สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ความหมายการเมืองการปกครอง
รัฐ (State)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม
รัฐธรรมนูญ (Constitution)
กฎหมาย (Law)
อำนาจอธิปไตย
รัฐสภา พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง
ประชาชนกับบทบาททางการเมือง
ลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การเมืองการปกครองไทย
ระบบเศรษฐกิจและระบบการปกครอง
ธรรมาภิบาล
บรรณานุกรม
รัฐ (State)
รูปของรัฐบาล (Forms of Government)
1. รัฐสภาแบบรัฐสภา (Partiamentary Government or Cabinet Government)
รัฐบาลแบบรัฐสภานี้มีประเทศอังกฤษเป็นแม่บท และรัฐบาลแบบนี้จะไม่มีการแยกการใช้อำนาจอธิปไตยออกจากกันโดยเด็ดขาด แต่จะเป็นการรวมอำนาจในลักษณะที่เป็นหน่วยอำนาจคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการต่างก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหน่วยอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและหน่วยอำนาจฝ่ายบริหารจะเป็นไปในลักษณะถ่วงดุลอำนาจกันและกันคือ จะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจอิสระ ฉะนั้นต่างฝ่ายต่างต้องระมัดระวังซึ่งกันและกัน เพราะต่างฝ่ายก็ถือว่าปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นหลักด้วยกันทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งรัฐบาลแบบรัฐสภานี้ได้กำหนดให้หน่วยอำนาจใดหน่วยอำนาจเดียวมีอำนาจสูงสุด ดังเช่นรูปแบบรัฐบาลของประเทศอังกฤษถือว่าสภาของอังกฤษนั้นมีอำนาจสูงสุดที่จะกระทำการใด ๆ ก็ได้ภายในขอบเขตประเทศของตน จึงมีคำกล่าวว่า รัฐสภาของอังกฤษมีอำนาจ ที่จะกระทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่การเปลี่ยนผู้ชายให้เป็นผู้หญิงหรือการเปลี่ยนผู้หญิงให้เป็นผู้ชายเท่านั้น ส่วนลักษณะรูปแบบรัฐบาลรัฐสภาที่สำคัญ คือ
1. ประชาชนผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะเลือกตั้งผู้แทนในเขตของตนเข้าไปนั่งในสภาอันเป็นสภานิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมายมาใช้บังคับในประเทศ
2. สมาชิกรัฐสภา (ผลจากการเลือกตั้งในข้อที่ 1) จะตกลงกันเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ทำหน้าที่บริหารประเทศซึ่งนายกรัฐมนตรีก็จะทำการเลือกคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งขึ้นเป็
คณะรัฐมนตรีประกอบเป็นคณะรัฐบาล ในทางปฏิบัติพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก (Majority Party) คือพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด จะเป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรีจากสมาชิกในพรรคตน โดยการให้หัวหน้าพรรคดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนในกรณีที่ไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงข้างมากในสภาอย่างเด็ดขาด พรรคการเมืองที่มีสมาชิกพรรคได้รับเลือกเป็นจำนวนมากตั้งแต่สองพรรคขึ้นไป ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะมีเสียงในสภาเป็นเสียงข้างมากหรือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาจตกลงกันจัดตั้งรัฐบาลขึ้นก็ได้ วิธีการนี้นายกรัฐมนตรีและตำแหน่งรัฐมนตรีต่าง ๆ จะ ถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองที่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล นโยบายในการบริหารประเทศอาจจะผสมผสานกันระหว่างนโยบายของแต่ละพรรคที่ร่วมรัฐบาล
3. ตุลาการ
ซึ่งศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการโดยอิสระปราศจากการแทรกแซงของผ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
แต่จะพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกมาทุกประการ
ซึ่งศาลไม่มีอำนาจที่จะตีความว่ากฎหมายได้ขัดกับรัฐธรรมนูญ
เรื่องของศาลเป็นเรื่องของคณะผู้พิพากษาโดยเฉพาะการโยกย้ายแต่งตั้งและถอดถอนผู้พิพากษาเป็นอำนาจของคณะกรรมการตุลาการหรือสภาตุลาการ
ส่วนลักษณะของรัฐบาลอีกทัศนะหนึ่ง คือ
1. รัฐบาล (หมายถึง รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล) ไม่มีการแยกอำนาจจากกันเด็ดขาดเกี่ยวกับการรับผิดชอบในสาระสำคัญของการบริหารประเทศ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักการเชื่อมอำนาจ (Fustion of Power) อันถือว่าเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดของการจัดการปกครองระบบนี้ กล่าวคือ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีผู้เป็นฝ่ายบริหาร จะมาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภา ส่วนพรรคที่มีเสียงข้างน้อยก็จะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านในสภา เพื่อมิให้พรรคฝ่ายเสียงข้างมากหรือฝ่ายรัฐบาลลืมตัวใช้อำนาจการบริหารเกินขอบเขตละเลยความสำคัญแห่งเจตนารมณ์ของประชาชนในประเทศ
2. รัฐบาลแบบรัฐสภานี้ถือว่า สภามีอำนาจสูงสุด เนื่องจากสมาชิกของสภาได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน ตัวอย่างสภาของประเทศอังกฤษมีอำนาจมาก จนมีคำกล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษมีอำนาจที่จะกระทำการได้ทุกอย่างเว้นแต่การเปลี่ยนผู้ชายให้เป็นผู้หญิงหรือการเปลี่ยนผู้หญิงให้เป็นผู้ชายเท่านั้น
3. ฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อฝ่ายนิติบัญญัติ นั้นหมายความว่า เมื่อฝ่ายบริหารได้บริหารประเทศผิดพลาดทำความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ และเมื่อมีการลงมติไม่ไว้วางใจหลังจากที่ได้อภิปรายกันอย่างเต็มที่แล้ว เกิดฝ่ายนิติบัญญัติได้รับสนับสนุนด้วยเสียงข้างมาก ฝ่ายบริหารก็จะต้องลาออก หรือในบางครั้งฝ่ายบริหารอาจจะได้รับชัยชนะในการลงมติ แต่ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วเรื่องนั้นเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวมของประเทศ ตามมารยาททางการเมืองฝ่ายบริหารก็สามารถจะลาออกได้ ฉะนั้นอายุของฝ่ายบริหารจึงไม่แน่นอน จึงต้องระมัดระวังในการบริหารประเทศ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าฝ่ายบริหารไม่ได้ทำงานโดยอิสระเด็ดขาด ในทางตรงกันข้ามฝ่ายบริหารก็มีบทบาทในการควบคุมฝ่ายค้านมิให้ทำการ ใด ๆ นอกลู่นอกทางอันจะทำความเสียหายแก่ประเทศชาติ ฝ่ายบริหารก็มีอำนาจยุบสภาได้ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ด้วยเหตุฝ่ายค้านหรือฝ่ายนิติบัญญัติต้องระมัดระวังเช่นเดียวกันในการทำงานในสภา ฉะนั้นสมาชิกรัฐสภาจึงไม่แน่ว่าตนจะอยู่ครบวาระสภาหรือไม่ อาจจะพ้นตำแหน่งก่อนครบวาระในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยการยุบสภาของฝ่ายบริหารก็เป็นได้
4. ศาล เป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการโดยอิสระ และปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร แต่ต้องพิพากษาอรรถคดีตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกทุกประการ ไม่มีอำนาจตีความว่ากฎหมายใดขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่องของศาลเป็นเรื่องของคณะผู้พิพากษาโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้การโยกย้ายหรือการแต่งตั้งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตุลาการหรือสภาตุลาการโดยเฉพาะ
5. ในทางปฏิบัติ การปกครองระบบรัฐสภานี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองในประเทศเพียง 2-3 พรรคเท่านั้น มิฉะนั้นการบริหารประเทศจะขาดอิสรภาพ รัฐบาลอาจจะล้มลุกคลุกคลานโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากรัฐบาลของไทยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งไม่เคยมีชุดรัฐบาลใดที่อยู่ครบวาระ 4 ปีตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย นี้เป็นเพราะว่าประเทศไทยมีพรรคการเมืองหลายพรรคและไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงจำเป็นที่พรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 3 พรรครวมกันจัดตั้งรัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคในเริ่มแรกอาจจะไปกันได้ดีในการประสานผลประโยชน์แต่เมื่อนาน ๆ เข้าความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์เริ่มฉายแสงและรุนแรงโดยลำดับจนในที่สุดก็เกิดการแตกแยกเป็นผลถึงคณะรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้อีกต่อไป จึงแ ก้ไขโดยการลาออกบ้าง ปรับปรุงคณะรัฐมนตรีบ้าง และยุบสภาบ้าง ในขณะเดียวกันประเทศที่มีพรรคการเมืองน้อยพรรคไม่เกิดปัญหาเหมือนกับประเทศไทย เช่น ประเทศอังกฤษรัฐบาลของประเทศอังกฤษสามารถบริหารประเทศได้โดยราบรื่นจนครบวาระที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะประเทศอังกฤษมีรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว
ข้อสังเกตที่สำคัญบางประการเกี่ยวกับรัฐบาลแบบรัฐสภา คือ
1.ประมุขของรัฐ ประมุขของรัฐที่มีรัฐบาลแบบรัฐสภาอาจเป็นกษัตริย์ เช่น ประเทศอังกฤษและประเทศไทย หรือเป็นประธานาธิบดี เช่น ประเทศอินเดีย ประมุขของรัฐในรูปแบบรัฐบาลรัฐสภานี้ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง มีฐานะหรือบทบาทในทางพิธีการหรือเพียงเป็นเจ้าพิธีเท่านั้น เช่น พิธีเปิดสภาหรือพิธีปิดสภา และประมุขของรัฐมีฐานะเป็นตัวแทนของประชาชาติ เป็นผู้ลงนามประกาศใช้กฎหมาย แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและบรรดารัฐมนตรี รวมตลอดถึงลงนามตามรูปแบบพิธีเท่านั้น การที่ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองนี้ก็เพราะความรับผิดชอบเหล่านี้ก็ตกเป็นภาระของคณะรัฐมนตรี เพื่อที่จะให้ประมุขของรัฐพ้นจากความรับผิดชอบทางการเมืองจึงมีหลักว่า ประมุขของรัฐจะทำอะไรตามลำพังมิได้ กิจการต่าง ๆ ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรและทำในนามประมุขของรัฐต้องมีรัฐมนตรีลงนามกำกับหรือที่เรียกกันในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขว่า ลงนามสนองพระบรมราชโองการ
2.คณะรัฐมนตรี คือ องค์กรฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารรัฐอย่างแท้จริง คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรที่ประกอบด้วยคณะบุคคลที่พิจารณาและตัดสินใจร่วมกัน คณะรัฐมนตรีมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะหรือที่เรียกว่าหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในทางการเมืองร่วมกัน อีกประการหนึ่งคณะรัฐมนตรีจะเข้าบริหารประเทศได้จะต้องได้รับความไว้วางใจจากสภา เมื่อใดสภาไม่ไว้วางใจในการบริหาร คณะรัฐมนตรีจะต้องออกหรือลาออกจากตำแหน่ง
3. รัฐสภา รัฐสภาตามรัฐบาลแบบรัฐสภาอาจมีสภาเดียวหรือสองสภาก็ได้ หน้าที่ของรัฐสภานอกจากทำหน้าที่นิติบัญญัติแล้ว หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารกิจการของประเทศดังกล่าวข้างต้นและเพื่อให้เป็นไปตามหลักที่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารก้ำกึ่งกัน (Check and Balance) รัฐธรรมนูญของประเทศที่มีรัฐบาลแบบรัฐสภาจะกำหนดให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ที่จะยุบสภาได้ด้วย อำนาจในการยุบสภาของฝ่ายบริหารนั้นนับว่าเป็นเครื่องมือจำเป็นของฝ่ายบริหารในการตอบโต้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมีอำนาจถอดถอนรัฐบาลด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นวิธีการถ่วงดุลอิทธิพลของรัฐสภาที่มีอยู่เหนือคณะรัฐมนตรี และการยุบสภาของฝ่ายบริหารก็เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่นี้ เป็นการให้ประชาชนซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ชี้ขาดข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่าย นิติบัญญัติ ถ้าประชาชนเห็นว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่ถูกต้องประชาชนก็จะเลือกเอาฝ่ายนั้นเป็นตัวแทนเข้าสู่สภาและจัดตั้งรัฐบาลได้ วิธีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่นี้ถือว่าเป็นหลักการที่สำคัญของรัฐบาลแบบรัฐสภา
- รัฐสภาแบบรัฐสภา
- รัฐสภาแบบประธานาธิบดี
- รัฐสภาแบบกึ่งสภาและกึ่งประธานาธิบดี
องค์ประกอบของรัฐ
การกำเนิดรัฐ (Origin of State)
การรับรองรัฐ (Recognition)
รูปของรัฐ (Forms of The State)
รูปของรัฐบาล (Forms of Government)
หน้าที่ของรัฐ (Functions of The State)