ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
รากเหง้าเหตุผลและศีลธรรมตะวันตก
สมเกียรติ ตั้งนโม
ความคิดเห็นโดยทั่วไป
ชีวิตของโสกราตีส
แนวความคิดต่างๆ
จริยศาสตร์
สกุลความคิดรองของโสกราตีส
สกุลความคิดรองของโสกราตีส
คำสอนของโสกราตีสมีประเด็นหลักๆอยู่ 2 ประเด็นด้วยกันคือ
อันแรกเป็นเรื่องของแนวความคิด ส่วนอันที่สองคือเรื่องของศีลธรรมหรือจริยธรรม
แต่อย่างไรก็ตาม
ไม่ใช่ว่าลูกศิษย์ของโสกราตีสทั้งหมดจะบรรลุถึงความเข้าใจในความล้ำลึกเกี่ยวกับคำสอนของปรมาจารย์ของพวกเขา
สานุศิษย์เป็นจำนวนมาก แรกเริ่มเดิมทีได้ร่ำเรียนกันมาจากบรรดาพวกโซฟิสท์
หรือไม่ก็มาจากสำนัก Eleatics, และพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะ
หรือดำรงตำแหน่งสถานะทางสังคมในช่วงเริ่มต้นของพวกเขา
และในการเข้าใจและรู้ซึ้งความหมายเกี่ยวกับแนวความคิดของโสกราตีสในความบริสุทธิ์ของมัน
พวกเขาเชื่อว่า แนวความคิดของโสกราตีสไม่ได้แตกต่างไปจาก Protagoras มากนัก
ซึ่งกล่าวว่า "มนุษย์คือมาตรวัดของสรรพสิ่ง"( man -- measure-of-all-things)
และในเรื่องคำสอนเกี่ยวกับ"ความดี"ก็เป็นอย่างเดียวกันกับคำสอนเรื่องนี้ของ
Parmenides
ทายาทหรือผู้สืบทอดมรดกทางจิตวิญญาณของ"โสกราตีส"คือ"เพลโต"
ผู้ซึ่งอยู่ในอคาเดมีและได้นำพาคำสอนของปรมาจารย์ไปสู่การพัฒนาจนถึงขีดสูงสุดของมัน
คนอื่นๆ ภายหลังจากที่โสกราตีสถึงแก่กรรม ได้หวนกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง
และได้เปิดสำนักความรู้ต่างๆขึ้นมา
โดยการสอนสิ่งซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงการหวนกลับไปสู่คำสอนของพวกโซฟิสท์หรือเอเลียติค(Eleatic).
สำนักความรู้เหล่านี้ถูกเรียกว่าสำนักความคิดรองของโสกราตีส(Minor Socratic
Schools) ที่เรียกว่า Socratic ก็เพราะว่า หลังจากตัวอย่างต่างๆของโสกราตีส
พวกเขาได้ให้ความสนใจในความรู้เกี่ยวกับศีลธรรม; และที่เรียกว่า Minor ก็เพราะ
ความคิดของโสกราตีสไม่ได้รับการอธิบายเพื่อคุณความดีของตัวมันเอง
แต่โดยการที่เอียงไปสู่ตำแหน่งเดิมต่างๆนั่นเอง
สำนักความคิดชั้นรองมีอยู่ด้วยกัน 4 สำนักคิดคือ
1. The
Megarian, ก่อตั้งขึ้นมาโดย Euclid แห่ง Megara
2. The Elian, ก่อตั้งขึ้นมาโดย Phaedo
3. The Cynic; และ
4. The
Cyrenaic
ในที่นี้เราจะมาอธิบายถึงหลักการต่างๆของสำนักคิดสองสำนักคิดสุดท้าย
ซึ่งทั้งสองสำนักนี้ได้ยึดครองความสำคัญที่แท้จริงมา
นับตั้งแต่ที่มันได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษทางประวัติศาสตร์และคำสอนที่เป็นอนุสาวรีย์ทางความคิดอื่นอีกสองสำนักความคิด
แห่ง Grecian ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก - นั่นคือ stoicism และ Epicureanism.
สำนักความคิดไซนิค
สำนักความคิดนี้ได้รับการเปิดสอนขึ้นมาโดย
Antisthenes, ผู้ซึ่งเป็นสานุศิษย์คนแรกของ Gorgias
และภายหลังได้มาเป็นสานุศิษย์ของโสกราตีส เขาได้สอนอยู่ที่ Cynosarges แห่งเอเธนส์
ด้วยเหตุดังนั้นมันจึงได้ชื่อว่า Cynic
Antisthenes สอนว่า ความรู้(knowledge - [cognition
การรับรู้]ไม่อาจไปพ้นจากข้อมูลของผัสสะต่างๆ
และในเมื่อ"ประสาทสัมผัส"ต่างๆเป็นเรื่องของ"ปัจเจก" เขาจึงสรุปว่า
"มีเพียงปัจเจกเท่านั้นที่เป็นจริง" ยิ่งไปกว่านั้น
ดังเช่นที่ปัจเจกชนทุกคนมีแก่นแท้ของตัวเองและไม่มีอื่นอีก Antisthenes
จึงลงความเห็นว่า ความผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และในท้ายที่สุด
ทุกนิยามความหมายจึงเป็นไปไม่ได้(Antisthenes inferred that error is impossible
and finally every definition is impossible.)
ด้วยเหตุนี้ อะไรคือแนวคิดต่างๆที่โสกราตีสได้สนทนาถึง ?
คำตอบง่ายๆก็คือ คำนามต่างๆ(nouns). Antisthenes คือผู้อาศัยประสบการณ์และการสังเกต
และสำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขานั้นได้รับการเล่าขานว่า
เขาได้มีการปะทะคารมกับเพลโตครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องแนวความคิดต่างๆ เขากล่าวว่า:
"โอ้! เพลโต ฉันเห็นม้าตัวหนึ่ง แต่ความเป็นม้า(horseness)
ฉันมองไม่เห็นมัน"
เพลโตตอบว่า: "ท่านมิได้เห็นความเป็นม้า เพราะท่านไม่มีอะไรเลย
เว้นแต่ลูกตาเฉยๆที่ติดมากับร่างกาย"
ในทางจริยศาสตร์
คุณงามความดี(virtue)มิใช่หนทางที่ทำให้บรรลุถึงสิ่งที่ดี(good)
แต่มันคือสิ่งที่ดีในตัวของมันเอง. ในเมื่อคุณงามความดีคือสิ่งที่ดี
ดังนั้นความชั่วร้าย(vice)จึงเป็นสิ่งที่ชั่ว(evil)ในตัวมันเองด้วย.
ทว่าคุณงามความดีมันเกิดขึ้นมาจากอะไร? ในความคิดแบบเอกาธิปไตย(autarchy)
ยกตัวอย่างเช่น ในการครอบครองเหตุผลของคนๆหนึ่ง ซึ่งบอกกับเราถึงความพึงพอใจต่างๆ
ความร่ำรวย และทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกเรียกว่าอารยธรรมของคนๆหนึ่งคือสิ่งชั่วร้าย
ที่มันเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเพราะ มันทำให้รู้สึกถึงความต้องการเหล่านั้น.
โดยเหตุนี้ แนวคิดของไซนิค จึงแยกตัวออกไปต่างหากจากสังคม
และดำรงอยู่อย่างมนุษย์ในยุคบุพกาลด้วยสิ่งของที่จำเป็นเพียงไม่กี่อย่าง
และสิ่งที่ไม่กี่อย่างเหล่านี้มันได้มาจากธรรมชาตินั่นเอง
ระหว่างธรรมชาติกับสังคมอย่างที่เรารู้กัน โดยความสุขสบายทั้งหมดของชีวิต
มันมีความแตกต่างเช่นเดียวกันกับเรื่องระหว่างคุณงามความดี และความชั่วร้าย.
การดำรงชีวิตอยู่โดยความเข้าใจธรรมชาติ นั่นคือ แบบจำลองของชีวิตแบบไซนิค
บุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของสำนักความคิดไซนิคคือ Diogenes แห่ง Sinope.
ลัทธิไซนิคเป็นปฏิกริยาอันหนึ่งระหว่างชนชั้นที่ยากจนกับชนชั้นสูงที่ตรงข้ามกัน;
โดยที่ปฏิกริยาดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาในนามของธรรมชาติ
สำนักความคิดไซเรนเนียค
สำนักความคิดนี้ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาที่เมือง Cyrene,
ซึ่งในช่วงวันเวลานั้นมันเป็นส่วนหนึ่งของลิเบีย(อยู่ทางแอฟริกาตอนเหนือ)
ก่อตั้งขึ้นมาโดย Aristippus ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาเป็นสานุศิษย์ของโสกราตีส
เขาได้เคยฟังการบรรยายของ Protagoras.
ในเรื่องของการรับรู้ สำหรับ Aristippus แล้ว
เพียงประสาทสัมผัสต่างๆส่วนตัวเท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้;
อันนี้เป็นการแสดงนัยะว่า ขอบเขตของความรู้นั้น
ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การรับรู้(cognition)ของสภาวะหนึ่งภายหลังอีกสภาวะหนึ่ง
ซึ่งตัวตน(ตัวรับ)ได้สังเกตตัวของตัวเองในฐานะประสาทสัมผัสต่างๆ
ดังนั้นพวกเราจึงเป็นอายตนะนิยมอันบริสุทธิ์(pure sensism) ตามสิ่งซึ่งความจริงเป็น
แต่ก็เป็นความต่อเนื่องของปรากฎการณ์อัตวิสัย
โดยไม่มีความสัมพันธ์อะไรเลยกับวัตถุภายนอกใดๆ
สำหรับ Aristippus
ไม่มีเรื่องของเมตาฟิสิกส์หรือสิ่งที่เหนือจากความจริงทางกายภาพ
ในเมื่อตัวตนยังคงแนบชิดอยู่กับเรื่องประสาทสัมผัสต่างๆ
เกี่ยวกับเรื่องของจริยศาสตร์ บรรดานักคิดสำนักไซเรนเนียน
ค่อนข้างจะตรงข้ามกับพวกไซนิค นั่นคือ พวกเขายืนยันว่า
คุณงามความดีมีไว้เพื่อความพึงพอใจ ส่วนความชั่วร้ายดำรงอยู่ในความเจ็บปวด.
ตามหลักตรรกะอันนี้ของพวกเขา คุณงามความดีจึงเป็นผัสสะที่ให้ความพึงพอใจ
และความชั่วร้ายเป็นผัสสะที่เกี่ยวกับความเจ็บปวด
บรรดานักคิดไซเรนเนียนมีทฤษฎีของพวกเขาเกี่ยวกับประสาทสัมผัสอันหนึ่ง
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดคือ
1. สิ่งที่ให้ความพอใจ(pleasant)
2. สิ่งที่ให้ความเจ็บปวด(painful)
และ
3. เฉยๆ(indifferent)
คนฉลาดจะพยายามแสวงหาหนทางที่ไกลห่างจากสิ่งที่ให้ความเจ็บปวด
หรือพยายามลดมันลงมาให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ขณะที่เขาจะเปลี่ยนความเป็นกลางหรือความรู้สึกเฉยๆไปสู่ผัสสะของความพึงพอใจต่างๆ
ในด้านหนึ่งนั้น
คุณงามความดีมีไว้เพื่อน้อมนำให้ตัวเองไปสู่สภาวะทางอารมณ์ต่างๆที่สุภาพอ่อนโยนมากเท่าที่จะเป็นไปได้.
เนื่องจากเหตุนี้ มันจึงไม่ใช่สภาวะของการยอมจำนนหรือเป็นฝ่ายรับ(passive)
ผัสสะที่น่าพอใจซึ่งมีคุณงามความดีประกอบอยู่
แต่ในทางสูงสุดมันพยายามที่จะปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยและดำรงอยู่กับความพึงพอใจในระดับสูงสุด
(อันนี้ได้รับการเรียกขานว่า ลัทธิสุขนิยมพลวัต - dynamic hedonism)
คนฉลาดจะต้องพยายามธำรงความเป็นนายให้อยู่เหนือตัวของเขาเอง
ขณะเดียวกันก็จะต้องดำรงอยู่ในแก่นกลางของความพึงพอใจ.
เขาจักต้องครอบครองมันแต่จะต้องไม่ถูกมันยึดครอง ดังที่ Horace
ได้กล่าวเอาไว้เช่นนั้น. ในสภาวะที่เลิศสุด
นักคิดไซเรนเนียนที่เฉลียวฉลาดจะเป็นคนที่มีความสุข
ซึ่งได้ค้นพบข้อจำกัดหนึ่งเพียงในเรื่องของเหตุผลเท่านั้น
บรรดาสานุศิษย์ของ Aristippus
ได้พัฒนาสิ่งกระตุ้นในเรื่องของเหตุผลไปไกลเกินกว่าความพึงพอใจทีรับรู้ได้อย่างฉับพลัน
และถูกทำให้สิ้นสุดลงโดยการสรุปของ Theodore
ผู้ไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า(Atheist) ว่า "ไม่มีอะไรที่ดำรงอยู่เลย
เว้นแต่ความพึงพอใจ". ส่วนคนอื่นๆ อย่างเช่น Hegesias, ผู้เชื้อเชิญความตาย
ได้มาสู่ข้อสรุปที่ว่า "ชีวิตเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย
ถ้าเผื่อว่ามันขาดแคลนซึ่งความพึงพอใจ"
นั่นคือสองตัวอย่างของสำนักทางความคิดรองแบบโสกราตีส(Minor Socratic
Schools) ส่วนสำนักทางความคิดแบบโสกราตีสที่ยิ่งใหญ่สุดนั้น
หรืออ้างถึงสำนักทางความคิดหลักแบบโสกราตีส(Major Socratic School)
ก็คือ"อคาเดมี"ของเพลโต(the Academy of Plato)
ซึ่งความคิดหลักต่างๆได้ดำรงอยู่อย่างใกล้ชิดมากกับเจตนาดั้งเดิมของคำสอนของโสกราตีส