วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
จริยธรรมในการวิจัยด้านเซลล์ต้นกำเนิด
ใครได้ ใครเสียประโยชน์ และใครควรถูกคุ้มครอง
ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นเมื่อไหร่
แนวทางขององค์การ UNESCO
อังกฤษ ผู้นำของการวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านตัวอ่อนและการเจริญพันธุ์
สหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายไม่สนับสนุนการวิจัยที่ใช้ตัวอ่อน
แนวปฏิบัติสำหรับประเทศไทยยังอยู่ในระยะทดลองใช้
สหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายไม่สนับสนุนการวิจัยที่ใช้ตัวอ่อน
ในยุคของประธานาธิบดีคลินตัน
ได้มีการร่างแนวปฏิบัติ (guidelines)
เพื่อพิจารณาให้ทุนวิจัยด้านสเต็มเซลล์จากรัฐบาลกลางโดยผ่านทาง National Institutes
of Health (NIH) แนวปฏิบัติที่ร่างไว้นี้มีหลักการที่มีพื้นฐานทางจริยธรรมอยู่ว่า
ตัวอ่อนที่ใช้ในการวิจัยจะต้องได้มาโดยเหลือใช้จากการสร้างตัวอ่อนขึ้นมาเพื่อการเจริญพันธุ์
โดยเจ้าของตัวอ่อนต้องเป็นสามีภรรยากัน
ได้รับการแจ้งให้ทราบจุดประสงค์ของการนำตัวอ่อนไปใช้และให้ฉันทานุมัติโดยไม่มีสิ่งจูงใจทางการเงินใด
ๆ
แต่ทว่าเมื่อถึงยุคของประธานาธิบดีบุช
ไม่ทันที่จะนำแนวปฏิบัติที่ร่างเอาไว้มาใช้ในการพิจารณาให้ทุนนโยบายการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยของรัฐบาลก็เปลี่ยนไป
โดยมีการประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2001
ห้ามมิให้ใช้งบประมาณของรัฐบาลในการสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์ที่มีการทำลายตัวอ่อน
นโยบายนี้มีผลทำให้แนวปฏิบัติเดิมที่ร่างไว้ต้องถูกยกเลิกไป
และนักวิจัยในสหรัฐที่ขอรับทุนวิจัยจากรัฐบาล
จะต้องใช้สเต็มเซลล์ไลน์ที่มีการพัฒนาขึ้นไว้แล้วก่อนวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2001
เท่านั้นเป็นวัสดุสำหรับการวิจัย ห้ามสร้างตัวอ่อนขึ้นใหม่
และห้ามสนับสนุนแม้กระทั่งการนำตัวอ่อนเหลือใช้จากการทำ IVF
ที่มีอยู่เป็นจำนวนนับแสนมาใช้ในการวิจัยสเต็มเซลล์
กล่าวได้ว่าเป็นนโยบายที่อยู่บนหลักการความเชื่อในทางจริยธรรมที่เข้มงวดที่สุดอันหนึ่ง
แม้ว่าจนถึงปัจจุบันนี้จะถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากผู้เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่นักวิจัย
ผู้ให้ทุนวิจัยรายเอกชน มหาวิทยาลัย
และผู้ป่วยที่รอความก้าวหน้าทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคของพวกเขา
ในจำนวนผู้คัดค้านนี้มีนายจิม คลาร์ค ผู้ก่อตั้งบริษัท Silicon Graphics
และเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และนาย
Christopher Reeves
ดาราภาพยนตร์ผู้ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากประสบอุบัติเหตุที่ทำให้กระทบกระเทือนสันหลัง
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐยังคงให้อิสระ
ในการทำวิจัยกับตัวอ่อนในภาคเอกชน และไม่มีกฎหมายใด ๆ ที่ห้ามในเรื่องนี้
จึงเกิดสถานการณ์ที่แปลกประหลาดว่า ขณะที่ด้านหนึ่งปิดกั้นการวิจัยในภาครัฐ
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ปล่อยงานวิจัยที่อยู่ในมือบริษัทให้ดำเนินต่อไป
ทำให้กลุ่มศาสนา ฯลฯ ที่สนับสนุนการออกกฎหมายห้ามวิจัยตัวอ่อนโดยเด็ดขาด
หันมาต่อต้านนโยบายนี้เช่นกัน ว่าเป็นการดำเนินนโยบายสองมาตรฐาน
พร้อมกับการประกาศนโยบายของประธานาธิบดีบุช
รัฐบาลสหรัฐก็ได้เปิดเผยรายชื่อของสถาบันต่าง ๆ
ทั่วโลกที่มีสเต็มเซลล์ที่ได้รับการพัฒนาจนเป็นเซลล์ไลน์แล้ว
และสนับสนุนให้นักวิจัยใช้เซลล์จากแหล่งที่มีอยู่แล้วเหล่านี้
ท่ามกลางความเป็นห่วงของนักวิจัยว่า เซลล์เหล่านั้นอาจไม่ได้คุณภาพ
(ขาดเสถียรภาพในความเป็นเซลล์ไลน์)
หรือแม้เมื่อรวมกันแล้วก็ยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรมไม่เพียงพอในการศึกษาวิจัยโรคบางอย่าง
และไม่หลากหลายพอสำหรับเป็นตัวเลือกในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เข้ากันได้กับคนไข้ที่ต้องการนำเนื้อเยื่อไปปลูกถ่าย
สหรัฐไม่มีหน่วยงานกลางที่ได้รับมอบอำนาจทางกฎหมายให้ควบคุมในเรื่องจริยธรรมของการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับตัวอ่อน
ทำให้แต่ละมลรัฐต่างก็มีนโยบายและการออกกฎหมายควบคุมการวิจัยตัวอ่อนมนุษย์ในหลากหลายระดับต่าง
ๆ กันไป
แต่ขณะนี้มีกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลกลางจัดตั้งหน่วยงานลักษณะดังกล่าวขึ้นเพื่อควบคุมการวิจัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
ในทำนองเดียวกับหน่วยงานควบคุมการบินของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Federal Aviation
Administration)
ที่เกิดขึ้นเพราะความก้าวหน้าและความเสี่ยงของเทคโนโลยีการบินทำให้จำเป็นต้องมีการควบคุมด้วยมาตรฐานเดียวกัน
ประเทศอื่น ๆ
ที่มีความเคลื่อนไหวคืบหน้าในเรื่องนี้ได้แก่ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย
สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น
รัฐสภาได้ผ่านกฎหมายที่ห้ามการใช้เทคโนโลยีโคลนนิ่งมนุษย์เพื่อเจริญพันธุ์ (Law
Concerning Regulation Relating to Human Cloning Techniques an Other Similar
Techniques, 2000) แต่ในการสกัดสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนเหลือใช้จากการทำ IVF
เพื่อช่วยเจริญพันธุ์และได้รับบริจาคมาเพื่อทำการวิจัยนั้น ให้ใช้แนวปฏิบัติ
(Guidelines for Derivation and Utilization of Human Embryonic Stem Cells,
2001) กำหนดเงื่อนไขในการใช้ตัวอ่อนไว้ระดับหนึ่งแต่ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย
ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2004
สภานโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นหน่วยงานกำหนดนโยบาย
ได้เสนอแนวทางอนุญาตให้นักวิจัยสร้างตัวอ่อนขึ้นด้วยการโคลนได้เพื่อใช้ในการวิจัย
แต่ยังไม่ถึงขั้นยินยอมให้นำโคลนนี้ไปสกัดสเต็มเซลล์ไลน์
เนื่องจากต้องการใช้ความรอบคอบในเรื่องความปลอดภัยของการใช้เซลล์โคลนเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว
ด้านออสเตรเลียได้ออกกฎหมาย Research Involving Human Embryos Act 2002
มีแนวทางคล้ายกับของญี่ปุ่นนั่นคือให้ใช้เฉพาะตัวอ่อนที่เหลือจากการบำบัดรักษาเพื่อช่วยการเจริญพันธุ์เท่านั้นในการวิจัย
เพื่อให้ง่ายแก่การเปรียบเทียบ
ผู้เขียนจึงได้รวบรวมข้อมูลสถานภาพของนโยบายและการควบคุมการวิจัยตัวอ่อนมนุษย์ในหลายประเทศ
เรียงตามลำดับความเข้มงวด
ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าในระดับนานาประเทศมีความแตกต่างของระดับการควบคุม
การยินยอมหรือสนับสนุนให้มีการวิจัยได้ต่าง ๆ กัน
ตั้งแต่กลุ่มที่มีระดับการควบคุมที่เข้มงวด
ไปจนถึงกลุ่มที่ผ่อนผันและเอื้ออำนวยต่อการวิจัยมาก