สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
การตรวจร่างกาย
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี
ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี (Hepatitis B Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในผู้ที่มีอายุไม่มาก
ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 90 ไม่มีอาการเหลืองชัดเจน
ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ
หรือเคยมีการติดเชื้อมาก่อน
วิธีการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ที่สำคัญ คือ การตรวจหา Hepatitis
B surface Antigen (HBsAg) ในเลือด ซึ่งเป็นแอนติเจน
(ตัวกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกาย) อยู่ที่ผิวของเชื้อไวรัส
ในผู้ที่ตรวจเลือด พบว่า มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี ในเลือด (HBsAg Positive)
เพียงครั้งเดียว หรือตรวจพบเป็นครั้งแรก อาจจะเป็นผู้ที่เพิ่งได้รับเชื้อมาใหม่ๆ
ซึ่งอาจจะหาย และตรวจไม่พบเชื้อในเวลาต่อมา เพราะฉะนั้นถ้าตรวจพบเชื้อไวรัสในเลือด
ให้ตรวจเลือดติดตามดูอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ถ้าหลังจาก 6 เดือน
นับจากตรวจพบเชื้อครั้งแรกแล้ว ยังคงตรวจพบเชื้อในเลือดอยู่อีก จึงจะถือว่า
ผู้ป่วยรายนี้อยู่ในกลุ่มที่เป็นพาหะเรื้อรังของไวรัสตับอักเสบชนิด บี
และส่วนใหญ่จะพบเชื้อในเลือดตลอดไป
การตรวจทรวงอกด้วยเอ็กซเรย์
การตรวจปัสสาวะ
การตรวจอุจจาระ
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจน้ำตาลในเลือด
การตรวจสมรรถภาพทางไต
การตรวจไขมันในเลือด
การตรวจสมรรถภาพของตับ
การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก
การตรวจมะเร็งปากมดลูก
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้
การตรวจหมู่เลือด
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี
การตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี
การตรวจ Anti-HBc
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การวัดความดันตา
การตรวจจอประสาทหรือจอภาพตา