เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การปลูกไม้ดอกกระถาง
การให้น้ำ
พืชทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์เมื่อได้รับปัจจัยการเจริญเติบโตที่เหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็นแสง อุณหภูมิ น้ำ อากาศ และอาหาร ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ
เหล่านี้จะทำให้ดุลยภาพของกลไกการเจริญเติบโตเกิดขึ้นได้ เช่น
พืชซึ่งขึ้นในที่ร่มของเขตอากาศร้อนจะไม่อาจเจริญเติบโตในที่ซึ่งมีแสงแดดจัดหรือมีอุณหภูมิต่ำ
การผลิตพืชให้ได้ผลดีจึงต้องมีการควบคุมปัจจัยการเจริญเติบโตเหล่านี้
ซึ่งในเรื่องของแสงและอุณหภูมินั้นอาจใช้โรงเรือนช่วยปรับสภาพได้
ขณะที่เรื่องอากาศนั้นจะมีปัญหาเฉพาะพื้นที่ซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมหรือมีการจราจรคับคั่ง
การเลือกพื้นที่ซึ่งปราศจากมลพิษทางอากาศจึงไม่ยากนัก
น้ำเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบนโลก
ทำให้เซลล์พืชแตกละลายเกลือแร่และสารที่ส่งเสริมการเจริญเติบโต
นอกจากนี้น้ำยังถูกนำไปใช้ในขบวนการสังเคราะห์สารอินทรีย์ต่าง ๆ อีกมาก
ปกติพืชจะหาน้ำจากดินหรือวัสดุปลูก
แต่ในบางกรณีพืชอาจนำน้ำซึ่งอยู่ในสภาพเป็นไอในอากาศมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย
ความชื้นในอากาศนี้ยังมีผลต่ออุณหภูมิภายในต้นพืชอีกด้วย
เนื่องจากสภาพที่อากาศมีความชื้นสูง ปากใบของพืชจะปิด
ไม่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำ
อาจทำให้อุณหภูมิภายในต้นและใบพืชสูงกว่าอุณหภูมิภายนอกได้
คุณภาพของน้ำเป็นสิ่งที่เกษตรกรหรือผู้ปลูกเลี้ยงต้นไม้ต้องให้ความสนใจ อุณหภูมิของน้ำที่ใช้รดต้นไม้จะต้องไม่ต่ำหรือสูงเกินไป เนื่องจากใบและรากต้นไม้อาจได้รับอันตรายจากการที่น้ำมีอุณหภูมิต่ำหรือสูงเกินไป เช่น ใบของต้นแอฟริกันไวโลเล็ตจะเกิดรอยแผลเมื่อรดด้วยน้ำที่เย็นเกินไป ซึ่งมักจะพบในกรณีที่ปลูกเลี้ยงเป็นไม้กระถางประดับโต๊ะในห้องปรับอากาศ แล้วรองน้ำสำหรับรดต้นไม้เก็บไว้ในห้องนั้นเป็นเวลานาน ๆ เป็นต้น ซึ่งเรื่องอุณหภูมิของน้ำนี้เป็นเรื่องที่มักถูกมองข้ามความสำคัญไปอยู่เสมอ
ความเป็นกรด-เบสของน้ำ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กำหนดคุณภาพของน้ำ เนื่องจากเกลือแร่แต่ละชนิดจะมีความเป็นประโยชน์ต่อพืชแตกต่างกันเมื่อละลายในน้ำที่มีความเป็นกรด-เบสต่างกัน โดยทั่วไปแล้วค่าความเป็นกรด-เบสของน้ำจะมีหน่วยจัดเป็น pH ซึ่งน้ำที่เป็นกรดจะมี pH ต่ำกว่า 7 ขณะที่น้ำที่เป็นเบสมีค่า pH มากกว่า 7 น้ำที่มีความเป็นกรด-เบสเหมาะสมสำหรับการรดน้ำพืชควรมีค่า pH ราว 5-7 ซึ่งเป็นระดับที่เกลือแร่และยากำจัดศัตรูพืชถูกทำลายได้ดี สำหรับค่า pH ซึ่งสูงเกินไปเราอาจใช้กรด เช่น กรดไนตริก กรดเกลือ หรือแม้กระทั่งน้ำส้มสายชู ปรับลดลงมาได้ ส่วนกรณีที่น้ำมีค่า pH ที่ต่ำเกินไปเราอาจใช้โซดาไฟ ด่างคลี หรือสบู่ ปรับให้ค่า pH สูงขึ้นได้
ปริมาณและชนิดของเกลือแร่ในน้ำ เป็นปัจจัยด้านคุณภาพของน้ำที่สำคัญที่สุด น้ำที่มีเกลือแร่ละลายเจือปนอยู่มากอาจเป็นพิษหรือเกิดผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจากระบบรากที่สัมผัสกับน้ำที่มีเกลือแร่เจือปนอยู่มากนั้นจะปลดปล่อยน้ำออกจากราก ทำให้รากเหี่ยวเสียหายได้ เกลือแร่บางชนิด เช่น โลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรมนั้น จะมีพิษโดยตรงกับพืช น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ในแหล่งชุมชนอาจมีปัญหาคุณภาพน้ำได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำเสียจากบ้านเรือนนั้นมักมีไขมันและเกลือฟอสเฟตปะปนมากับสารอินทรีย์อื่น ๆ ทำให้น้ำมีปริมาณออกซิเจนต่ำและมีสิ่งเจือปนมาก จนไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของต้นพืช การเลือกหาแหล่งน้ำคุณภาพดีจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการเพาะปลูกต้นไม้
การให้น้ำต้นไม้นั้น อาจกระทำได้หลายวิธี เช่น
- การใช้สายยางฉีด วิธีนี้เป็นวิธีที่กระทำกันมานานอย่างค่อนข้างจะได้ผลดี
เนื่องจาก
คนรดน้ำที่มีประสิทธิภาพจะรดน้ำให้ต้นไม้ได้น้ำในปริมาณที่เหมาะสมตามชนิดของพืชและวัสดุปลูก
แต่วิธีนี้ต้องใช้แรงงานมากและขยันขันแข็ง
ปกติการใช้สายยางฉีดนี้มักนิยมให้หัวบัวหรือหัวฉีดพ่นฝอยแทนการบีบปลายสายยาง
เพื่อให้แรงดันน้ำสม่ำเสมอ ไม่เป็นอัตรายต่อต้นไม้
- การใช้ปริงเกอร์
วิธีนี้เป็นวิธีที่กระทำกันในระยะหลังเมื่อมีภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีประสิทธิภาพ
โดยวิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้ระบบอัตโนมัติหรืออาจใช้คนควบคุมการทำงานก็ได้
การให้น้ำระบบนี้จะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศบริเวณที่ปลูกพืชได้
และสามารถช่วยลดอุณหภูมิในบริเวณดังกล่าวได้หากมีการไหลเวียนของกระแสลมที่ดี
อย่างไรก็ตาม การใช้สปริงเกอร์มีข้อจำกัดอยู่บ้างคือ หัวสปริงเกอร์อาจติดขัด
ทำให้พื้นที่บางจุดอาจไม่ได้รับน้ำตามปกติ
และเนื่องจากการให้น้ำระบบนี้จะค่อนข้างสม่ำเสมอกันทั้งพื้นที่
จึงไม่เหมาะสมสำหรับกรณีปลูกต้นไม้ที่มีความต้องการน้ำแตกต่างกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ต้นไม้มีความหนาแน่นของทรงพุ่มต่างกัน
เพราะความหนาแน่นของทรงพุ่มจะมีผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำที่ระบบรากจะได้รับ
- การใช้น้ำหยด วิธีนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กระทำกันในระยะหลังเมื่อปลูกพืชในโรงเรือนกันฝน แต่การใช้มีจำกัดมาก โดยใช้เฉพาะพืชที่ดอกและใบบอบบาง ชอกช้ำจากแรงกระแทกของน้ำได้ง่าย การให้น้ำวิธีนี้อาจใช้ระบบอัตโนมัติหรือใช้คนควบคุมการทำงานก็ได้ ข้อจำกัดของระบบนี้คือ ต้นทุนการติดตั้ง ซึ่งต้องรวมระบบกรองน้ำด้วย นอกจากนี้ การใช้น้ำหยดจะทำให้ฝุ่นละอองที่ติดค้างบนผิวใบไม่ถูกชะล้าง จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งกับพืชที่ปลูกในบริเวณที่มีฝุ่นละอองในอากาศมาก อย่างไรก็ตามวิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดน้ำมากที่สุด
จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่า การเลือกวิธีการให้น้ำแก่ต้นไม้นั้นขึ้นกับปริมาณน้ำ สภาพแวดล้อม และรูปแบบการปลูกพืช ชาวสวนไม้ดอกไม้ประดับของไทยส่วนใหญ่มักปลูกพืชหลาย ๆ ชนิด หลาย ๆ ขนาดในบริเวณเดียวกัน จึงนิยมใช้การให้น้ำด้วยสายยาง แต่การที่ขาดแคลนแรงงานจึงทำให้ระบบสปริงเกอร์ถูกนำมาใช้ทั้งที่ไม่เหมาะสมนัก ซึ่งเกษตรกรต้องยอมรับการลดลงของคุณภาพต้นไม้ที่ใช้ระบบสปริงเกอร์ด้วย
ปริมาณและความถี่ในการให้น้ำนั้นขึ้นกับความสามารถในการอุ้มน้ำของวัสดุปลูกและอัตราการระเหยน้ำ โดยปกติเรานิยมให้น้ำตอนเช้าวันละครั้ง ในปริมาณที่มากพอที่จะไม่ทำให้พืชเหี่ยวในตอนบ่าย และไม่มากจนวัสดุเปียกชื้นถึงการรดน้ำครั้งต่อไป เนื่องจากสภาพที่เปียกชื้นตลอดเวลาอาจทำให้ระบบรากขาดอากาศหายใจ และพืชอ่อนแอต่อการเข้าทำลายของโลก
»
การเพาะเมล็ด
»
การย้ายกล้า
»
การย้ายปลูกลงกระถาง
»
การเด็ดยอด
» การให้น้ำ
»
การให้ปุ๋ย
»
การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
»
โรคของไม้ดอกกระถาง
»
การแพร่ระบาดของโรค
»
ลักษณะอาการของโรค
»
การป้องกันกำจัดโรคพืช
»
แนวทางการป้องกันกำจัดโรค
»
การปฏิบัติเพื่อให้มีอายุใช้งานได้นาน