ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
ความหมายของคุณธรรมจริยธรรม
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม
แนวคิด หลักการ ทฤษฏีทางคุณธรรมจริยธรรม
ธรรมชาติของมนุษย์ทางด้านคุณธรรมจริยธรรม
ทฤษฏีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม
เกณฑ์การตัดสินจริยธรรม
จริยธรรมของคนไทย
ค่านิยมและจรรยาบรรณ
ทฤษฏีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม
ทฤษฏีความต้องการของมาสโลว์
(Maslow is Theory of Need Gratification)
มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม
ซึ่งนักจิตวิทยากลุ่มนี้เชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เกิดมาดีและพร้อมที่จะทำสิ่งดี
ถ้าความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ มาสโลว์ (Maslow)
เป็นผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้าถึงความต้องการของมนุษย์
โดยมองเห็นว่ามนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีความต้องการที่จะสนองความต้องการให้กับตนเองทั้งสิ้น
ซึ่งความต้องการมนุษย์ มีมากมายหลายอย่างด้วยกัน
เขาได้นำความต้องการเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นลำดับจากขั้นต่ำไปขั้นสูงสุดเป็น 5 ขั้น
ด้วยกัน
1. ความต้องการด้านร่างกาย (physiological needs)
เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำดื่ม อากาศ การพักผ่อน
ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ต้องการขจัดความเจ็บป่วย
และต้องการรักษาความสมดุลของร่างกาย ทุกคนต้องการสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน
อาจแตกต่างกันเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ วัย และสถานการณ์ ฯลฯ
ความต้องการปัจจัย 4 ดังกล่าวข้างต้น หากเพียงพอแล้ว มนุษย์จะพัฒนาในขั้นต่อไป
2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (safety needs)
เมื่อได้รับความพึงพอใจทางด้านร่างกายแล้ว มนุษย์จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สองคือ
ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย สิ่งที่แสดงถึงความต้องการขั้นนี้คือ
การที่มนุษย์ชอบอยู่อย่างสงบ มีระเบียบวินัย ไม่รุกรานผู้อื่น
ความต้องการระดับนี้อาจแยกย่อยได้ดังนี้
- ความมั่นคงในครอบครัว การมีบ้านแข็งแรงปลอดภัย มีความรักใคร่ปรองดองกันในครอบครัว
- ความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพ มีรายได้ยุติธรรม ไม่ถูกไล่ออก งานไม่เสี่ยงอันตราย ผู้บังคับบัญชาดีมีความยุติธรรม ฯลฯ
- มีหลักประกันชีวิต เช่น มีผู้ดูแลเอาใจใส่ยามชรา ยามเจ็บไข้
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (belongingness and love need)
- ความต้องการมีเพื่อน
- ความต้องการการยอมรับจากกลุ่ม
- ต้องการแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม
- ต้องการรักคนอื่นและได้รับความรักจากคนอื่น
- ต้องการความรู้สึกว่าสังคมเป็นของตน
4. ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง และความภาคภูมิใจ (sefl- esteem need) ได้แก่
- ต้องการยอมรับความคิดเห็นหรือข้อเสนอ
- ต้องการเกียรติยศชื่อเสียงจากสังคม
- ต้องการนับถือตนเอง มีความมั่นใจตนเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น
- ต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น
- ต้องการความมั่นใจในตนเอง และรู้สึกตนเองมีคุณค่า
5. ความต้องการตระหนักในตนเอง (self-actualization need) ได้แก่
- ต้องการรู้จักตนเอง ยอมรับตนเอง เปิดใจรับฟังคำวิจารณ์โดยไม่โกรธ
- ต้องการรู้จักแก้ไขตนเองในส่วนที่ยังบกพร่อง
- ต้องการพัฒนาตนเอง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเกี่ยวกับตนเอง
- ต้องการค้นพบความจริง พร้อมที่จะเปิดเผยตนเองโดยไม่มีการปกป้อง
- ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง
แนวคิดตามทฤษฏีของมาสโลว์
จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม
บุคคลที่พัฒนาถึงขั้นตระหนักในตนเอง (self-actualization) เป็นบุคคลที่มีจริยธรรม
มีวินัยในตนเอง และมีบุคลิกภาพประชาธิปไตย การพัฒนาจากขั้นต้นไปสู่ขั้นต่อ ๆ ไปนั้น
ต้องอาศัยความ พอ ของบุคคล ซึ่งความพอนี้ นอกจากจะขึ้นกับสภาพทางกายแล้ว
ยังขึ้นอยู่กับความรู้สึกพอดีด้วย
จึงมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องได้รับการสนองตอบความต้องการพื้นฐานเท่า ๆ กัน
แต่เป็นไปตามลำดับขั้นเหมือน ๆ กัน
พรรณี ช. เจนจิต (2538 :461-476)
ได้กล่าวถึงลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ตามแนวคิดของมาสโลว์ว่ามาสโลว์กำหนดความต้องการของมนุษย์จากขั้นต่ำสุดไปสู่ขั้นสูงสุดเป็น
7 ชั้น ด้วยกัน โดยที่มนุษย์จะมีความต้องการในขั้นสูงต่อไป ถ้าความต้องการในขั้นต้น
ๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว
ลำดับ 7 ขั้นของความต้องการมีดังนี้
ความต้องการทางสุนทรียะ
ความต้องการที่จะรู้และเข้าใจ
ความต้องการที่จะตระหนักในความสามารถของตนเอง
ความต้องการการยอมรับและได้รับการยอมรับ
ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ
ความต้องการความปลอดภัย
ความต้องการทางด้านร่างกาย
(Abraham H. Maslow, A Theory of Hunman Motivation Psychological Review
vol. 50. 1943 . PP 340-396. อ้างในพรรณี ช. เจนจิต 2538 : 463)
ความต้องการทั้ง 7 ขั้น มาสโลว์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1
ความต้องการขั้นที่ 1 4 เรียกว่า ความต้องการขั้นต่ำ
กลุ่มที่ 2 ความต้องการขั้นที่ 5 - 7 เรียกว่า ความต้องการขั้นสูง
ซึ่งความต้องการของ 2 กลุ่ม มีความแตกต่างกัน ดังนี้
ความต้องการขั้นต่ำ
1. มนุษย์ทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำเร็จหรือขจัดความต้องการขั้นต่ำ เช่น
เมื่อหิว ก็ต้องหาอาหารมากินเพื่อขจัดความหิว
2.
แรงจูงใจอันเนื่องมาจากความต้องการขั้นต่ำจะนำไปสู่การกระทำเพื่อลดความตึงเครียดต่าง
ๆ ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล เช่น
คนที่ต้องการการยอมรับนับถือจะทำทุกสิ่งให้ได้มาซึ่งการยอมรับนับถือ
ความมีชื่อเสียง
3. การที่มนุษย์สามารถสนองความต้องการขั้นต่ำ
ทำให้หลีกเลี่ยงจากความทุกข์หรือความเจ็บป่วยได้ เช่นอากาศหนาว
เราจะนอนไม่หลับจนกว่าจะได้เสื้อหรือผ้าห่มจึงจะนอนหลับ
4. การที่มนุษย์สามารถสนองความต้องการขั้นต่ำจะรู้สึกว่าพ้นจากความทุกข์
พ้นจากความกระวนกระวาย จะเกิดความรู้สึกว่าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วในขณะนั้น
5. การสนองความต้องการขั้นต่ำจะมีลักษณะเป็นครั้งคราว หรือเป็นเป็นเวลา
และมีลักษณะที่ใช้หมดไปในแต่ละครั้ง
6. ความต้องการขั้นต่ำซึ่งต้องการการตอบสนอง
จากปัจจัยภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีประสบการณ์ร่วมกัน เช่น
รู้ว่าความหิวเป็นเช่นไร หรือความต้องการความรัก การยอมรับจากกลุ่มเป็นอย่างไร
7. ความสนองต้องการขั้นต่ำ ซึ่งต้องการอาศัยปัจจัยภายนอกนั้น
ส่วนใหญ่ผู้อื่นเป็นผู้สนองให้ ซึ่งจะทำให้คนเกิดความรู้สึกที่ต้องคอยพึ่งพาผู้อื่น
ซึ่งจะนำความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
ทำอะไรต้องคอยระมัดระวังการยอมรับของผู้อื่นคอยดูว่า ผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับตน
8. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นต่ำ
ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คอยพึ่งพาผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่เห็นว่าจะสนองความต้องการให้ได้
ซึ่งจะกลายเป็นคนสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นในวงจำกัด
ไม่สนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่สามารถทำประโยชน์ให้ได้
9. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นต่ำ มีแนวโน้มจะยึดตนเป็นศูนย์กลาง
ไม่คอยคำนึกถึงปัญหา มักจะคำนึกถึงเรื่องส่วนตัว
10. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นต่ำ จะช่วยตัวเองไม่ได้
ต้องคอยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เมื่อเข้าที่คับขันหรือประสบปัญหายุ่งยากต่างๆ
ความต้องการขั้นสูง
1. มนุษย์จะแสวงหาความพึงพอใจขั้นสูงสุด เช่น แสวงหาความรู้
หรือทำประโยชน์ให้สังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นอกจากความพึงพอใจ
2. แรงจูงใจที่เนื่องมาจากความต้องการขั้นสูง
จะทำให้คนมีความสบายใจอยู่ได้แม้ในสภาพที่มีความตึงเครียด เช่น
ทนได้แม้นแต่คำนินทาว่าร้าย
ไม่สะดุ้งสะเทือนเพราะตระหนักดีถึงความสามารถที่ตนจะทำประโยชน์ให้แก่สังคมเกินกว่าจะไปสนใจคำพูดของคนบางคนหรือคำพูดของคนบางกลุ่ม
3. การที่สามารถสนองความต้องการขั้นสูงได้ จะทำให้เกิดความสุข
มีสุขภาพจิตดี เช่น คนที่มีความปรารถนาจะศึกษาค้นคว้าโดยมิได้มีสิ่งล่อใจอื่นใด
จะมีความสุข ความอิ่มใจ มากกว่าการกระทำที่หวังสิ่งตอบแทน
4. การสนองความต้องการขั้นสูง จะนำไปสู่ความพึงพอใจและความปรารถนา
จะแสวงหาความสุข ในขั้นต่อไป
เช่นการแสวงหาโดยมิได้หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้ผู้ที่แสวงหาเกิดความสุข ความพึงพอใจ
โดยไม่มีที่สิ้นสุด
5.การสนองความต้องการขั้นสูง เป็นเรื่องต่อเนื่องกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
6. ความต้องการขั้นสูง เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว
ทั้งนี้เพราะความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น บางคนฟังดนตรี
หรือมองพระจันทร์แล้วเกิดความซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
ซึ่งเป็นความรู้สึกเกินกว่าจะบรรยายให้ผู้ใดรับทราบได้
7. การสนองความต้องการขั้นสูงนั้น
แต่ละคนจะเป็นผู้สนองความต้องการให้กับตนเอง
ซึ่งจะนำไปสู่การพึ่งตนเองหรือนำตนเองได้ เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ต้องวิตกกังวลว่าใครจะคิดอย่างไรกับตน ซึ่งสามารถทำงานได้เต็มที่
8. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นสูง จะเป็นคนที่พึ่งตนเองได้
จะเป็นผู้สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนทั่วไป
ไม่ใช่สร้างสัมพันธ์เฉพาะกับคนที่จะทำประโยชน์ให้เท่านั้น
9. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นสูง จะเป็นคนคำนึกถึงปัญหามากกว่า
ไม่ค่อยคำนึกถึงเรื่องส่วนตัว เป็นผู้ทำงานเพื่องาน
มุ่งผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว
10. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นสูง จะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี
แม้เมื่อเข้าที่คับขันทั้งนี้เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเอง
สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง
แนวคิดของนักวิจิตวิทยาที่เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมดังกล่าวข้างต้น
เป็นพื้นฐานประการหนึ่งที่ผู้บริหารควรนำมาพิจารณาประกอบการพิจารณาคุณธรรมจริยธรรมของตนเองและบุคคลที่อยู่ในบังคับบัญชา
เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของตนเองและในปกครองด้วย
วิชาจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์
ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม การกระทำ และการะบวนการคิดไปพร้อมๆ
กับการศึกษาถึงเรื่องสติปัญญา ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ การให้เหตุผล
เรื่องของตนเอง หรือเรื่องของมนุษย์
และพยายามอธิบายเกี่ยวกับวิธีการปรับตัวของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าเป็นทางทฤษฎีจิตวิทายาด้านบุคลิกภาพจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาพัฒนาการ
จิตวิทยาความแตกต่างระหว่างบุคคล จิตวิทยาสังคม
ล้วนเป็นเรื่องศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ เหตุแห่งความเป็นมาและผลที่เกิดขึ้น
การศึกษาในแนวจิตวิทยาจึงเป็นการศึกษาที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งคนทั่วไปค่อนข้างยอมรับในหลักการทฤษฎีว่าเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ
แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาตัดสินว่า
เรื่องใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อขอให้ถือตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์
ในบทกาลามสูตรที่ว่าการเชื่อสิ่งใดให้ถือปฏิบัติตามหลัก 10 ประการ คือ
อย่าเชื่อเพราะฟังตามกันมา อย่าเชื่อเพราะถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
อย่าเชื่อเพราะเสียงเล่าลือ อย่าเชื่อเพราะการอ้างตำราหรือคัมภีร์
อย่าเชื่อด้วยว่าเป็นตรรกะ อย่าเชื่อด้วยการอมุมาน
อย่าเชื่อด้วยความคิดตามแนวเหตุผล อย่าเชื่อเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
อย่าเชื่อเพราะมองเห็น รูปลักษณะน่าเชื่อ
และอย่าเชื่อเพราะนับถือว่าผู้บอกนั้นเป็นครูของเรา
แต่ให้เชื่อต่อเมื่อได้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาของตนเองและปฏิบัติตามจนเห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อว่าจริง
ศรัทธา และปัญญา
......ศรัทธาความเชื่อนั้น
กล่าวได้ว่ามีสองอย่างได้แก่
ศรัทธาที่มีผู้อื่นชักนำ กับ
ศรัทธาที่เกิดขึ้นในตัวเอง
ศรัทธาอย่างไหนก็ตาม
อาจให้ผลได้ทั้งทางดีและทางเสื่อม
ขึ้นอยู่กับวิธีการสร้างขึ้น
ถ้าสักแต่ว่าเชื่อ
ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว
ก็ไม่ได้ประโยชน์จากปัญญานั้น
อาจเกิดโทษก็ได้
จำเป็นต้องใช้ปัญญาความรู้เหตุรู้ผล
พิจารณาวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ก่อน
ว่าเรื่องใดสิ่งใดมาจากความคิดที่ดีหรือความคิดที่ชั่ว
แล้วปลูกศรัทธาลง
แต่ในส่วนที่เกิดจากความคิดที่ดี
จึงจะได้ประโยชน์เต็มเปี่ยม...
พระบรมราโชวาท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ทฤษฏีพัฒนาจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kolberg)
ทฤษฏีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory)
ทฤษฏีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow is Theory of Need Gratification)