สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
พล.ร.ต. สุริยา ณ นคร ,วรันยา พวงพงศ์
-
วิธีการอบ
วิธีการอบ
ทั้งแบบเซาน่าและแบบสตีมมีหลักเหมือนกันคือ อบไอร้อนแล้วสลับลงบ่อน้ำเย็นสลับกัน 3 รอบ เริ่มด้วยร้อนแล้วจบด้วยเย็น ระหว่างนั้นสลับด้วยการนั่งหรือนอนพักผ่อน มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้คือ:
-
อบร้อน สัก 3-5 นาทีในห้องเซาน่า สำหรับห้องสตีมก็แนะนำให้ใช้ 5-10 นาที ส่วนใหญ่จะร้อนเต็มที่ สำหรับคนไทยซึ่งไม่ค่อยชินกับการอบไอน้ำ ก็ให้ออกจากห้องอบ แล้วลงชุบตัวในบ่อน้ำเย็นสำหรับชาวตะวันตกที่ชินกับการอบไอน้ำ อาจนั่งอยู่ได้นานกว่านั้น แต่ต้องเตือนกันให้สังเกตอาการของตนเองว่าจะไม่มีอาการหน้ามืดหรือเป็นลม ทั้งนี้ แนะนำว่าสำหรับผู้อบเซาน่าใหม่ให้ใช้ 2-3 นาทีในครั้งแรก และอยู่ได้ 5-10 นาทีเมื่อชินแล้ว
อนึ่งสมาคมเซาน่าแห่งฟินแลนด์ได้กำหนดไว้ในข้อแนะนำการอบเซาน่าว่าเรื่องของการแข่งขันกันว่าใครจะอบได้นานกว่า ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของการอบเซาน่า แท้ที่จริงแล้วควรถือตามอัตภาพของแต่ละคน
-
กระตุ้นผิวหนังและระบบน้ำเหลืองด้วยการกระตุ้นผิวหนัง ชาวฟินใช้การฟาดด้วยกิ่งเบิร์ช แต่ในประเทศอื่นๆที่หากิ่งเบิร์ชไม่ได้อาจใช้การถูผิวหนังด้วยเส้นใยธรรมชาติ อาจใช้รังบวบที่สะอาดก็ได้ถูไปตามร่างกายส่วนต่างๆ โดยมีหลักการถูผิวหนังดังนี้คือ :
- แขน ให้ถูจากปลายมือเข้าหาต้นแขน เป็นแถบๆจนรอบลำแขน หมุนวนบริเวณข้อพับหน้าข้อศอกและรักแร้เพื่อเน้นการกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง
- ขา ให้ถูจากปลายเท้าเข้าหาโคนขา เป็นแถบๆจนรอบลำขา หมุนวนบริเวณข้อพับหลังเข่าและบริเวณขาหนีบ เพื่อเน้นการกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองบริเวณดังกล่าว
- ลำคอ ถูจากบริเวณขากรรไกรลงถึงระดับไหปลาร้า เป็นแถบๆจนรอบลำคอ
- หน้าอก ถูลงจากใต้ไหปลาร้าลงถึงขาหนีบ เป็นแถบๆ
- แผ่นหลัง ถูลงจากบ่า ถึงบริเวณสะโพก เป็นแถบๆ
- ใบหน้า ไม่ต้องถูเพราะเส้นใยธรรมชาติจะหยาบเกินไปสำหรับการถูใบหน้า ถ้าต้องการถูจริงๆให้ใช้ผ้าขนหนูที่อ่อนนุ่ม ชุบน้ำเย็น ถูจากกลางหน้าผากไปขมับ จากโหนกแก้มทั้งสองข้างไปขมับ และถูจากปลายคางไปยังขมับทั้งสองข้าง
ประโยชน์ของการถูผิวหนัง
การถูด้วยเส้นใยธรรมชาติเกิดประโยชน์คือ:
-ช่วยกระตุ้นต่อมเหงื่อและต่อมไขมันผิวหนังให้ขับสารเสีย
-ช่วยกระตุ้นการระบายน้ำเหลือง
ให้พาสารเสียจากเซลล์ที่อยู่ทางปลายมือปลายเท้าและตามผิวกายส่วนกลางให้ระบายสู่ระบบน้ำเหลือง
-ช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง ซึ่งทำหน้าที่เหมือนป้อมยามคอยดักจับผู้ร้าย
ซึ่งคือสารเสียต่างๆแล้วให้เซลล์เม็ดน้ำเหลืองทำลายเสีย
หรือระบายผ่านท่อน้ำเหลืองส่วนกลาง เข้าสู่ระบบเลือดดำ
แล้วส่งไปกำจัดที่ตับและไตเป็นต้น
ลงบ่อน้ำเย็น ให้ผู้รับบริการออกจากห้อง แล้วโดดลงบ่อน้ำเย็น
เพื่อลดความร้อนของร่างกาย โดยแช่อยู่ในน้ำเย็นประมาณ 1-2 นาที
แล้วขึ้นจากบ่อน้ำเย็น เข้าอบไอร้อนใหม่ สลับกันทำเช่นนี้ทั้งหมด 3 ครั้ง
เริ่มต้นที่การอบร้อน และจบลงด้วยการแช่บ่อน้ำเย็น
เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สมบูรณ์แบบของการอบไอน้ำแบบตะวันตก
จำเป็นที่สถานบริการที่มีมาตรฐานจะต้องจัดให้มีสวัสดิการของบ่อน้ำเย็น
จึงจะถูกต้องตามหลักวิชา ในกรณีที่สถานบริการไม่อาจจัดหาบ่อน้ำเย็นได้
อย่างน้อยต้องมีระบบน้ำสระหรือน้ำฝักบัว ที่ อุณหภูมิธรรมดา
ไว้ให้ลดความร้อนจากร่างกายบ้าง แต่ประโยชน์ที่ได้ก็ย่อมน้อยไปตามลำดับ
ข้อบ่งชี้และข้อพึงระวัง
1.ข้อบ่งชี้ อบไอน้ำแบบตะวันตก มีข้อบ่งชี้คือ:
-ในบุคคลทั่วไป เพื่อเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
2.ข้อพึงระวัง บุคคลต่อไปนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ :
-ในหญิงมีครรภ์ เนื่องจากการอบร้อน จะทำให้เลือดไปกองตามแขนขา
เลือดที่จะเลี้ยงส่วนกลางน้อยลง อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลงด้วย
ในประเด็นนี้มิเฮล แคนคาส
ให้ข้อสังเกตว่าเคยมีรายงานชิ้นหนึ่งที่พบว่าทารกผิดปกติของสมองและสันหลัง(anencephaly,spina
bifida)ในแม่ที่อบเซาน่า แต่นั่นเป็นรายงานชิ้นเดียว
ขณะที่ผู้หญิงชาวฟินแลนด์กว่าร้อยละ 95 ก็อบเซาน่าสม่ำเสมอและไม่พบสิ่งผิดปกตินี้
-ผู้ป่วยด้วยโรคต่อไปนี้ ซึ่งอยู่ในระหว่างที่ต้องกินยา ตามตำราของ American
Sport Medicine Association ถือเป็นข้อพึงระวังได้แก่โรคหัวใจ โรคความดันเลือดสูง
โรคเบาหวาน
สำหรับนพ.ลาสเซอร์ อ้างถึงงานวิจัยที่ว่า
การอบเซาน่าจะเพิ่มเลือดหมุนเวียนผ่านหัวใจร้อยละ 50-70 คล้ายๆกับการเดินแบบเร็วๆ
ส่วนความดันเลือดในระหว่างอบร้อนจะลดลงเล็กน้อยทั้งซิสโตลิกและไดแอสโตลิก
ครั้นเมื่อลงบ่อน้ำเย็นความดันเลือดจะสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งก็คล้ายกับการเดินเร็วๆ
เช่นกัน
จึงให้ความเห็นว่าเซาน่าเป็นข้อต้องระวังเพียงสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจความดันที่รุนแรง
ส่วนโรคเบาหวานนั้นในความเห็นของประธานสมาคมเซาน่าแห่งฟินแลนด์ไม่พบข้อพึงสังเกตแต่ประการใด
-ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ ให้ระวังความดันเลือดต่ำ จึงเป็นข้อห้าม
-ผู้ที่เป็นไมเกรน การอบไอน้ำอาจไปขยายเส้นเลือด ทำให้มีอาการปวด หลังการอบได้
ผู้ที่ไม่แน่ใจให้ปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นแต่ละรายไป
และถ้าแพทย์อนุญาตให้ปฏิบัติก็ควรฝึกทีละน้อย เช่นอบสัก 1-2 นาที
แล้วอาบน้ำฝักบัวธรรมดา โดยทำรอบเดียวในครั้งแรก วันต่อไปอบนาน 2-3 นาที
แล้วอาบน้ำฝักบัว ทำสัก 2 รอบ วันต่อไปสามารถอบนาน 3-5 นาที
แล้วลงบ่อน้ำเย็นทีละน้อย เมื่อทำไปสัก 3-4 วันก็สามารถอบร้อน 3-5
นาทีแล้วลงบ่อน้ำเย็น 1-2 นาทีเช่นเดียวกับคนอื่น
อนึ่ง ผู้ที่กำลังจะเป็นไข้หวัด ร่างกายไม่ควรกระทบความเย็นจัด
สามารถอบร้อนได้ แต่ไม่ควรลงบ่อน้ำเย็น ต่อเมื่อหายจากหวัดแล้ว
จึงปฏิบัติได้เหมือนปกติ
สำหรับโรคลมชักยังไม่มีเหตุผลหรืองานวิจัยใดยืนยันที่จะกำหนดเป็นข้อห้าม
แม้จากสมาคมเซาน่าแห่งฟินแลนด์
ในตำราแพทย์อายุรกรรมก็ไม่ได้ถือว่าความร้อนหรือความเย็นจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการชัก
อย่างไรก็ตามภาวะขาดออกซิเจนเฉียบพลันเป็นปัจจัยกระตุ้นการชักได้
การจัดห้องเซาน่าจึงต้องดูแลให้มีการถ่ายเทอากาศสะดวก และอย่าอยู่ในตู้อบนานเกิน 5
นาที จนอาจเกิดภาวะขาดออกซิเจน
โดยสรุป ข้อพึงระวังสำหรับการอบเซาน่าคือ
1.ผู้ป่วยโรคหัวใจ
2.ผู้ป่วยความดัน เลือดสูง หรือมีภาวะความดันเลือดต่ำ
3.ไม่ใช้เซาน่าภายหลังดื่มแอลกอฮอล์
4.ผู้ที่กำลังเป็นไข้หรือเป็นหวัด
อันตรายที่พบบ่อย จากการอบไอน้ำแบบตะวันตก
อันตรายที่พบบ่อยจากการอบไอน้ำแบบตะวันตก คือ อาการหน้ามืด เป็นลม
หมดสติ อันตรายนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของทั้งผู้ประกอบการ
และทั้งผู้รับบริการ กล่าวคือ รู้จักแต่ความสบายของการอบไอร้อน คิดว่าช่วยผ่อนคลาย
บางคนมีความคิดชี้นำผิดๆที่ว่า ต้องการอบไอน้ำให้นานๆเพื่อจะลดน้ำหนัก
จึงพยายามอยู่ในตู้อบเซาน่าหรือสตีมให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
บ้างอยู่ครั้งละ1/2 ชั่วโมง
ผลที่ติดตามมาก็คือ การอยู่ในที่ร้อนนานๆ ทำให้เส้นเลือดขยายทั้งตัว
เลือดส่วนใหญ่ไปกองตามแขนขา เลือดส่วนกลางมีน้อยลง จึงหมุนเวียนไปสมองน้อยลง
ทำให้เป็นลม หน้ามืด หรือหมดสติ
บางคนถึงกับสูญเสียการรับรู้สถานที่และความทรงจำไปช่วงเวลาหนึ่งหลังอบไอน้ำนานๆจนเกินไป
กรณีเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาแล้ว
ทางออกที่ถูกต้องในปัญหานี้ก็คือ:
1.เผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องของวารีบำบัด และการอบไอน้ำให้ทั่วถึง
ทั้งผู้ประกอบการและผู้รับบริการ
2.จัดมาตรฐานของสถานประกอบการสปา ให้มีสวัสดิการด้านบ่อน้ำเย็น
หรืออย่างน้อยน้ำฝักบัวเพื่อบริการ
3.ให้ผู้ประกอบการมีประกาศ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรหรือภาพ
ที่อธิบายวิธีอบไอน้ำซึ่งต้องสลับร้อนและเย็นที่ถูกต้องแก่ผู้รับบริการ
และเจ้าหน้าที่ของสถานประกอบการต้องมีความรู้ในเรื่องนี้
และคอยให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่ผู้รับบริการ


