สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
พล.ร.ต. สุริยา ณ นคร ,วรันยา พวงพงศ์
-
หลักการและวิธีการอบไอน้ำภาคปฏิบัติ
หลักการและวิธีการอบไอน้ำภาคปฏิบัติ
เมื่อทราบถึงหลักการเซาน่าตามแบบดั้งเดิมแล้ว
เราอาจประยุกต์การอบไอน้ำภาคปฏิบัติได้โดยหลักๆ ดังนี้คือ
อุปกรณ์
อุปกรณ์ของการอบไอน้ำแบบตะวันตกประกอบด้วยห้องอบ ระบบให้ความร้อน
ระบบน้ำเย็นห้องพักผ่อนระหว่างการอบอาบ
ห้องอบ
แบบฟินนิชหรือเซาน่า เป็นตู้อบที่ทำจากไม้สน
ซึ่งบริษัทที่ผู้ผลิตจะกล่าวถึงสรรพคุณว่า ต้องทำจากไม้สนฟินแลนด์จึงจะดี
เพราะเป็นต้นตำรับ ไม้สนมีคุณสมบัติที่เหมาะสมเพราะหาง่ายในท้องถิ่นเมืองหนาว
ตัดเพื่อทำเป็นแผ่นกระดาษ ทำรางลิ้น แล้วประกอบเป็นตู้อบได้สะดวก มีสีสันสะอาดตา
มีกลิ่นหรือยางสนอยู่เล็กน้อย ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนจากไอน้ำแล้ว
สามารถระเหยให้กลิ่นหอมอ่อนๆช่วยให้โล่งจมูกและมีบทบาทในด้านบำบัดตามหลักของสุคันธบำบัด
เมื่อร้อนเต็มที่ยังดูดซับความชื้นให้ลดลงได้อีกด้วย
แบบรัสเชียนหรือสตรีมบาธ (Steam bath)
เป็นการสร้างห้องเพื่อการอบไอน้ำโดยทั่วไปเป็นห้องที่กรุด้วยกระเบื้องห้องน้ำหรือโมเสก
แล้วปล่อยไอน้ำจากภายนอกเข้าไป
ระบบให้ความร้อน โดยหลักแล้วระบบให้ความร้อนก็คือการใช้ไอน้ำ
ทั้งสองวิธีแตกต่างกันคือ
แบบเซาน่าสมัยใหม่ใช้เตาไฟฟ้าโดยมีก้อนหินอัคนีวางอยู่เหนือเตาเป็นตัวเก็บและให้ความร้อน
ในห้องมีตัวพาความร้อนอยู่ 2 อย่างคือ อณูของอากาศและอณูของไอน้ำ
โดยพยายามที่จะให้อากาศเป็นตัวพาความร้อนเป็นหลัก
ไอน้ำที่เกิดจากการพรมน้ำลงบนก้อนหินเป็นตัวประกอบ
พยายามรักษาให้ห้องมีความร้อนสูงและความชื้นต่ำโดยเพิ่มความร้อนของเตาไฟฟ้า
ทั้งนี้เพื่อผู้อบจะได้ออกเหงื่อได้ดีและหายใจสะดวกการพรมน้ำทำเท่าที่จำเป็น
โดยต้องรู้ว่าการพรมน้ำแต่ละครั้งจะเพิ่มความชื้นในห้อง
ไอน้ำจะพาความร้อนกระทบผิวกายผู้อบมากกว่าอณูของอากาศ จะทำให้รู้สึกร้อนเร็ว
แต่ขับเหงื่อลำบาก และจะทนนั่งอยู่ไม่ได้นาน
แบบรัสเชียน มีระบบให้ไอน้ำอยู่ภายนอกนอกห้อง
โดยมีช่องปล่อยไอน้ำเข้าสู่ภายในห้องอีกทอดหนึ่งอบแบบนี้ระดับความชื้นจะสูงมาก
ทำให้พาความร้อนสู่ผิวกายผู้อบได้รวดเร็ว อุณหภูมิของห้องอาจไม่ทันร้อนมาก
แต่ผู้อบจะรู้สึกร้อนเร็ว
ระบบน้ำเย็น
สำหรับประเทศฟินแลนด์และรัสเชียซึ่ง่มีอากาศหนาวอยู่แล้ว
การอบไอน้ำแบบพื้นบ้านของเขาจะอาศัยความเย็นจากแหล่งน้ำเย็นธรรมชาติ
เช่นอาศัยลำธารที่มีน้ำใสไหลเย็น หรือสระน้ำธรรมชาติ
ซึ่งในหน้าหนาวอาจจับเป็นน้ำแข็ง ซึ่งชาวบ้านจะเจาะน้ำแข็งส่วนบนออก
เพื่อเปิดเป็นช่องให้จุ่มตัวลงในน้ำเยือกแข็งเพื่อสลับกับการอบไอร้อน
เมื่อพัฒนามาเป็นสถานอบไอน้ำ
สถานบริการเหล่านี้อาจทำบ่อน้ำเย็นขึ้นในสถานที่
และเนื่องจากประเทศของเขาส่วนใหญ่มีอากาศหนาวเย็นอยู่แล้ว
เขาจึงใช้น้ำเย็นจากระบบประปาโดยธรรมชาติ ถ้าอากาศร้อน
สถานบริการเหล่านี้ก็จะต้องมีระบบทำน้ำเย็น (Chiller) ติดตั้งไว้
เพื่อคอยปรับอุณหภูมิน้ำให้เย็นแล้วปล่อยเข้าบ่อเย็น สำหรับผู้รับบริการลงไปจุ่มตัว
อุณหภูมิที่นิยมใช้อยู่ในระหว่าง 4-15 องศาเซลเซียส
เรื่องระบบน้ำเย็นนี้ นับเป็นความสำคัญประการหนึ่ง
เพื่อช่วยบรรเทาความร้อนของผู้อบ และช่วยปรับสมดุลของระบบร่างกายของผู้อบ
ปัจจุบันที่การเซาน่าแพร่หลายไป
แต่ปรากฏว่าผู้ประกอบการไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้
จึงมิได้จัดระบบน้ำเย็นไว้ให้
บางแห่งมีแล้วแต่ผู้ใช้บริการก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่จะใช้
จึงควรเน้นความสำคัญในเรื่องนี้
พื้นที่นั่งพักผ่อนระหว่างการอบอาบ
การอบและอาบในแต่ละจังหวะ
ผู้ปฎิบัติควรมีช่วงจังหวะนั่งพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพ
และได้ผ่อนคลายจิตใจด้วย
เป็นพื้นที่อีกส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการอบไอน้ำแบบตะวันตกทั้งสองแบบ
ว่าด้วยความชื้นสัมพัทธ์และอุณหภูมิที่เหมาะสมของเซาน่า
เมื่อเซาน่าแพร่หลายไปหลายประเทศ และถูกประยุกต์ใช้ตามแต่ละสังคม
วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ทำให้เซาน่าในแต่ละแห่งอาจมีการปฏิบัติใช้ที่แตกต่างไปจากแบบฉบับดั้งเดิม
จนกลายเป็นว่าหลักการเซาน่าที่ถูกต้อง ควรเป็นอย่างใดกันแน่
ประเด็นที่เห็นพ้องร่วมกันก็คือ
เซาน่าเป็นการอาบน้ำที่อาศัยความร้อนของห้องอบอำนวยให้เกิดการออกเหงื่อ
อากาศในห้องเซาน่าจึงควรเป็นอากาศที่ค่อนข้างแห้งโดยอุณหภูมิอาจสูงได้มากๆโดยที่ผู้อาบสามารถอยู่ได้อย่างสบายในสภาพดังกล่าว
อย่างไรก็ดีระดับความชื้นและความร้อนที่เหมาะสมของเซาน่าควรเป็นเช่นใด
ในแต่ละสถาบันมีตัวเลขที่แตกต่างกัน กล่าวคือ :
ทางสหรัฐอเมริกา วิทยาลัยเวชศาสตร์การกีฬาแห่งอเมริกา (American College of
Sports Medicine) ระบุไว้ในตำรา ACSMs Health/Fitness Standards and Guidelines
(Second edition) ว่า อุณหภูมิและความชื้นที่พึงแนะนำสำหรับเซาน่า คือ: อุณหภูมิ
77-82 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 5
ด้วยความชื้นสัมพัทธ์ที่ต่ำมากจึงมีบางท่านเรียกเซาน่าว่าเป็นการอบแบบแห้ง
สำหรับในอังกฤษ ตำรา Health and Beauty Therapy A Practical Approach for
NVQ Level 3 ซึ่งเป็นตำราที่ใช้สอนในสถาบันการสอนสปาเทอราปีของอังกฤษ
และโรงเรียนสปาของชีวาศรมใช้เป็นตำรามาตรฐานในการสอนได้ระบุว่า
อุณหภูมิของเซาน่าอาจแปรเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 50-120 องศาเซลเซียส
แต่อุณหภูมิที่กำลังสบายสำหรับลูกค้าใหม่ที่ยังไม่คุ้นชินกับเซาน่าควรอยู่ที่ 60-80
องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ที่กำลังสบายอยู่ประมาณร้อยละ 50-60
ส่วนต้นตำรับชาวฟินแลนด์
วิเฮอรูจิซึ่งเป็นนักวิจัยทางสังคมว่าด้วยเซาน่าได้สรุปเปรียบเทียบวิธีอาบแบบต่างๆไว้ในหนังสือ
Sauna-the Finnish Bath ว่า อุณหภูมิที่กำลังดีอยู่ที่ 88-93 องศาเซลเซียส
เขากล่าวอีกว่า อาบแบบฟินนิชได้รวมเอาข้อดีอากาศแห้งแบบโรมัน
ผสานเข้ากับอากาศชื้นแบบรัสเชียน ทั้งนี้โดยไม่สุดขั้วไปในทางใดทางหนึ่ง
ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะแท้ที่จริงแล้วการอบเซาน่ามีหลายขั้นตอน
ในตอนแรกผู้อาบจะเข้าไปในห้องเซาน่าซึ่งถูกทำให้ร้อนเต็มที่ด้วยอากาศที่แห้ง
เหงื่อจะเริ่มออก จากนั้นจะมีการพรมน้ำลงบนก้อนหินเหนือเตา อากาศจะชื้นขึ้น
ผู้อาบจะรู้สึกแปลบปลาบที่ผิวหนัง
และยิ่งรู้สึกมากขึ้นเมื่อตนเอากิ่งเบิร์ชฟาดไปตามตัว
สักครู่เดียวอากาศในห้องก็จะแห้งเหมือนเมื่อเริ่มแรกอีก จึงอาจกล่าวได้ว่า
เซาน่าเป็นการอาบแบบเดียวในโลกที่มีทั้งอากาศแห้งและอากาศชื้นผสมผสานกัน
ส่วนอาบแบบรัสเชียนก็เป็นการอาบแบบชื้นตลอดเวลา
เขากล่าวว่า ในห้องเซาน่าที่ร้อนเต็มที่ และแห้งดี
การพรมน้ำลงบนก้อนหินจะไม่เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิในห้องเท่าใดนัก
โดยมีความชื้นสัมพัทธ์ ร้อยละ 30 จะเป็นสภาวะที่กำลังสบายในห้องเซาน่า
เขากล่าวด้วยว่า ในเซาน่าแห้งผู้อาบอาจนั่งอยู่ได้นานกว่าสัก 20 นาที
แต่สำหรับเซาน่าชื้นคนเราจะนั่งอยู่ได้เพียงประมาณ 5 นาทีเท่านั้น
เราจะเห็นได้ว่าตัวเลขความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมสำหรับเซาน่า
ตามความเห็นของแต่ละสถาบันมีความแตกต่างกันอย่างมาก
เรื่องนี้คิดว่าอาจเป็นการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละสภาวการณ์สำหรับสหรัฐอเมริกาในส่วนพื้นที่
ที่แห้งแล้งการจัดห้องเซาน่าที่มีความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 5 อาจมีความเป็นไปได้
ส่วนอังกฤษซึ่งเป็นเกาะ มีฝนตกสม่ำเสมอ
ตัวเลขความชื้นสัมพัทธ์สำหรับของเขาจึงอยู่ที่ร้อยละ 50-60
ส่วนฟินแลนด์ซึ่งอยู่ถัดเข้ามาในทวีป แต่มีทะเลสาปมาก ได้กำหนดไว้กลาง ๆ คือร้อยละ
30 ย่อมเหมาะสมสำหรับเขา
สำหรับประเทศไทยมีข้อเท็จจริงตามหนังสืออุตุนิยมวิทยา ของกรมอุตุนิยมวิทยา
ระบุว่า ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร
จึงมีอากาศร้อนชื้นปกคลุมเกือบตลอดปี มีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดปีร้อยละ 72-74
และลดลงเหลือร้อยละ 62-69 ในช่วงฤดูร้อน
ด้วยเหตุนี้ความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมสำหรับเซาน่าในประเทศไทยจึงน่าจะมีตัวเลขที่แตกต่างออกไป
ต้องนับว่าเป็นไปไม่ได้
ที่จะตั้งความร้อนของตู้เซาน่าให้ไล่อากาศชื้นออกไปจนลดลงเหลือร้อยละ 5
ตามมาตรฐานของอเมริกัน แม้กระทั่งร้อยละ 30 อย่างของฟินแลนด์ก็นับว่ายาก
จำต้องยอมรับมาตรฐานให้ใกล้เคียงกับอังกฤษ
ด้วยประสบการณ์ในภาคปฏิบัติตู้เซาน่าที่ศูนย์สุขภาพในประเทศไทย
เมื่อเปิดเครื่องทำงานจะมีระดับความชื้นที่ร้อยละ 60
และเมื่อผู้อาบเดินเข้าออกภายหลังการชุบตัวในบ่อน้ำเย็น
ความชื้นในห้องจะอยู่ที่ร้อยละ 70-80 แม้จะพยายามไม่พรมน้ำลงบนเตาเลยก็ตาม
ส่วนอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 60 องศาเซลเซียส
ซึ่งในสภาวะนั้นผู้อาบจะใช้เวลาที่เหมาะสมแก่การอบคือคราวละไม่เกิน 5 นาที
โดยสรุปหลักคิดสำหรับผู้ประกอบการเซาน่าคือพยายามตั้งอุณหภูมิให้สูงเข้าไว้
และต้องเปิดเป็นเวลานาน ๆ ทั้งพยายามลดความเปียกชื้นของพื้นที่รอบเซาน่า
เพื่อให้ความร้อนในตู้ขับไล่ความชื้นออกไปให้เหลือน้อยที่สุด
จะได้อำนวยแก่การออกเหงื่อของผู้อาบ และนั่งได้นานขึ้น
ในต่างประเทศซึ่งความชื้นอากาศปานกลาง ห้องเซาน่าอาจมีความชื้นสัมพัทธ์ที่ร้อยละ
50-60 อุณหภูมิในห้องอาจสูงได้ 80-90 องศาเซลเซียส
สำหรับประเทศไทยซึ่งมีความชื้นสูง ห้องเซาน่าอาจมีความชื้นสัมพัทธ์ที่ร้อยละ 70
อุณหภูมิในห้องอาจสูงได้เพียง 60 องศาเซลเซียส


