เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>

ข้อมูลการเกษตร

ไม้ดอก-ไม้ประดับ

การปลูกไม้ดอกกระถาง

การให้ปุ๋ย

ประโยชน์ของปุ๋ย
พืชอาจสร้างอาหารส่วนใหญ่ได้จากแสงและอากาศผ่านขบวนการสังเคราะห์แสง อย่างไรก็ตาม พืชยังต้องการธาตุอาหารอีกกว่า 10 ชนิดจากภายนอกเพื่อให้ขบวนการเจริญเติบโตสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติ และหากต้องการให้พืชมีการเจริญเติบโตผิดไปจากธรรมชาติ เราก็อาจใช้ปุ๋ยและ/หรืออาหารเสริมควบคุมได้ ดังที่ผู้ผลิตโป๊ยเซียนได้กระทำกัน

ปกติแล้วพืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิดเพื่อการเจริญเติบโต แต่ได้ คาร์บอน ออกซิเจน และไฮโดรเจน จากน้ำและอากาศ ธาตุอีก 6 ธาตุเป็นธาตุที่พืชต้องการในปริมาณมาก คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแทสเซี่ยม แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม และกำมะถัน โดย 3 ธาตุแรกนั้นพืชต้องการมาก ดังนั้น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแทสเซี่ยม จึงถูกเรียกว่าธาตุปุ๋ย ซึ่งต้องถูกระบุและรับรองอัตราส่วนไว้ที่ฉลาดปุ๋ยเสมอ ส่วนธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอีก 10 ชนิดนั้น อาจถูกผสมไว้ในปุ๋ยโดยไม่ได้ระบุรับรองไว้ในฉลากปุ๋ยด้วย

สำหรับธาตุปุ๋ย 3 ชนิดซึ่งมักถูกเรียกย่อ ๆ ว่า N-P-K (เอ็ม-พี-เค) นั้นมีบทบาทต่อการเจริญเติบโตของพืชต่างกันคือ ไนโตรเจนหรือเอ็นนั้นช่วยให้ต้นและใบของพืชมีการเจริญเติบโตดี ถ้าได้รับน้อยเกินไปจะทำให้ใบมีสีซีดเหลือง ไม่ค่อยเติบโต ถ้าได้รับมากเกินไปจะทำให้ใบมีสีเขียว อวบ เปราะ ขาดความแข็งแรง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนฟอสฟอรัสหรือพีนั้นช่วยให้ระบบรากเติบโตได้ดี พืชมีดอกได้ง่ายขึ้น ถ้าพืชได้รับน้อยเกินไปจะทำให้มีการสร้างสารสีม่วงแดงขึ้นบริเวณต้นและใบ และไม่ออกดอก แต่ถ้าได้รับมากเกินไป จะทำให้ต้นแคระเกร็น พืชออกดอกเร็วผิดปกติ ขณะที่โปแทสเซี่ยมหรือเคนั้น เป็นธาตุที่ทำให้กลไกทางเคมีภายในพืชดำเนินไปได้ตามปกติ ถ้าพืชได้รับน้อยเกินไป จะอ่อนแอต่อโรค ต้นเปราะ หักง่าย แต่ถ้าพืชได้รับมากเกินไป จะแคระเกร็น

ประเภทของปุ๋ย
ปุ๋ยโดยทั่วไป แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นปุ๋ยที่ได้จากซากหรือมูลสิ่งมีชีวิต เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ย กทม. ปุ๋ยมูลค้างคาว ปุ๋ยมูลไก่ ปุ๋ยมูลวัว และปุ๋ยปลา เป็นต้น ปุ๋ยพวกนี้มีธาตุปุ๋ยอยู่มากน้อยแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุ๋ยคอกซึ่งมีความเข้มข้นของธาตุปุ๋ยต่างกันตามชนิดของอาหารและปริมาณน้ำที่สัตว์ดื่ม เช่น ปุ๋ยมูลไก่ จะมีธาตุปุ๋ยมากกว่าปุ๋ยมูลวัว ปุ๋ยอินทรีย์มักถูกใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุปลูก เนื่องจากจะช่วยปรับสภาพวัสดุปลูกและค่อย ๆ สลายตัวปลดปล่อยธาตุอาหารแก่พืช ปุ๋ยปลาเป็นปุ๋ยที่มีธาตุปุ๋ยน้อย แต่มีผลกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชได้ดี สันนิษฐานว่าอาจมีสารควบคุมการเจริญเติบโต หรือ กรดอมิโนบางชนิดอยู่ อย่างไรก็ตาม การใช้ปุ๋ยปลากับพืชในช่วงฤดูฝน อาจทำให้พืชอ่อนแอเป็นโรคง่าย จึงต้องระมัดระวังในการใช้

2. ปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี เป็นปุ๋ยที่ได้จากเกลือแร่ต่าง ๆ มักมีธาตุปุ๋ยในปริมาณมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยประเภทนี้มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ

ปุ๋ยเดี่ยวหรือแม่ปุ๋ย เป็นปุ๋ยที่มีธาตุปุ๋ยไม่ครบ 3 ธาตุ เช่น ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งมีไนโตรเจนเพียงธาตุเดียว ปุ๋ยดินประสิว ซึ่งมีไนโตรเจนและโปแทสเซี่ยม ปุ๋ยกลุ่มนี้มักจะถูกนำมาผสมกันเป็นปุ๋ยผสม แต่บางครั้งอาจถูกนำมาใช้โดยตรงเพื่อปรับการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งการใช้จะต้องกระทำอย่างระมัดระวัง

ปุ๋ยผสม เป็นปุ๋ยที่มีธาตุปุ๋ยครบ 3 ธาตุ โดยเป็นผลจากการผสมปุ๋ยเดี่ยวหลายชนิดเข้าด้วยกัน โดยแบ่งตามสูตรปุ๋ยได้ เป็น 4 ประเภทคือ

  • ปุ๋ยสูตรเสมอ คือ ปุ๋ยที่มีธาตุทั้ง 3 ในปริมาณที่เท่ากัน ใช้เมื่อไม่ต้องการเร่งส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ คือให้พืชเจริญเติบโตตามปกติ เช่นสูตร 15-15-15, 20-20-20 เป็นต้น
  • ปุ๋ยหน้าสูง คือ ปุ๋ยที่มีธาตุ ไนโตรเจนมากกว่าธาตุฟอสฟอรัสและธาตุโปรแตสเซียม ใช้เมื่อต้องการเร่งการเจริญเติบโตทางต้น มักให้ในระยะกล้า จะทำให้พืชมีใบเขียวขึ้น ต้นโตขึ้น เช่นสูตร 30-20-10, 20-10-10 เป็นต้น
  • ปุ๋ยสูตรกลางสูง คือ ปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัสมากกว่าธาตุไนโตรเจนและธาตุโปรแตสเซียม ใช้เมื่อต้องการเร่งการเจริญเติบโตทางราก หรือเร่งให้ออกดอกเร็วขึ้น เช่น ปุ๋ย สูตร 15-30-15, 12-24-12 เป็นต้น
  • ปุ๋ยหลังสูง คือ ปุ๋ยที่มีธาตุโปรแตสเซียมมากกว่าธาตุไนโตรเจนและธาตุฟอสฟอรัส ใช้เร่งสีให้เข้มขึ้น หรือเพิ่มความหวานให้มากขึ้น เช่นสูตร 12-12-27, 10-20-30 เป็นต้น

ปุ๋ยผสมนี้ยังแบ่ง ตามลักษณะ เป็น 3 กลุ่มย่อย คือ

  • ปุ๋ยเม็ด เป็นปุ๋ยที่มักคลุกเคล้าดินกับธาตุปุ๋ยจากการผสมของปุ๋ยเดี่ยว เป็นปุ๋ยที่ปลดปล่อยธาตุอาหารแก่พืชได้ค่อนข้างรวดเร็วตามการละลายของเม็ดปุ๋ย ซึ่งมีขนาดต่าง ๆ กัน ปุ๋ยกลุ่มนี้มักมีราคาถูก เป็นที่นิยมใช้โดยทั่วไป มักใส่ให้พืชทุก 1-4 สัปดาห์
  • ปุ๋ยเม็ดละลายช้า เป็นปุ๋ยที่ธาตุปุ๋ยได้จากการผสมของปุ๋ยเดี่ยว ถูกปั้นให้เป็นเม็ด แล้วเคลือบผิวด้วยสารที่ยอมให้น้ำผ่านเข้าไปภายในได้ทีละน้อย ทำให้การปลดปล่อยธาตุอาหารผันแปรตามอุณหภูมิ และ/หรือความชื้นของวัสดุปลูก ปุ๋ยจึงอาจให้อาหารแก่พืชได้อย่างต่อเนื่อง 3-12 เดือน ปุ๋ยกลุ่มนี้มักมีราคาแพง จึงใช้กันในวงจำกัด เฉพาะที่ปลูกพืชเป็นเวลานาน โดยมีแรงงานให้ปุ๋ยไม่เพียงพอ
  • ปุ๋ยเกร็ด เป็นปุ๋ยที่มีความบริสุทธิ์ค่อนข้างสูง สามารถละลายน้ำได้ดี เกิดจากการนำปุ๋ยเดี่ยวคุณภาพสูงมาคลุกเคล้ากัน ซึ่งบ่อยครั้งจะมีการเพิ่มไวตามินบี และสารควบคุมการเจริญเติบโตเข้าไปด้วย ปุ๋ยกลุ่มนี้ต้องละลายน้ำรดให้แก่พืช หรือผสมไปในระบบน้ำก็ได้ ปุ๋ยกลุ่มนี้อาจถูกเรียกว่าปุ๋ยใบ เพราะพืชดูดไปใช้ได้ทั้งทางรากและใบ มักนิยมใช้กับกล้วยไม้ หรือพืชที่ต้องการปุ๋ยอย่างเร่งด่วน การที่ต้องให้ปุ๋ยกลุ่มนี้บ่อยจึงทำให้เป็นปุ๋ยที่มีค่าใช้จ่ายในการใช้ค่อนข้างสูง

เมื่อเลือกชนิดของปุ๋ยได้ตามความเหมาะสมแล้ว เราต้องเลือกสูตรและตราของปุ๋ยที่จะใช้ด้วย การเลือกในกรณีหลังนี้คงต้องมีการศึกษาทดลองกับพืชที่เราปลูกเลี้ยงอยู่ เนื่องจากการเลือกสูตรนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของวัสดุปลูกที่ใช้อยู่ เพราะวัสดุปลูกที่ต่างกันจะมีธาตุอาหารพืชในปริมาณที่ต่างกัน ความต้องการธาตุปุ่ยจึงต้องต่างกันไป นอกจากนี้ปุ๋ยแต่ละตรายังมีธาตุอาหารอื่น ๆ แตกต่างกันไป จึงเหมาะกับวัสดุปลูกที่ต่างกันด้วย อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อปุ๋ยควรต้องคำนึงเรื่องราคาไว้ด้วย

การให้ปุ๋ย
วิธีการให้ปุ๋ยไม้ดอกกระถางนั้นค่อนข้างง่าย แต่ก่อนการให้ปุ๋ยทุกชนิดใบต้องไม่เหี่ยว วัสดุปลูกต้องชื้น ไม่แห้ง ใบต้องแห้ง ควรให้เวลาเช้าหรือเย็น และใช้หลัก ให้จำนวนน้อยแต่บ่อยครั้ง ดีกว่าให้จำนวนมากแต่น้อยครั้ง การให้ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ตามชนิดของปุ๋ยคือ

  1. การให้ปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำ (ปุ๋ยใบ) ปุ๋ยชนิดนี้มีลักษณะเป็นเกล็ดขนาดเล็ก หรือเป็นผง ต้องนำมาละลายน้ำให้เจือจางก่อนใช้ อัตราการใช้ 50 ถึง 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ระยะใบเลี้ยง ถึง 6 ใบจริง ให้ใช้อัตราต่ำคือ 50 กรัม/20 ลิตร ต่อจากนั้นใช้อัตรา 60 ถึง 100 กรัม/20 ลิตร รดตอนเช้า และรดน้ำล้างอีกเล็กน้อยในตอนสายเพื่อป้องกันการตกค้างของปุ๋ยบนใบหรือดอก
    ปุ๋ยใบ 1 ช้อนโต๊ะปาด มีน้ำหนักประมาณ 15 กรัม

    ปุ๋ยใบ 1 ช้อนโต๊ะปาด ผสมน้ำ 3 ลิตร มีความเข้มข้นเท่ากับ 100 กรัม/ 20 ลิตร ปุ๋ยใบควรละลายน้ำแล้วพ่นให้เปียกทั่วต้นพืช เพราะปุ๋ยใบสามารถซึมเข้าทางใบเป็นประโยชน์กับพืชได้อย่างรวดเร็ว ถ้าพ่นกับพืชที่ใบติดน้ำยากต้องผสมสารจับใบ (ยาเปียกใบ) ต้นละประมาณ 5 ถึง 20 ซีซี. แล้วแต่ขนาดของกล้า จึงจะได้ผลดี แต่ในระยะกล้าควรใส่บัวฝอยละเอียดราดให้ถูกทั้งใบ และให้ไหลลงดินด้วย รากพืชจะได้ปุ๋ยด้วย
  2. การให้ปุ๋ยเม็ด ปุ๋ยชนิดนี้มีลักษณะเป็นเม็ด ใช้หว่าน หรือโรย โดยหว่านรอบ ๆ ของกระถางด้านใน หรือให้เป็นจุดบนดิน หรือฝังเป็นจุดบนวัสดุปลูก หรือรองก้นกระถางตอนย้ายปลูกถ้าเป็นปุ๋ยเม็ดจะใช้ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง

    ปุ๋ยเม็ดแบ่งได้ 2 อย่างคือ ปุ๋ยเม็ดปกติ และปุ๋ยเม็ดละลายช้า (ปุ๋ยละลายช้า)
    ปุ๋ยเม็ดปกติ 1 ช้อนโต๊ะมาตรฐานปาด หนักประมาณ 12 ถึง 14 กรัม
    ปุ๋ยเม็ดละลายช้า 1 ช้อนโต๊ะมาตรฐานปาด หนักประมาณ 12 กรัม ปุ๋ยเม็ดละลายช้าจะใช้ครั้งละมาก แต่นาน ๆ ครั้ง เพราะต้องให้เนื้อปุ๋ยเท่ากันในเวลาที่เท่ากัน (การให้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าไม่ช่วยให้ประหยัดปริมาณการใช้ปุ๋ย)

ระยะกล้าถึง 6 ใบจริงไม่ควรให้ปุ๋ยเม็ดปกติ แต่ให้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าได้ หลังจากนั้นให้ปุ๋ยเม็ดปกติได้ประมาณ 3 ถึง 20 เม็ด ต่อกระถาง เมื่อต้นยังเล็ก ให้ 3 เม็ด และเพิ่มขึ้นเมื่อกล้ามีอายุมากขึ้น ข้อระวังคือ ไม้ดอกบางชนิดโตช้า เช่น พังพวย และผีเสื้อ ต้องให้ปุ๋ยน้อยกว่าไม้ดอกที่โตเร็ว เช่น ดาวเรือง และบานชื่น

นอกจากการใช้ปุ๋ยที่กล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ปลูกเลี้ยงไม้ดอกอาจให้อาหารเสริม ธาตุรอง ไวตามิน น้ำตาล สารเร่งราก หรือยาโด๊ปชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพของต้นไม้อีกก็ได้ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มักไม่คุ้มทุนในเชิงการค้า จึงไม่กล่าวถึงในที่นี้

» การเพาะเมล็ด
» การย้ายกล้า
» การย้ายปลูกลงกระถาง
» การเด็ดยอด
» การให้น้ำ
» การให้ปุ๋ย
» การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
» โรคของไม้ดอกกระถาง
» การแพร่ระบาดของโรค
» ลักษณะอาการของโรค
» การป้องกันกำจัดโรคพืช
» แนวทางการป้องกันกำจัดโรค
» การปฏิบัติเพื่อให้มีอายุใช้งานได้นาน

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย