ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ขันธ์ 5 นามรูป
แต่ที่อยู่อาศัยในพระญาณที่หยั่งรู้นี้หมายถึงขันธ์ 5
อันได้แก่รูปขันธ์กองรูป เวทนาขันธ์กองเวทนา สัญญาขันธ์กองสัญญา
สังขารขันธ์กองสังขาร วิญญาณขันธ์กองวิญญาณ ย่อลง รูปขันธ์ก็เป็นรูป เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็เป็นนาม ย่อลงเป็นรูปกับนาม
แต่โดยปรกติเรียกกลับกันว่านามรูป หรือนามะรูป ขันธ์ 5 หรือนามรูปนี้ชื่อว่านิวาส
คือเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดมา
คำว่าสัตว์ทั้งหลายนี้หมายถึงทั้งมนุษย์เดรัจฉานที่อาศัยอยู่ในโลกนี้
ตลอดถึงผู้ที่บังเกิดในอบายโลกอื่นๆ มี นรก เปรต อสุรกาย และในโลกสวรรค์เป็น เทวดา
มาร พรหม ทั้งหมดรวมเรียกว่าสัตว์ทั้งนั้น เพราะคำว่าสัตว์นี้แปลว่าผู้ข้อง
คือผู้ข้องติดอยู่ในโลก ยังต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์
โลกสวรรค์ หรือว่าอบายโลกดังกล่าว รวมเรียกว่าสัตว์ทั้งหมด
นิวาสที่อาศัยของสัตวโลกหรือของสัตว์ทั้งหลายดังกล่าวที่มีขันธ์ 5
เช่นมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายโดยมาก ก็คือขันธ์ 5 หรือนามรูปดังกล่าว
และพระญาณที่รู้จักระลึกถึงนิวาสคือขันธ์เป็นที่อยู่อาศัยนี้
ตามที่ทรงแสดงไว้ ก็ทรงยกถึงพระองค์เองเป็นที่ตั้ง
ว่าทรงรู้ระลึกได้ถึงนิวาสคือขันธ์ที่เป็นที่อยู่อาศัย ของพระองค์เองในชาตินั้นๆ
ย้อนหลังไป หนึ่งชาติ สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติ หกชาติ เจ็ดชาติ แปดชาติ
เก้าชาติ สิบชาติ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบ เก้าสิบ ร้อย
พัน แสน และยิ่งๆขึ้นไปหลายกัปป์หลายกัลป์ ว่าพระองค์ได้ทรงอุบัติในชาตินั้น
มีชื่อมีโคตรอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ มีสุขมีทุกข์อย่างนี้
มีที่สุดแห่งอายุอย่างนี้เป็นต้น จุติคือเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว
ก็อุบัติคือเกิดในชาติโน้นเรื่อยๆไป และทรงระลึกได้ย้อนกลับมา
ว่าจากชาติโน้นมาสู่ชาตินั้น จนมาถึงชาตินี้ซึ่งเป็นปัจจุบันชาติ
พระญาณที่รู้จักระลึกชาติหนหลังได้นี้
ท่านแสดงว่าเป็นเหตุกำจัดโมหะคือความหลงที่กำบังขันธ์สันดาน คือความสืบต่อแห่งขันธ์
ทำให้มองเห็นอนิจจะคือไม่เที่ยง ทุกขะเป็นทุกข์ และอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน
ของขันธ์ที่เป็นที่ยึดถือทั้งหลาย นี้เป็นพระญาณหรือวิชชาที่ 1
พระญาณหรือวิชชาที่ 2 จุตูปปาตญาณรู้จักจุติและอุบัติคือเกิด
ตามที่ตรัสแสดงไว้ได้ทรงยกสัตว์ทั้งหลายขึ้นเป็นที่ตั้ง
ว่าได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่จุติอยู่ อุบัติคือเกิดอยู่
ด้วยทิพย์จักษุคือตาทิพย์ที่ล่วงวิสัยมนุษย์สามัญ ว่าเป็นไปตามกรรม
สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ด่าว่าพระอริยะทั้งหลาย
เป็นมิจฉาทิฏฐิ สมาทานคือถือปฏิบัติกรรมของมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงทุคติคือคติที่ชั่ว วินิบาตคือที่ซึ่งตกต่ำ
นรกคือที่ซึ่งไร้ความเจริญไร้ความสุข ประกอบด้วยความทุกข์ต่างๆ
ส่วนสัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
ไม่ด่าว่าพระอริยะทั้งหลาย เป็นสัมมาทิฏฐิ สมาทานกรรมของสัมมาทิฏฐิ
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติคือคติที่ดี
เข้าถึงโลกสวรรค์คือโลกที่มีอารมณ์อันเลิศ ประกอบด้วยความสุขต่างๆ
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายซึ่งจุติอยู่ อุบัติคือเกิดอยู่ มีสุขมีทุกข์
มีวรรณะดี มีวรรณะเลว ไปดี ไปไม่ดี เป็นต้น
เป็นไปตามกรรมคือการงานที่ได้กระทำเอาไว้ ทำกรรมดีก็ไปดี ทำกรรมชั่วก็ไปชั่ว
ดั่งนี้ เป็นพระญาณหรือวิชชาที่ 2 ซึ่งกำจัดโมหะคือความหลงที่กำบัง กัมมัสสกตา
คือความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน
ทั้งเป็นเหตุกำจัดสีลัพพตปรามาสความยึดถือในศีลและวัตรในทางที่ผิดต่างๆ
กำจัดมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิดต่างๆ ในกรรมและผลของกรรมเป็นต้น
พระญาณหรือวิชชาที่ 3 อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะทั้งหลาย
ได้ตรัสอธิบายไว้ว่า ทรงได้ญาณคือความหยั่งรู้ หรือวิชชาความรู้ที่แจ่มแจ้งถูกต้อง
ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เหล่านี้อาสวะ นี้เป็นเหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ
นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ ด้วยพระญาณหรือวิชชานี้ จึงทรงสิ้นอาสวะทั้งหลาย
ทรงพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งหมด ทรงเป็นอภิสัมพุทโธคือผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว
คือตรัสรู้อย่างยอดยิ่ง เลิศล้ำในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
เลิศล้ำในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์เทวดามนุษย์ทั้งหลาย
อาสวักขยญาณนี้จึงเป็นพระญาณอันสำคัญที่สุด แต่ก็สืบเนื่องมาจากพระญาณที่ 1
และที่ 2 ข้างต้น ซึ่งตามพุทธประวัติได้แสดงว่า ทรงบรรลุถึงพระญาณที่ 1
ในปฐมยามของราตรี พระญาณที่ 2 ในมัชฌิมยามของราตรี พระญาณที่ 3
ในปัจฉิมยามของราตรีที่ได้ตรัสรู้นั้น
พระญาณหรือวิชชาทั้ง 3 นี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุ เพราะฉะนั้น
จึงเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าสูงอย่างยิ่ง ล่วงวิสัยของสามัญชน
แต่เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า พระผู้ตรัสรู้พระธรรมซึ่งเป็นพระศาสดาเอกในโลก
ก็เพราะได้ทรงบรรลุพระญาณหรือวิชชาที่เป็นอย่างยิ่ง
ถ้าไม่ทรงบรรลุพระญาณหรือวิชชาที่เป็นอย่างยิ่ง
ทรงมีพระญาณหรือวิชชาซึ่งเป็นธรรมดา เหมือนอย่างสามัญมนุษย์ทั้งหลาย
ก็มิได้เป็นบุคคลพิเศษในโลก
แต่เพราะได้ทรงบรรลุพระญาณหรือวิชชาที่เป็นอย่างสูงยิ่งดั่งนี้
จึงทรงเป็นบุคคลพิเศษในโลก ซึ่งทรงล้ำเลิศกว่าเทพและมนุษย์ทั้งปวง
และเมื่อพิจารณาดูตามกระแสของธรรมะ ก็ย่อมจะพอเห็นได้แม้ว่าจะโดยเลือนลางก็ตาม
คือเห็นทางที่ทรงปฏิบัติว่าเป็นไปได้ เพื่อบรรลุวิชชาดังกล่าว
ดังในพระญาณหรือวิชชาที่ 1 ทรงรู้จักระลึกชาติหนหลังได้ มีคำว่าระลึก
ก็มาจากคำว่าอนุสสติระลึกตาม และญาณคือความหยั่งรู้ ก็คือระลึกย้อนไปได้
และก็รู้ไปได้
วิชชา 3
ขันธ์ 5 นามรูป
สติพละ สติอินทรีย์
กาย เวทนา จิต ธรรม เท่ากับเป็นขันธ์ 4