ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

สมถะวิปัสสนา

การเจริญอานาปานสติ

การเจริญอานาปานสติ พิจารณาเห็นกายในกาย

ภิกษุเจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ให้บริบูรณ์ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสมัยใด เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ว่าเราจะเป็นผู้กำหนดกองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดกองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจะระงับกายสังขารหายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่ง ในพวกกาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นกายใจกาย มีความเพียรรู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
การเจริญอานาปานสติ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุขหายใจออก ว่าเราจักกำหนดเป็นผู้รู้สุขหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจะกำหนดเป็นผู้รู้จิตสังขารหายใจออก ว่าเราจะกำหนดรู้จิตสังขารหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจะระงับจิตสังขารหายใจออก ว่าเราจะระงับจิตสังขารหายใจเข้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก เสียได้อยู่ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าการใส่ใจลมหายใจออก ลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียรรู้สึกตัวกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่

การเจริญอานาปานสติ พิจารณาจิตในจิต

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตหายใจออก ว่าเราจักกำหนดเป็นผู้รู้จิตหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจะทำจิตให้ร่าเริงหายใจออก ว่าเราจะทำจิตให้ร่าเริงหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก เราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นภิกษุ ชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวอานาปานัสสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติไม่รู้สึกตัวอยู่เพราะฉะนั้นแลในสมัยนั้นภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

การเจริญอานาปานสติ พิจารณาธรรมในธรรม

สมัยใดภิกษุสำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก เราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่เราจักเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนัดหายใจออก เราจักเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจะเป็นผู้พิจารณาความดับหายใจออก เรา

เราจักเป็นผู้พิจารณาความดับ หายใจเข้า สำเหนียวอยู่ว่า เราจักพิจารณาความเป็นผู้สละคืนกิเลสหายใจออก ว่าเราจักพิจารณาความเป็นผู้ละคืนกิเลสหายใจเข้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในสมัยนั้นภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสตัวปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงเชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฎฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้

<< ย้อนกลับ | สารบัญ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย