ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

ประวัติพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ความหมายของศาสนา
ศาสนสถาน
ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา
วิปัสสนา
สมาธิ

ความหมายของศาสนา

ราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของ “ศาสนา” ว่า “ลัทธิความเชื่อของมนุษย์อันมีหลัก คือ แสดงกำเนิดและความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัถต์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทำตามความเห็น หรือตามคำสั่งสอนในความเชื่อนั้น ๆ”

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ทรงอธิบายว่า “ศาสนาคือ คำสั่งสอน ท่านผู้ใดเป็นต้นเดิม เป็นผู้บัญญัติสั่งสอน ก็เรียกว่าศาสนาของท่านผู้นั้น หรือท่านผู้บัญยัติสั่งสอนนั่นได้นามพิเศษอย่างไร ก็เรียกชื่อนั้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ศาสนาจึงมีมาก คำสอนก็ต่างกัน”

สุชีพ ปุญญานุภาพ อธิบายความหมายคำว่า “ศาสนา” ไว้ว่า

  1. ศาสนา คือ ที่รวมแห่งความเคารพนับถืออันสูงส่งของมนุษย์
  2. ศาสนา คือ ที่พึ่งทางจิตใจ ซึ่งมนุษย์ส่วนมากย่อมเลือกยึดเหนี่ยวตามความพอใจ และความเหมาะสมแก่เหตุแวดล้อมของตน
  3. ศาสนา คือ คำสั่งสอน อันว่าด้วยศีลธรรม และอุดมคติสูงสุดในชีวิตของบุคคล รวมทั้งแนวความเชื่อถือและแนวการปกิบัติต่า ๆ กันตามคติของแต่ละศาสนา (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2532:9)

จากนิยามดังกล่าวในข้างต้น จะเห็นว่านักคิดท่านต่าง ๆ ต่างให้นิยามของศาสนาไปตามโลกทัศน์ของแต่ละบุคคล ซึ่งเมื่อเราพิจารณาคำนิยามเหล่านี้แล้วอาจจะเกิดปัญหาว่านิยามใดดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากนิยามของคำว่า “ศาสนา” ย่อมถูกต้องและเหมาะสมแตกต่างกันออกไปตามหลักความเชื่อของศาสนานั้น ๆ

หลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา

1 หลักจริยธรรม

สอนให้ประพฤติตามหลักสัจธรรมที่เป็น อกาลิโก คือเราสามารถที่จะนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาปฏิบัติได้โดยไม่จำกัดกาลเวลาในการปฏิบัติ สอนให้อยู่ในสังคมด้วยความเมตตา มากกว่าจะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน , มุ่งสอนให้เกิดความพอดี หรือที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา การเดินทางสายกลาง

หลักจริยธรรมของพระพุทธศาสนา สามารถนำมาใช้เป็นหลักการดำเนินชีวิต โดยมีหลักการครองเรือน ( สมชีวธรรม ) การมีธรรมเครื่องเป็นอยู่ที่เสมอภาคกัน

  1. สมสัทธา มีความเชื่อเสมอกัน , มีทัศนคติตรงกัน , มีความเลื่อมใสในศาสนาเสมอกัน
  2. สมสีลา มีศีลเสมอกัน , มีระเบียบวินัย , มีใจบุญกุศลเสมอกัน
  3. สมจาคะ เป็นผู้มีใจเสียสละ , มีใจบุญกุศลเท่ากัน
  4. สมปัญญา มีปัญญาความรู้เรื่องคุณธรรม , มีการศึกษาเท่ากัน

จริยธรรมสำหรับบิดามารดา

  1. ห้ามลูกกระทำความชั่ว
  2. สอนให้กระทำความดี
  3. ให้การศึกษาศิลปวิทยา ( พร้อมทั้งส่งเสริมให้ลูกได้ศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด )
  4. มอบสมบัติให้ปกครอง
  5. หาคู่ครองที่ดีให้ ( โดยมีการแนะนำเรื่องการเลือกคู่ครองที่ดีให้ )

จริยธรรมสำหรับบุตร – ธิดา

  1. เลี้ยงดูตอบแทนพ่อแม่
  2. ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน
  3. ดำรงวงศ์สกุลให้เจริญก้าวหน้า
  4. ทำตนให้เป็นผู้ควรได้รับทรัพย์มรดก
  5. ทำบุญอุทิศไปให้ท่านเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว

จริยธรรมสำหรับนักเรียน – นักศึกษา (หัวใจนักปราชญ์)

  1. สุ – สุตตะ ฟังอย่างตั้งใจ
  2. จิ – จิตตะ คิดตามไตร่ตรอง
  3. ปุ – ปุจฉา ให้ถามหากสงสัย
  4. ลิ – ลิขิต จดไว้อ่านดูกันลืม

อิทธิบาท 4 ธรรมที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จในการดำเนินกิจการต่าง ๆ

  1. ฉันทะ มีความพอใจรักใคร่ในสิ่งที่กระทำ
  2. วิริยะ มีความเพียรพยายามในการประกอบสิ่งนั้น
  3. จิตตะ เอาใจใส่ในสิ่งที่กระทำอยู่
  4. วิมังสา หมั่นไตร่ตรองพิจารณาในการกระทำ

หลักจริยธรรมสำหรับปลูกฝังตัวเอง

  1. การพึ่งตนเอง ขยันหมั่นเพียร และมีความรับผิดชอบ
  2. การประหยัด รู้จักอดออม
  3. การมีระเบียบวินัย และเคารพกฏหมาย
  4. การปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา
  5. ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

คุณธรรม 4 ประการ ตามพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน

  1. รักษาความสัจ
  2. การรู้จักข่มใจตนเอง
  3. การอดทด
  4. การรู้จักละวางความชั่ว

2. หลักคุณธรรม

หลักธรรมที่เป็นคุณธรรมของพระพุทธศาสนามีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวคน เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้คนเป็นคนดี ซึ่งประกอบด้วยหลักคำสอน 3 ประการ คือ การเว้นจากการ ทำชั่ว การทำความดี และการทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส หมดจดจากกิเลส

1. การเว้นจากการทำชั่ว

คือการเว้นจากการกระทำบาป เว้นจากการประพฤติผิดและทุจริต การเว้นกระทำชั้วอาจจะแยกออกได้เป็นการเว้นจากการทำชั่วทางกาย ทางวาจาและทางใจ

  1. การละเว้นการกระทำชั่วทางกาย ประกอบด้วยการละเว้น 3 ประการ คือ
    1) การไม่ฆ่าสัตว์
    2) การไม่ลักทรัพย์หรือฉ้อโกง
    3) การไม่ประพฤติผิดในกาม
  2. การละเว้นการกระทำชั่วทางวาจา ประกอบด้วยการละเว้น 4 ประการ คือ
    1) การไม่พูดเท็จ
    2) การไม่พูดส่อเสียด ไม่ยุยงให้แตกความสามัคคี
    3) การไม่พูดคำหยาบ
    4) การไม่พูดเพ้อเจ้อ
  3. การละเว้นการกระทำชั่วทางใจ ประกอบด้วยการละเว้น 3 ประการ คือ
    1) การไม่คิดอยากได้ของผู้อื่น
    2) การไม่คิดพยายามปองร้าย
    3) การไม่คิดกระทำผิดทำนองคลองธรรม

2. การกระทำความดี

คือ กระทำแต่กุศล ประพฤติแต่ความสุจริตด้วยกาย วาจา และใจ เป็นการละเว้นจากการทำชั่วทางกาย วาจา ใจ โดยการทำให้บริสุทธิ์หมดจากกิเลสโดยมีบุญกิริยาวัตถุ คือ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ 3 ประการ

  1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน คือ การบริจาคทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ การทำทานตามแนวของพระพุทธศาสนา อาจทำได้ดังนี้
    1) อาปรทาน คือ การบริจาคทรัพย์สินให้เป็นปรสพประโยชน์ และสาธารณประโยชน์
    2) ธรรมทาน คือ การให้ความดีที่จะนำความสุขความเจริญ อันได้แก่ การแนะนำ เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าแก่ผู้อื่น
    3) อภัยทาน คือ การให้อภัยผู้อื่นที่มาล่วงเกินเรา
  2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล คือ การปกติทางกาย และปกติทางวาจา การปกติทางกายคือ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกาม ส่วนความปกติ ทางวาจาก็คือการไม่พูดเท็จ ตั้งใจสำรวม ประเภทของศีลประกอบด้วย ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และศีล 227 ข้อ
  3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา คือการเจริญภาวนาเพื่อความบริสุทธิ์ของใจ ประกอบด้วยเจริญสมถกรรมฐานการทำจิตใจให้สงบ และวิปัสสนากรรมฐานที่ทำให้เกิดปัญญาที่เต็มรูปแบบความเป็นจริง เช่น ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) และความทุกข์ (ทุกขัง) เป็นต้น

3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส หมดจดจากกิเลส

คือปราศจากความโลภ ความโกรธ และความหลง มีแต่ความร่าเริง และมีสุขภาพจิตดี การมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ผ่องใส และหมดจดจากกิเลสได้จะต้องเป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม 4 ประการ หรือที่เรารู้จักกันว่า “พรหมวิหาร 4” คือ

  1. การมีจิตที่เมตตา คือมีความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข การเจริญเมตตาอยู่บ่อย ๆ ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีภัย มีแต่ความสามัคคี ละอกุศลกรรมทั้งหลาย
  2. การมีจิตที่กรุณา คือมีความสงสารคิดช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
  3. การมีจิตที่มุทิตา คือมีความพลอยยินดีเมื่อเห็นหรือรู้ว่าผู้อื่นได้ดี มีความสุข หรือประสบความสำเร็จ โดยปราศจากความริษยา
  4. การมีจิตที่มีอุเบกขา คือการวางเฉยไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีใจเป็นกลาง เมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ เพราะในบางเรื่องเป็นเรื่องที่สุดวิสัยที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ก็จะต้องทำใจ

การมีจิตใจที่บริสุทธิ์และหมดจดจากกิเลสโดยตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 ควรได้มีมโนสุจริต 3 ประการ ประกอบด้วย

1) ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น
2) ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
3) เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

3. ศีลธรรม

หลักศีลธรรมสำหรับชาวพุทธที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทานสั่งสอนไว้ มีมากมายหลายระดับ ทั้งที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตประจำวัน และระดับที่สูงขึ้นไป หากพุทธศาสนิกชนทุกคนล้วนแต่ตั้งมั่นอยู่ในคำสั่งสอนของท่าน ย่อมบังเกิดความสงบสุขในการดำเนินชีวิต และในสังคมที่เราอาศัยอยู่อย่างแน่นอน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่มาจากการที่ คนเราไม่ตั้งมั่นอยู่ในธรรมนั่นเอง ที่นำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อเป็นการทบทวนความจำที่เราได้เคยเล่าเรียนมา พินิจพิจารณาถึงความเป็นจริงในแต่ละข้อที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ และนำไปปฏิบัติด้วยอันเป็นจุดมุ่งหมาย

4.ปรมัตถธรรม

ปรมัตถธรรม หมายถึง ธรรมที่มีเนื้อความอันประเสริฐ เพราะมีคุณลักษณะแน่นอน ไม่วิปริตผันแปร เป็นอารมณ์ของปัญญาอันสูงสุดและเป็นประธานในบัญญัติธรรมทั้งปวง

- ทุกข์ รวมความว่าถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็ยังทุกข์อยู่
- สมุทัย ต้นเหตุของทุกข์ อยากเกิดอีก
- นิโรธ ก็คือ นิพพาน
- มรรค ทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย