาร ได้แก่ การใช้อำนาจอธิปไตยโดยผ่านทางคณะรัฐมนตรีในการนำเอากฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติมาบังคับใช้ในรัฐ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ๆ หรือมีอำนาจบริหารประเทศตามกฎหมายนั้น
3. ฝ่ายตุลาการ ได้แก่ การใช้อำนาจอธิปไตยโดยผ่านทางศาล หมายถึง อำนาจในการตัดสินชี้ตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่ฝ่ายบริหารมาบังคับใช้ในรัฐ ถ้ามีการละเมิดกฎหมายขึ้นฝ่ายตุลาการจะมีหน้าที่ในการพิจารณาความตัดสินลงโทษ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม
ประวัติแนวความคิดของอำนาจอธิปไตย
ความหมายของอำนาจอธิปไตย
ลักษณะของอำนาจอธิปไตย
ประเภทของอำนาจอธิปไตย
การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของประชาชน
วิวัฒนาการของแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย
ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตย
ทฤษฎีที่ค้านลักษณะอำนาจอธิปไตย
ประเภทของอำนาจอธิปไตย
การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน
สถาบันที่ใช้อำนาจอธิปไตย
สถาบันของอำนาจนิติบัญญัติ (Legislature)
อำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติหรือรัฐสภา
โครงร่างของสภานิติบัญญัติ (Structure)
ลักษณะทั่วๆ ไปของสภาสูง
อำนาจหน้าที่ของสภาสูง
ลักษณะทั่วๆ ไปของสภาล่าง
สถาบันของอำนาจบริหาร (Executive)
ข้อดีของรัฐบาลแบบคณะรัฐมนตรี
อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร (Functions)
สถาบันของอำนาจตุลาการ ( Judicial )