สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ต้นตอของขบวนการโลกาภิวัตน์
โครงสร้างอำนาจของทุน
การปรับโครงสร้างการผลิต
บทบาทของหนี้
โครงสร้างของโลกาภิวัตน์
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองของโลก
ความเปราะบางของระเบียบโลกใหม่
อัตลักษณ์และความรู้ : การเผชิญหน้ากับอนาคต
ความล้าสมัยของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฯ
กระบวนการทางการเมืองและระเบียบโลก
พลังท้าทายของสรรพสิ่งมีชีวิต
ทางออกสู่รูปแบบใหม่ของสังคมเศรษฐกิจ
เชิงอรรถ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองของโลก
โครงสร้างการเมืองโลกใหม่ เกิดขึ้นจากวิกฤตระเบียบโลกหลังสงครามโลกครั้ง ที่ 2
ระบบอำนาจอธิปไตยของรัฐชาติ (ตามแนวของระบบเวสฟาเลีย ที่ยุโรป)
ที่เน้นความเป็นอธิปไตยของรัฐชาติ
คือรัฐชาติแต่ละแห่งมีอำนาจอิสระที่รัฐชาติอื่นมิอาจละเมิดได้ นั้นลดความสำคัญลง
อำนาจอธิปไตยมีความหมายยืนยันความเป็นตัวตน หรืออัตลักษณ์ (identity)
ทางด้านวัฒนธรรมมากขึ้น ๆ ความหมายที่เป็นอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจของประเทศหดหายไป
ความหมายของ อำนาจอธิปไตย ของรัฐชาติที่เปลี่ยนไป เกิดขึ้นพร้อม ๆ
กับการก่อตัวของกลุ่มภูมิภาคต่าง ๆ (macro-regionalism) ที่สำคัญ ๆ 3 กลุ่ม ได้แก่
สหภาพยุโรป เขตเอเชียตะวันออกมีญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
และเขตอเมริกาเหนือมีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลาง
และหมายจะดึงเอาลาตินอเมริกาทั้งหมดมาอยู่ในเขตด้วย กลุ่มภูมิภาคต่าง ๆ
ที่ก่อตัวขึ้นไม่น่าที่จะพัฒนาเป็นเศรษฐกิจอิสระที่แยกจากกัน
เหมือนโลกสมัยเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่แห่งทศวรรษ 1930 (Great Depression)
ทั้งนี้ธุรกิจที่ตั้งอยู่ ณ
แต่ละภูมิภาคต่างก็มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโยงใยกันกับภูมิภาคอื่น ๆ มาก
ดังนั้นเขตภูมิภาค จึงน่าจะเป็นเพียงกรอบเศรษฐกิจ-การเมืองเพื่อเอื้อต่อการสะสมทุน
และการแข่งขันกันดึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
และการเพิ่มอัตราส่วนของตลาดสินค้า นอกจากนั้นการตั้งเขตภูมิภาค
เปิดโอกาสให้มีการพัฒนารูปแบบทุนนิยมแบบต่าง ๆ ได้
ณ ฐานรากของโครงสร้างระเบียบโลกคือ พลังทางสังคม (social forces)
ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมดั้งเดิม คือขบวนการสหภาพแรงงานและขบวนการชาวนา
มิอาจพัฒนา ไปได้เพราะผลกระทบของขบวนการโลกาภิวัตน์
แต่ขบวนการสหภาพแรงงานยังมีพลังด้าน ประสบการณ์ การจัดองค์กร และอุดมการณ์
ซึ่งยังสามารถกำหนดอนาคตของสังคมได้ แต่ต้องดึงพันธมิตรกลุ่มใหม่ ๆ
นอกกลุ่มแรงงานรับจ้างมาร่วมขบวนการด้วยให้ได้ มิฉะนั้นพลังจะค่อย ๆ หดหายไปเรื่อย
ๆ
ขบวนการทางสังคมกลุ่มใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่อง
สิ่งแวดล้อมอิตถีเพศนิยม (feminism) และขบวนการเพื่อสันติ และได้ขยายไปตามที่ต่าง ๆ
ในโลก ขบวนการประชาชนและขบวนการประชาธิปไตย ผุดขึ้นที่ประเทศซึ่งรัฐบาลควบคุม
หรือปราบปราม ประชาชน แต่ภาครัฐมีความเปราะบาง
ที่ฟิลิปปินส์และตามมาด้วยอินโดนีเซีย ขบวนการ ประชาชนล้มล้างรัฐบาล
แต่ยังมิอาจเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจได้อย่างถึงรากถึงโคน
ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหลายขบวนการกระตุ้นความตื่นตัวเรื่องอัตลักษณ์
ไม่ว่าจะเป็นประเด็น ชนชาติ ชาตินิยม ศาสนา หรือความต่างเพศ
ขบวนการประชาชนระดับท้องถิ่นเป็นการยืนยันสิทธิของประชาชนก่อนที่ระบบรัฐจะถูกสถาปนาขึ้น
อัตลักษณ์ใหม่
มีบทบาทเข้าทดแทนแนวคิดเรื่องชนชั้นที่เคยเป็นศูนย์ของความขัดแย้งในสังคม
ในทำนองเดียวกับเรื่องชนชั้น อัตลักษณ์ได้พลังมาจากความคับข้องใจเพราะถูกเอาเปรียบ
จึงมีมูลเหตุเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ
นำไปสู่การประท้วงที่ครอบคลุมประเด็นกว้างกว่าเรื่องของอัตลักษณ์ อย่างไรก็ตาม
มูลเหตุทางเศรษฐกิจนั้นมักไม่ชัดเจนคือถูกบดบัง จึงอาจถูกปลุกปั่นให้ขบวนการต่าง ๆ
ขัดแย้งกันเอง
ถ้ายิ่งเกิดในภาวะที่ว่าโครงสร้างทางการเมืองกำลังไร้เสถียรภาพและปัญหาเศรษฐกิจขั้นรากฐานมิอาจได้รับการแก้ไขได้ง่าย
ๆ มีอันตรายว่าแนวโน้มสู่
ระบบอำนาจรัฐรวมศูนย์ที่อยู่ได้เพราะการสนับสนุนของมวลชนอาจก่อตัวพัฒนาเป็นลัทธิอำนาจนิยมแนวฟาสซิสม์
[คือระบบรัฐพรรคเดียว ใช้ความรุนแรง ชาตินิยม การเชิดชูชนชาติ
และการทหารเพื่อปราบผู้คัดค้านและเพื่อครองอำนาจเผด็จการ
สนับสนุนระบบการผลิตเอกชนภายใต้การควบคุมของรัฐ
ระบบนี้ถูกนำมาใช้ที่อิตาลีเป็นครั้งแรก ค.ศ. 1922 - ผู้แปล] ประชาธิปไตย และ
อำนาจ ประชาชนอาจเคลื่อนไหวไปตามแนวทางอุดมการณ์ขวาจัด หรือซ้ายจัดก็ได้