วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
จริยธรรมในการวิจัยด้านเซลล์ต้นกำเนิด
ใครได้ ใครเสียประโยชน์ และใครควรถูกคุ้มครอง
ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นเมื่อไหร่
แนวทางขององค์การ UNESCO
อังกฤษ ผู้นำของการวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านตัวอ่อนและการเจริญพันธุ์
สหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายไม่สนับสนุนการวิจัยที่ใช้ตัวอ่อน
แนวปฏิบัติสำหรับประเทศไทยยังอยู่ในระยะทดลองใช้
ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นเมื่อไหร่
ส่วนปัญหาสถานภาพในความมีชีวิตหรือความเป็นมนุษย์ของตัวอ่อน
เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน
ที่แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจะให้ข้อมูลที่สามารถนำมาเป็นเกณฑ์ได้ในระดับหนึ่ง
แต่แม้ในระดับสากลก็มิได้มีข้อสรุปที่ลงตัว
คงเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศไปจัดการตั้งกฎหมาย กฎเกณฑ์ หรือแนวปฏิบัติกันเองต่าง ๆ
กันไป
ด้วยความรู้ปัจจุบัน เราทราบว่ากระบวนการพัฒนาไปเป็นตัวอ่อน (development)
เริ่มขึ้นตั้งแต่ เมื่อเซลล์สืบพันธุ์ (ไข่และสเปอร์ม) ผสมกัน
นำเอาสารพันธุกรรมจากพ่อและแม่อย่างละครึ่งมารวมกันเป็นเซลล์ที่มีโครโมโซมอยู่ 23
คู่ นี่คือไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว (fertilized egg หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
zygote) จากนั้นเป็นต้นไปเซลล์นี้จะแบ่งตัวไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์
นักชีววิทยาการสืบพันธุ์บางคนเสนอให้ใช้คำว่า pre-embryo
สำหรับเรียกตัวอ่อนในระยะนี้มากกว่าใช้คำว่า embryo
ด้วยเหตุผลในทางปฏิบัติมากกว่าเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ในระยะแรกนี้เซลล์จะแบ่งตัวเป็นสอง สี่ แปดเซลล์
หากเราแยกเซลล์ที่แบ่งตัวอยู่นี้ออกจากกัน
แต่ละเซลล์ก็จะยังสามารถพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนได้ด้วยตัวของมันเอง
(นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดครรภ์แฝด)
แต่เมื่อถึงระยะ 16 เซลล์ จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มเซลล์เล็ก ๆ นี้
จากที่เคยเหมือนกันทุก ๆ เซลล์ก็จะเริ่มมีบางเซลล์ที่พัฒนาตัวเองแตกต่างออกไป
(differentiate) พร้อมกันนี้
ความสามารถของแต่ละเซลล์ที่จะพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนได้ด้วยตัวเองก็จะลดลง
บางเซลล์เริ่มปรากฏหน้าที่เฉพาะของเซลล์เอง เช่น
เซลล์ที่อยู่ภายนอกจะเริ่มรับรู้ว่าตนเองอยู่ ด้านนอก
และเตรียมตัวพัฒนาไปเป็นรกและเนื้อเยื่ออื่น ๆ
ที่ห่อหุ้มและปกป้องตัวอ่อนที่จะเติบโตต่อไปภายใน
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง
กลุ่มเซลล์ทั้งหมดนี้จะหลุดออกมาจากเปลือกของเซลล์ไข่
และฝังตัวติดกับผนังมดลูกของมารดา
ร่างกายของมารดาจะรับรู้การมีอยู่ของตัวอ่อนเป็นครั้งแรกและเริ่มการตั้งครรภ์เพื่อหล่อเลี้ยงตัวอ่อน
แต่กลุ่มเซลล์ที่อยู่ ข้างใน ตัวอ่อนนั้น
แต่ละเซลล์ยังมีความสามารถที่จะกลายไปเป็นอวัยวะทุก ๆ อย่างในร่างกายได้
หรือแม้กระทั่งแตกตัวออกกลายเป็นตัวอ่อนหลายตัวเกิดเป็นครรภ์แฝดก็เป็นไปได้
ในระยะนี้เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเซลล์ที่อยู่ข้างในนี้
เซลล์ไหนจะกลายเป็นส่วนของร่างกายมนุษย์ และเซลล์ไหนจะกลายเป็นรก
(ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์) แต่เมื่อถึงวันที่สิบสาม
ระยะเวลาช่วงที่นักปฏิบัติบางคนเรียกว่าระยะ pre-embryo ก็จะหมดลง
นับจากวันที่สิบสี่หรือวันที่สิบห้าเป็นต้นไป
กลุ่มเซลล์ส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ภายในตัวอ่อนจะเริ่มพัฒนาไปเป็น fetus
ที่จะกลายเป็นมนุษย์ ผู้ศึกษาวิจัยจะเริ่มมองเห็นความแตกต่างของเซลล์แต่ละเซลล์
และพบว่าเซลล์กลุ่มหนึ่งพัฒนาขึ้นเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า primitive streak
ซึ่งเป็นระยะแรกของเส้นประสาทและกระดูกสันหลัง
นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพัฒนาการของตัวอ่อน
เพราะว่าจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการแยกตัวออกเป็นแฝดอีกต่อไป
ตัวอ่อนอายุสิบห้าวันหนึ่งตัว จะกลายเป็นมนุษย์หนึ่งคน (ถ้าไม่แท้งเสียก่อน)
ไม่มากไปกว่านั้น
จากจุดนี้ไปตัวอ่อนจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 ตัวอ่อน embryo ก็จะกลายเป็น fetus
เราจะเริ่มเห็นสิ่งที่คล้ายแขน ขา และอวัยวะอื่น ๆ ของมนุษย์
ปัญหาจริยธรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการวิจัยด้านสเต็มเซลล์นั้น
เป็นเพราะในกรณีที่นักวิจัยต้องการสกัดเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์มักจะใช้ตัวอ่อนที่มีอายุ
5-7 วันหลังปฏิสนธิ (เรียกว่า blastocyst) ซึ่งมีกลุ่มมวลเซลล์ภายใน (inner cell
mass) ที่เหมาะจะเป็นแหล่งของสเต็มเซลล์ที่นักวิจัยต้องการ
และผลของการสกัดเซลล์นี้ออกมาคือ
ตัวอ่อนนั้นถูกทำลายมิให้เจริญเติบโตต่อไปได้นั่นเอง
จากความรู้ที่กล่าวมาข้างต้น
ข้อกำหนดของหลายประเทศจึงมักจะมีแนวทางให้ปฏิบัติกับตัวอ่อนอย่างระมัดระวัง
(และให้ความเคารพระดับหนึ่ง) โดยห้ามมิให้ใช้เซลล์จากตัวอ่อนภายหลังระยะ 14
วันหลังปฏิสนธิ
การกำหนดระยะเวลาหลังปฏิสนธิที่จะนำตัวอ่อนมาใช้ได้หรือไม่ได้นี้
แม้ว่าจะอ้างอิงอยู่บนฐานของความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพัฒนาการของตัวอ่อนมนุษย์ในครรภ์ดังที่กล่าวมาแล้ว
(โดยอาศัยเกณฑ์ที่ว่าในวันที่ 14
ตัวอ่อนต้องยังไม่มีพัฒนาการของสิ่งที่ใกล้เคียงกับระบบประสาทหรือความรับรู้ใด ๆ)
แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มากว่า ตัวอ่อนเริ่มเป็นมนุษย์เมื่อใด
คำตอบชัด ๆ
ในเรื่องนี้คงจะไม่สามารถอิงอยู่กับความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
มิใช่ว่าข้อมูลวิทยาศาสตร์ไม่ชัดเจนเพียงพอ
หากแต่เป็นเพราะมนุษย์เองมีความเห็นเกี่ยวกับการตีความหมายของคำว่า ชีวิต
แตกต่างกันไป ทำให้ปัญหาเรื่องนี้ถูกนำไปพิจารณาในระดับปรัชญาและความเชื่อทางศาสนา
ในเมื่อความเห็นในเรื่อง ชีวิต ยังต่างกันบนพื้นฐานความเชื่อ ความศรัทธา
และการตัดสินใจทางการเมืองของแต่ละประเทศ การปฏิบัติต่อตัวอ่อนด้วยความเคารพ
จึงมีความเข้มงวดไม่เท่ากัน ดังตัวอย่างที่จะนำเสนอต่อไปนี้