วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
แหล่งที่มาของเซลล์ต้นกำเนิด
ปัญหาเรื่องการจัดการเซลล์สืบพันธุ์ ตัวอ่อน และเซลล์ต้นกำเนิด
ตัวอย่างนโยบายของประเทศต่างๆ
ความเคลื่อนไหวและการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
สถานการณ์ทางด้านกฎหมายในประเทศ
ตัวอย่างนโยบายของประเทศต่างๆ
แนวทางขององค์การสหประชาชาติ และ UNESCO
องค์การสหประชาชาติ
ได้ยกร่างร่างปฎิญญาสหประชาชาติว่าด้วยการโคลนนิ่งมนุษย์
และเสนอให้ประเทศสมาชิกพิจารณา โดยในระหว่างจัดทำร่างข้อถกเถียงสำคัญคือ
การยอมรับการทำสำเนามนุษย์ โดยหลายประเทศ
ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดการเรื่องการทำสำเนามนุษย์เพื่อการรักษา
ซึ่งจุดยืนของประเทศไทยก็เป็นในกลุ่มหลังนี้ อย่างไรก็ดี ปฏิญญานี้
ผ่านการเห็นชอบจากประเทศสมาชิกแล้ว
สำหรับองค์การ UNESCO ได้จัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมชีวการแพทย์
(International Bioethics Committee IBC) ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1994
ให้มีหน้าที่พิจารณาประเด็นและแง่มุมทางจริยธรรมของการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
รวมถึงการใช้ประโยชน์ด้านชีววิทยาการแพทย์ เพื่อเป็นแนวทางร่วมกันระหว่างประเทศต่าง
ๆ ให้การพิจารณาและหาข้อสรุป ซึ่ง IBC
ก็ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อหาข้อสรุปทางด้านจริยธรรมที่พึงกระทำเกี่ยวกับการวิจัยในด้านต่าง
ๆ รวมทั้งด้านเซลล์ต้นกำเนิดด้วย ซึ่งคณะทำงานฯ
ได้พิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้ตัวอ่อนมนุษย์เป็นแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับการศึกษาวิจัย
(รวมทั้งการใช้ประโยชน์ต่อไปเมื่อการวิจัยได้รับผลสำเร็จ)
รายงานของคณะทำงานชุดนี้มีข้อเสนอหลายประการ แต่สุดท้ายก็มิได้ระบุว่า
คณะทำงานเห็นว่าการวิจัยโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในทางจริยธรรมหรือไม่
ใจความสำคัญของรายงานมีว่า
การวิจัยสเต็มเซลล์ที่มาจากตัวอ่อนเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ
แต่การดำเนินการของแต่ละประเทศให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสังคมในประเทศนั้น ๆ
และแต่ละประเทศควรถกเถียงกันอย่างกว้างขวางและเปิดเผยในประเด็นนี้
ที่สำคัญควรจะระบุให้ชัดเจนถึงฐานะของตัวอ่อน (moral standing of the embryo)
ในบริบทของแต่ละประเทศ โดยรัฐจำเป็นต้องออกกฎเกณฑ์และมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด
ออสเตรเลีย
ในทางกฎหมาย ออสเตรเลียมีกฎหมายว่าด้วย Gene Technology Act 2000
บังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม 2001 และกฎหมายเฉพาะ The Prohibition of Human Cloning Act
2002 ห้ามทำสำเนามนุษย์ในทุกกรณี
ในขณะเดียวกันในแง่การวิจัย
ประเทศออสเตรเลียให้การสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ใช้ตัวอ่อนจากเทคโนโลยีการผสมเทียม
(IVF) มาใช้ในการศึกษาทดลองได้ (โดยคำนึงถึงจริยธรรม) รวมไปถึงนักวิจัยสามารถนำเข้า
embryonic stem cells จากต่างประเทศได้ และได้สนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์วิจัย The
Australian Stem Cell Centre
ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยในหน่วยงานภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม
รวมทั้งความร่วมมือกับบริษัทเอกชนจากประเทศสหรัฐอเมริกา (LifeCell Inc.)
เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย โดยในปี 2002-2003 ได้รับงบประมาณถึง
43.5 ล้านเหรียญ (สหรัฐ) จากรัฐบาลกลาง และจากรัฐวิคตอเรียสมทบอีก 11.375
ล้านเหรียญ (สหรัฐ)
สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักร
เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นอย่างมาก ในปี
1990 ได้ออกกฎหมาย Human Fertilisation and Embryology Act
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมีข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการตัวอ่อนและเซลล์สืบพันธุ์
เช่น เงื่อนไขการเก็บรักษา โดยกำหนดให้เก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์ ไม่เกิน 10 ปี
เก็บรักษาตัวอ่อนไม่เกิน 5 ปี และอนุญาตให้นักวิจัยใช้ตัวอ่อนที่มีอายุไม่เกิน 14
วันไปใช้ในการวิจัย (รวมทั้งเซลล์ต้นกำเนิด) ได้
รวมไปถึงนักวิจัยสามารถสร้างหรือนำเข้าตัวอ่อนขึ้นเพื่อใช้ทำวิจัยก็สามารถทำได้
โดยมีหน่วยงานอิสระขึ้นทำหน้าที่ดูแลเรื่องดังกล่าว
ต่อมาในปี 2001 สหราชอาณาจักรได้ออกกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นอีก 1 ฉบับ คือ
Human Reproductive Cloning Act ห้ามนักวิจัยทำสำเนามนุษย์เพื่อการเจริญพันธุ์
(Reproductive Cloning) มีโทษทางอาญา
แต่ไม่ห้ามการทำสำเนามนุษย์เพื่อนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้เพื่อการรักษา
ญี่ปุ่น
รัฐสภาญี่ปุ่นผ่านกฎหมาย Law Concerning Regulation Relating to Human
Cloning Techniques and other Similar Techniques เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2000
และมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน 2001 ห้ามการใช้เทคโนโลยีทำสำเนามนุษย์
แต่ไม่ห้ามการใช้ตัวอ่อนที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ที่อายุไม่เกิน
14 วัน เพื่อนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้เพื่อการวิจัย
ในเดือนกรกฎาคม 2004 คณะกรรมการชีวจริยธรรมของสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้มีอนุญาตให้นักวิจัยสามารถสร้างและทำสำเนาตัวอ่อนขึ้นเพื่อใช้ในการวิจัยได้ภายใต้เงื่อนไขและระบบตรวจสอบที่เคร่งครัด
ซึ่งขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข
ของญี่ปุ่นกำลังเร่งทำแนวปฏิบัติในเรื่องนี้อยู่
เกาหลีใต้
ห้ามทำสำเนามนุษย์ไม่ว่ากรณีใดๆ ผู้กระทำการจะได้รับโทษจำคุก
การทำลายตัวอ่อนเพื่อนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้เพื่อการรักษา
อนุญาตให้ทำสำเนามนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการรักษาและทำวิจัย
ซึ่งทำให้เกาหลีใต้พัฒนาวิชาการและการวิจัยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
โดยสามารถทำสำเนาตัวอ่อนของมนุษย์ได้สำเร็จในปี 2547
และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานักวิจัยชาวเกาหลีได้ประกาศว่าสามารถทำสำเนาตัวอ่อนผู้ป่วยและนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ประสบผลสำเร็จแล้ว
เบลเยี่ยม
ออกกฎหมายในเดือนพฤษภาคม 2003 (The Law Concerning Research on Embryos
in Vitro) ห้ามทำสำเนามนุษย์เพื่อการเจริญพันธุ์โดยเด็ดขาด
แต่สามารถใช้ตัวอ่อนอายุไม่เกิน 14 วัน มาศึกษาวิจัยได้
ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียมขณะนี้สามารถทำการทดลองจนกระทั่งเกิดทางเลือกใหม่
สำหรับการสร้างเซลล์ต้นกำเนิด
โดยนักวิจัยสามารถทดลองนำไข่ที่ไม่สุกมาใช้ผลิตเซลล์ต้นกำเนิดในห้องทดลองได้ประสบความสำเร็จ
สหรัฐอเมริกา
ในสมัยของรัฐบาลประธานาธิบดีบุช ได้ประกาศอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 9
สิงหาคม 2001 ห้ามใช้งบประมาณของรัฐบาลกลางมาสนับสนุนการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด
เนื่องจากมีการทำลายตัวอ่อน
รวมไปถึงห้ามการนำตัวอ่อนที่เหลือใช้จากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มาใช้ในการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดด้วย
และในเดือนกุมภาพันธ์ 2003 สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านกฎหมาย Human Cloning
Prohibition Act (H.R.534)
ห้ามการทำสำเนามนุษย์ในทุกกรณีไม่ว่าจะเพื่อการเจริญพันธุ์หรือเพื่อการรักษา
อย่างไรก็ดีหลายมลรัฐให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ดีนโยบายนี้ไม่รวมถึงการใช้นโยบายในส่วนของภาคเอกชนและมลรัฐต่างๆ
ซึ่งหลายรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยด้านเซลล์ต้นกำเนิดอย่างชัดเจน เช่น
มลรัฐแคลิฟอร์เนีย นิวเจอร์ซี่ เป็นต้น
เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา สภาวิจัยแห่งชาติ (National Research Council)
และสถาบันวิจัยทางการแพทย์ (Institute of Medicine of the National Academics)
ได้ออกแนวปฏิบัติการวิจัยด้านเซลล์ต้นกำเนิดขึ้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ
ได้นำไปใช้สำหรับควบคุมกำกับงานวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดให้คำนึงถึงเรื่องจริยธรรมมากขึ้น
โดยกำหนดให้มีหน่วยงานพิจารณาด้านจริยธรรมเฉพาะกิจเพิ่มเติมจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย
โดยโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ต้นกำเนิดไม่ว่าจะได้มาจากตัวอ่อนที่เหลือจากการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
ตัวอ่อนที่พัฒนาขึ้นเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ
หรือตัวอ่อนที่ได้จากการทำสำเนาเพื่อการรักษา
ต้องผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานเฉพาะกิจนี้