สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
พล.ร.ต. สุริยา ณ นคร ,วรันยา พวงพงศ์
-
วิวัฒนาการของการใช้น้ำเพื่อสุขภาพ
วิวัฒนาการของการใช้น้ำเพื่อสุขภาพ
Hydrotherapy มาจากรากศัพท์ของภาษากรีก 2 คำ คือ Hydor
ซึ่งแปลว่าน้ำ และคำว่า Therapia แปลว่า การบำบัดรักษา ฉะนั้น Hydrotherapy
(วารีบำบัด) หมายถึง การบำบัดด้วยน้ำ น้ำเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
การใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคภัยต่างๆของมนุษย์ มีประวัติยาวนานหลายพันปี
โดยมีลักษณะเป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งของการแพทย์แผนโบราณของวัฒนธรรมต่างๆ
และมีวิวัฒนาการมาตามลำดับตามความรู้ และเทคโนโลยีที่เจริญขึ้น
การใช้น้ำในอดีตมักจะเกี่ยวข้องจึงเกี่ยวข้องกับศรัทธาความเร้นลับและพิธีกรรมทางศาสนา
โดยมีบันทึกเกี่ยวกับการใช้น้ำเพื่อสุขภาพปรากฏในวัฒนธรรม อิยิปต์ แอสสิเรียน
มุสลิม ฮินดู จีน ญี่ปุ่น มานานนับพันปี เมื่อถึงยุคกรีก สมัยก่อนคริสตกาลราว 500
ปี ลักษณะการใช้น้ำเพื่อสุขภาพก็เปลี่ยนไปเป็นปฏิบัติอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ฮิปโปเครติส (Hippocrates 460-375 BC)
แพทย์ชาวกรีกซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นบิดาของการแพทย์แผนปัจจุบัน
ใช้การแช่น้ำร้อนและน้ำเย็นเพื่อบำบัดรักษาโรคหลายอย่าง เช่น
เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และใช้น้ำบำบัดรักษา
กลุ่มอาการปวดตามกล้ามเนื้อและข้อ ดีซ่าน และ อัมพาต ด้วย
กรีกเป็นชนชาติที่เข้าใจและตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะทางจิตใจกับสุขภาพทางกาย
ดังนั้นจึงได้สร้างสถานที่อาบแช่น้ำ
ใกล้แม่น้ำและน้ำพุร้อนหลายแห่งในสภาพแวดล้อมที่สวยงาม
สำหรับใช้เป็นแหล่งพักผ่อนและสันมนาเพื่อการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ชาวโรมันซึ่งมีความสามารถในเรื่องสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างได้สร้างสถานที่อาบน้ำตามน้ำพุร้อนต่างๆ
เพิ่มเติมขึ้นต่อจากพวกกรีก
และพัฒนาวิธีการใช้น้ำเพื่อสุขภาพที่มีรูปแบบสลับซับซ้อนมากขึ้นโดยการอาบแช่น้ำที่อุณหภูมิต่างๆ
ตั้งแต่ร้อนมาก (Caldarium) น้ำอุ่น (Tepidarium) และน้ำเย็น (Fregidarium)
ชาวโรมันได้สร้างสถานที่อาบน้ำขึ้นในพื้นที่ต่างๆที่อาณาจักรเผยแผ่อำนาจการปกครองไปถึง
จึงปรากฏสถานที่อาบน้ำเหล่านี้ที่ อังกฤษ โรมาเนีย ตุรกี แ ละที่อื่นๆด้วย
ภายหลังอารยธรรมโรมันเสื่อมลง
วิธีการอาบน้ำเพื่อสุขภาพก็เสื่อมความนิยมตามไปด้วย
เพราะศาสนาคริสเตียนมีมุมมองว่าพฤติกรรมการอาบแช่น้ำในที่สาธารณะเป็นการปฏิบัติของคนนอกศาสนา
แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 17
คนในวัฒนธรรมตะวันตกก็เริ่มกลับมามีความสนใจในเรื่องการใช้น้ำเพื่อสุขภาพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
โดยในปี ค.ศ. 1830 เกษตรกรชาว Silesian ชื่อวินเซนต์ เพรสนิตซ์ (Vincent
Priessnitz)
อาศัยความช่างสังเกตดูกวางที่ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวเองโดยการไปยืนแช่น้ำในลำธารเพื่อช่วยสมานแผล
แล้วนำมาทดลองกับตัวเองเมื่อได้รับบาดเจ็บที่ขาพบว่าได้ผลดี
จึงพัฒนาวิธีการใช้น้ำรักษาโรคต่างๆขึ้นมาหลายแบบ เช่น การแช่ในน้ำเย็น
การอาบฝักบัว และ การประคบ
การบำบัดเหล่านี้ใช้แหล่งน้ำในธรรมชาติจึงสามารถรับผู้ป่วยได้จำนวนมาก
แต่เนื่องจากเพรสนิตส์ไม่มีพื้นการศึกษาทางการแพทย์
จึงไม่ได้รับความเชื่อถือจากแพทย์ในยุคนั้น
วงการแพทย์มีความเห็นว่าวิธีการบำบัดเหล่านี้เป็นการรักษาโดยอาศัยความสังเกตไม่ใช่ด้วยการใช้เหตุผลและการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นค่านิยมการพัฒนาวิทยาการทางแพทย์แผนปัจจุบัน
นอกจาก เพรสนิตซ์ แล้วยังมีคนอื่นๆ เช่น สาธุคุณ เซบาสเตียน ไคนพ์ (Sebastian
Kniepp) ซึ่งเป็นบาดหลวงชาวบาวาเรียนที่สนใจพัฒนาการใช้น้ำเพื่อสุขภาพ
โดยได้ดัดแปลงวิธีการรักษาของเพรสนิตส์ให้มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น เช่น
ใช้น้ำร้อนสลับน้ำเย็นสำหรับอาบแช่ ใช้ท่อทำฝักบัวเพื่อรดและชโลมด้วยน้ำ
โดยเรียกวิธีการเหล่านี้ว่าการเยียวยาด้วยน้ำ (Cure)
วิธีการนี้ได้รับความนิยมในชุมชนที่พูดภาษาเยอรมัน
ตลอดจนในบริเวณอิตาลีตอนเหนือและชายแดนติดกับฮอลแลนด์และฝรั่งเศสมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
หมอพื้นบ้านที่ใช้วิธีการรักษาโรคด้วยน้ำโดยอาศัยการสังเกตแบบเดียวกับ
เพรสนิตส์และบาทหลวงไคนพ์ เหล่านี้เรียกตัวเองว่าเป็นนักธรรมชาติบำบัด (Naturopath)
และวิธีการบำบัดรักษาเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของ การแพทย์แบบธรรมชาติบำบัด
ซึ่งเป็นระบบการแพทย์ทางเลือกระบบหนึ่งในปัจจุบัน
ในสังคมตะวันตก
ขณะที่หมอพื้นบ้านพัฒนาวิธีการใช้น้ำเพื่อรักษาโรคต่างๆตามแนวทางของธรรมชาติบำบัดนั้นซึ่งอาศัยการสังเกตเป็นหลักนั้น
ก็ได้มีการศึกษาการใช้น้ำเพื่อสุขภาพตามแนวทางวิทยาศาสตร์
โดยมีการศึกษาคุณสมบัติของน้ำและผลทางสรีรวิทยาต่อร่างกาย
และพัฒนาวิธีการใช้น้ำเพื่อการบำบัดรักษาโรคตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันคู่ขนานมากับการใช้น้ำตามหลักธรรมชาติบำบัดด้วย
ศาสตราจารย์วินเทอร์วิตซ์ซึ่งเป็นแพทย์ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษานำน้ำมาใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคที่เรียกในปัจจุบันว่า
Hydrotherapy เขามีความสนใจงานของเพรสนิตส์
และได้ทำการศึกษาเรื่องปฏิกิริยาของเนื้อเยื่อของร่างกายต่อน้ำที่อุณหภูมิต่างๆจนเป็นที่
ยอมรับในวงการแพทย์
ต่อมาได้ตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารูปแบบการใช้น้ำร้อนและน้ำเย็นเพื่อรักษาโรคขึ้น
เช่น การบำบัดด้วยอ่างน้ำวน (Whirlpool) และการบำบัดโดยการบริหารร่างกายในน้ำ
ศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีชื่อเรียกว่า Hydrotherapy (วารีบำบัด)
ต่อมานายแพทย์วินเทอร์วิตซ์ได้ตั้งโรงเรียนสอน Hydrotherapy ด้วย
ทำให้มีการเผลแพร่ความรู้เรื่อง Hydrotherapy
และเกิดความนิยมใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆในยุโรปขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
และมีการฟื้นฟูพัฒนาสถานที่พักผ่อนเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยการใช้น้ำขึ้นมาใหม่ตามแหล่งน้ำพุร้อนเหมือนกับที่เคยเกิดในยุคโรมัน
ต่อมาความนิยมดังกล่าวก็ได้แพร่หลายไปในทวีปอเมริกา
สถานส่งเสริมสุขภาพเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า สปา (SPA)
สำหรับในสังคมตะวันออกมีประวัติของการใช้น้ำเพื่อสุขภาพมาเป็นเวลาหลายพันปีเช่นเดียวกันกับในสังคมตะวันตก
ในประเทศที่ตั้งในอยู่ในเขตภูมิอากาศหนาว เช่น ญี่ปุ่น
การอาบแช่น้ำตามแหล่งน้ำพุร้อนได้รับความนิยมในหมู่นักปราชญ์และผู้ทรงความรู้และมานานกว่าพันปี
แล้วต่อมาภายหลัง
เมื่อสรรพคุณของน้ำร้อนในการเยียวยารักษาบาดแผลเริ่มเป็นที่ทราบกันมากขึ้น
ความนิยมอาบน้ำแร่จึงได้แพร่หลายเข้าไปในหมู่ของนักรบซามูไรในยุคสงครามเพื่อรักษาบาดแผลจากการสู้รบด้วย
ภายหลังสงครามสงบลงการอาบแช่น้ำพุร้อนก็เป็นที่นิยมในหมู่ชาวนาที่ตรากตรำจากเกษตรกรรม
เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เกิดความสุขสบายโดยไม่ต้องเสียเงินทองมาก
ในวัฒนธรรมอินเดียก็มีการใช้น้ำเพื่อรักษาสุขภาพตามการแพทย์แผนอายุรเวท
ตลอดจนการใช้น้ำในพิธีทางศาสนาฮินดูและพราหมณ์
ในแพทย์แผนไทยมีการกล่าวถึงการใช้น้ำในตำราแพทย์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โดยมีการอาบแช่ในน้ำผสมสมุนไพรต่างๆ
และมีการใช้ลูกประคบสมุนไพรอบไอน้ำเพื่อประคบรักษาโรคต่างๆ
ตลอดจนมีธรรมเนียมอยู่ไฟหลังคลอดแล้วลงอาบน้ำสมุนไพร
ในหนังสือจดหมายเหตุของลาลูแบร์ซึ่งเป็นทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
กล่าวว่าคนไทยชอบลงอาบน้ำในแม่น้ำลำคลองแล้วประแป้งตามตัว
ซึ่งแสดงว่าลักษณะการใช้น้ำเพื่อสุขภาพในเขตอากาศร้อนเช่นในสังคมไทย อินเดีย
ตลอดจนตามเกาะต่างๆในเขตร้อนชื้น (Tropical climatic zone)
จะแตกต่างจากการใช้น้ำในสังคมที่ตั้งอยู่ในเขตอากาศหนาวหรืออบอุ่น
และมีลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์คือ
จะใช้น้ำเพื่อระบายความร้อนและสามารถใช้น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป เช่น
แม่น้ำลำคลองเพื่อสุขภาพได้ตลอดปี
โดยไม่ต้องแสวงหาแหล่งน้ำพุร้อนสำหรับใช้เช่นในสังคมที่ตั้งอยู่ในเขตหนาวหรืออบอุ่น


