ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สมถะวิปัสสนา
จิตยังไม่สงบ เป็นสมาธิ ห้ามอยู่ป่า
(อุบาลีสูตร)
ครั้งนั้นแล ท่านอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาเพื่อสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมณ์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย ดูกรอุบาลีผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อเราไม่ได้สมาธิจักสร้องเสพเสนาสนะคือราวป่าอันสงบ สงัด ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือจักจมลงหรือฟุ้งซ่าน ดูกรอุบาลี เปรียบเหมือนมีห้วงน้ำใหญ่อยู่ มีช้างใหญ่สูง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอกกึ่ง มาถึงเข้า ช้างตัวนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราลงสู่ห้วงน้ำนี้แล้วพึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้วจึงอาบดื่มขึ้นมาแล้วกลับไปตามต้องการ ช้าวนั้นลงสู่ห้วงน้ำนั้นแล้ว พึงขัดถูหูเล่นบ้าง ขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้วจึงอาบดื่มขึ้นมาแล้วกลับไปตามต้องการ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าช้างนั้นเป็นสัตว์มีร่างกายใหญ่ ย่อมได้ลงในน้ำลึก ครั้นกระต่ายหรือเสือปลามาถึง (ห้วงน้ำนั้น) เข้า กระต่ายหรือเสือปลาพึงคิดอย่างนี้ว่า เราเป็นอะไรและช้างเป็นอะไร ไฉนหนอ เราพึงลงสู่ห้วงน้ำนี้แล้วจึงขัดถูหูเล่นบ้าง ครั้นแล้วจึงอาบดื่มตามต้องการขึ้นแล้วกลับไปตามต้องการ กระต่ายหรือเสือปลานั้นก็ลงสู่ห้องน้ำนั้นโดยพลันไม่ทันได้พิจารณา กระต่ายหรือเสือปลานั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักลอยขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระต่ายหรือเสือปลานั้นเป็นสัตว์มีร่างกายเล็ก ย่อมไม่ได้การลงในห้วงน้ำลึก แม้ฉันใด ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราเมื่อไม่ได้สมาธิจักสร้องเสพเสนาสนะคือ ราวป่าและป่าอันสงัด ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ จักจมลงหรือฟุ้งซ่าน ฉันนั้นเหมือนกันฯ
ดูกรอุบาลี เปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย ย่อมเล่นมูตรและคูถของตน ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญข้อความนั้นเป็นไฉน การเล่นนี้เป็นการเล่นของเด็กอ่อนอย่างสิ้นเชิงเต็มที่มิใช่หรือท่านอุบาลีกราบทูลว่า เป็
อย่างนั้นพระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สมัยต่อมา เด็กนั้นแลอาศัยความเจริญ ความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ ย่อมเล่นเครื่องเล่นทั้งหลายที่เป็นของเล่นของพวกเด็ก ๆ คือเล่นไถน้อย ๆ เล่นตีไม้หึ่งเล่นกังหันไม้ เล่นกังหันใบไม้ เล่นตวงทราย เล่นรถน้อย ๆ เล่นธนูน้อย ๆ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญข้อความนั้นเป็นไฉน การเล่นนี้เป็นการเล่นที่ดีกว่าและประณีตกว่าการเล่นทีมีในครั้งก่อนมิใช่หรือฯ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สมัยต่อมา เด็กนั้นแล อาศัยความเจริญ อาศัยความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ เป็นผู้เอิมอิ่มพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ด้วยรูปทั้งหลาย อันบุคคลพึงรู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด ด้วยเสียงทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้ด้วยหู ด้วยกลิ่นทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้ด้วยจมูก ด้วยรสทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้ด้วยลิ้น ด้วยโผฏฐัพพะอันบุคคลพึงรู้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญข้อความนั้นเป็นไฉน การเล่นนี้ เป็นการเล่นที่ดียิ่งกว่า และประณีตกว่าการเล่นที่มีในครั้งก่อนมิใช่หรือฯ
พระอุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี ก็พระตถาคตเสด็จเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งในโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาและเทวดาของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระตถาคตองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะปริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรแห่งคฤหบดี หรือผู้เกิดมาในภายหลัง ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น แล้วได้ศรัทธาในตถาคต ประกอบด้วยการได้ศรัทธาย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ที่ขัดมาแล้วไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราถึงปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด
สมัยต่อมา เขาละกองโภคทรัพย์น้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ แล้วปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและอาชีพเสมอด้วยภิกษุทั้งหลาย ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทานรับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่พรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นจากเมถุนธรรมอันเป็นกิจของชาวบ้าน ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท พูดแต่คำจริง ดำรงค์คำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อถือได้ ไม่พูดลวงโลก ละวาจาส่อเสียด เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด ฟังข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันบ้างชอบคนผู้พร้อมเพรียงกันยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ กล่าวแต่คำไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำเป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้างมีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยขน์โดยกาลอันสมควร ภิกษุนั้น เว้นขาดจากพรากพืชคามและภูตคาม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี เว้นการฉันในเวลาวิกาล เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมดนตรี และการดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตกต่างร่างกายด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิวอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการรับทองและเงิน เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เว้นขาดจากการซื้อการขาย เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การฉ้อโกงด้วยของปลอม และการฉ้อโกงด้วยเครื่องตวงวัด เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบแตลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และการกรรโชก ภิกษุนั้นเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตร เป็นเครื่องบริหารท้อง ซึ่งตนจะไปทิศาภาคใด ๆ ก็ถือไปได้เอง นกมีปีกจะบินไปทางทิศภาคใด ๆ ก็มีปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ซึ่งตนจะไปทางทิศภาคใด ๆ ก็ถือไปได้เอง ฉันนั้นก็เหมือนกันภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่มีโทษเฉพาะตนฯ
ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักษุอินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่าย่อมรักษาจักษุอินทรีย์ ชื่อว่าย่อมถึงความสำรวมในจักษุอินทรย์ ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมอินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้กุศลธรรมอันลามก คือ อภิชชาและโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่าย่อมรักษามนินทรีย์ ชื่อว่าย่อมถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสเฉพาะตนฯ
ภิกษุนั้นย่อมทำความรู้สึกในการก้าวไป ในการถอยกลับ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการแลในการเหลียว ย่อมทำความรู้สึกในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ย่อมทำความรู้สึกตัวในการสังฆาฏิ บาตร และ จีวรย่อมทำความรู้สึกในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ย่อมทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นอริยะนี้ ประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอันเป็นอริยะนี้ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะนี้ ย่อมสร้างเสพเสนาสนะ อันสงัด คือป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าชัฏที่แจ้งล้อมฟาง ภิกษุนั้นละความโลภในโลกแล้ว มีสติปราศจากความโลภอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความโลภ ละความประทุษร้ายคือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลสัตว์ทั้งปวง ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือ พยาบาท ละถีนมิทธะ เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจะกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามพ้นวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาฯ
ภิกษุนั้นครั้นละนิวรณ์อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทำปัญญาให้ทุรพล ๕ ประการนี้ได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ดีที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือฯ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สาวกของเราทั้งหลายพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ว่ามีอยู่ในตน จึงสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่สาวกเหล่านั้นยังไม่ถึงประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ๆ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตเป็นภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้นไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ ดูกร อุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ดีที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือฯ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ว่า มีอยู่ในตน จึงสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวกเหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อนฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์และดับโสมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ดีที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือฯ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ว่า มีอยู่ในตน จึงสร้องเสพเสนาสนะ คือป่าและราวป่าอันสงัด แต่สาวกเหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนอยู่โดยลำดับก่อนฯ
ดูก่อนอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงสู่รูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญาเสียได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงมานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ โดยคำนึงว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ว่า มีอยู่ในตน จึงสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่สาวกเหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อนฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยคำนึงว่า หน่อยหนึ่งไม่มีดังนี้ เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยคำนึงว่าธรรมชาตินี้สงัด ธรรมชาตินี้ประณีต ดังนี้ ดูก่อนอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่ เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ว่า มีอยู่ในตน จึงสร้องเสพเนาสนะ คือป่าและราวป่าอันสงัด แต่สาวกเหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อนฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติอยู่ และอาสวะของภิกษุนั้นเป็นกิเลสหมดสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือฯ
อุบาลี. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ
พระพุทธเจ้า. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ว่า มีอยู่ในตน จึงสร้องเสพเสนาสนะ คือป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวกเหล่านั้นยังไม่บุรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ดูกรอุบาลี เธอจงอยู่ในสงฆ์เถิด เมื่อเธออยู่ในสงฆ์ ความสำราญจักมีฯ