ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
อุทิศ สังขรัตน์
ท้องถิ่นภาคใต้ : อาณานิคมแห่งรัฐ และตัวตนของท้องถิ่น
พื้นที่ความทรงจำ : ภาพประกอบสร้าง กับ ศูนย์กลางที่เปลี่ยนไป
พื้นที่ความทรงจำ : ปฏิบัติการทางสังคม
จาก “พื้นที่ความทรงจำ” สู่ “พื้นที่และชุมชนประวัติศาสตร์”
พื้นที่อันเป็นปริมณฑลของความศักดิ์สิทธิ์
พื้นที่อันเกิดจากปรากฏการณ์ทางสังคม
พื้นที่อันเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ
พื้นที่อันเป็นวิถีวัฒนธรรมชุมชน
บทสรุป
เอกสารอ้างอิง
พื้นที่อันเป็นวิถีวัฒนธรรมชุมชน
พื้นที่อันเป็นวิถีวัฒนธรรมชุมชน เป็นพื้นที่ปกติของสังคม
พื้นที่ความทรงจำประเภทนี้เป็นพื้นที่ของวิถีในการดำเนินชีวิตภายใต้วัฒนธรรมชุมชนที่แตกต่างกันตามพื้นที่
สิ่งที่น่าสนใจจากพื้นที่ความทรงจำของชุมชนในประเด็นนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่กิจกรรมการดำเนินชีวิตอันสอดรับกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเฉพาะที่ซึ่งรวมไปถึงศิลปะ
การละเล่น เศรษฐกิจ ฯลฯ ซึ่งพื้นที่วิถีวัฒนธรรมแม้จะมีแกน
หรือขนบที่มาแบบเดียวกันตามโครงสร้างของสังคมวัฒนธรรมไทย
แต่ชุมชนแต่ละพื้นที่ได้คลี่คลาย/ปรับเปลี่ยน
และการสร้างพื้นที่ประวัติศาสตร์จากพื้นที่ความทรงจำขึ้นมาเฉพาะอันแสดงให้เห็นถึงความเป็นท้องถิ่นภาคใต้
ซึ่งมีแกนอยู่ที่การเปรียบเทียบกิจกรรม/วิถีชีวิตระหว่าง “อดีต” กับ “ปัจจุบัน”
แม้นัยหนึ่งอาจตีความหมายไปถึงการ “โหยหาอดีต”
(nostalgia)ซึ่งเป็นประสบการณ์ร่วมของชุมชน ที่ถูกสร้างและกำหนดโดยสังคมหรือชุมชน
นำไปสู่การเรียกร้องให้กลับไปหาระเบียบแบบแผน ความปรารถนาในเอกภาพ เอกลักษณ์
ความมั่นคง ความสงบสุข และองค์รวมในอดีต
ในขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงปัจจุบันสิ่งดังกล่าวได้ถูกสลายสั่นคลอนชุมชนไปทั้งระบบ
การนำภาพอดีตทางวัฒนธรรมของชุมชนมาเล่าใหม่
เพื่อให้เห็นความเป็นอยู่ของชุมชนในอดีตแบบคลาสสิค (classics) คือ “เรียบง่าย
สามัคคี สงบสุข” ซึ่งแตกต่างจากวิถีวัฒนธรรมอุตสาหกรรม (culture industry way)
ในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมเพื่อการค้า
ดังนั้นการเขียนประวัติศาสตร์ชุมชนแบบคลาสสิค
จึงมีให้พบเห็นทั่วไปในวิถีวัฒนธรรมชุมชน ดังความว่า
...จากคำบอกเล่าทราบว่าวัดพระเจดีย์งามยังเป็นศูนย์รวมด้านความสามัคคี
การเสียสละของชาวบ้านในชุมชนโดยเฉพาะกิจกรรมต่างๆของวัด ชาวบ้านได้เสียสละเวลา,
สละกำลังกายและกำลังทรัพย์มาร่วมจนงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกครั้ง
โดยใช้การตีโพนประชุม
ชาวบ้านเมื่อได้ยินเสียงโพนดังขึ้นเมื่อไรก็จะมาประชุมพร้อมกัน
เช่นการบูรณะซ่อมแซมวัดครั้งใหญ่สมัยพระครูเผือก คนฺธโร เป็นเจ้าอาวาส
ชาวบ้านได้สละเวลาจากงานประจำของตนเองมาร่วมกันขนทรายจากทะเล ระยะทางประมาณ 1
กิโลเมตร มาซ่อมแซมวัดโดยไม่ต้องเสียค่าจ้างในการซ่อมแซม
ใช้แรงงานคนในหมู่บ้านทั้งหมด วัดจึงเป็นสถานที่ปลูกฝังความรัก ความสามัคคี
และการเสียสละให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชน...(คณะยุววิจัยฯ โรงเรียนวัดเจดีย์งาม
“วัดพระเจดีย์งาม : ศูนย์กลางชุมชนจากอดีตถึงปัจจุบัน”)
พื้นที่ในวิถีวัฒนธรรมของชุมชนเมื่ออดีต
นอกจากจะให้ภาพความงดงามดังจินตนาการแล้ว มโนทัศน์เรื่อง “เอกภาพ”
ของชุมชนเป็นประเด็นหนึ่งที่เราสามารถพบเห็นได้ในงานของทีมยุววิจัยฯ
ทั้งนี้เพราะเอกภาพเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบสร้างให้พื้นที่ชุมชนในอดีตให้สามารถแสดงอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น
อันนำไปสู่การสร้างพื้นที่ชุมชนประวัติศาสตร์ภาคใต้ที่มิได้มองพื้นที่ประวัติศาสตร์ในลักษณะการเปลี่ยนแปลงชุมชนแบบเหมารวม
(massive homogeneity) แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ร่วมกันประกอบสร้างความเป็นชุมชน
นอกจากนี้ปริมณฑลพื้นที่ในวิถีวัฒนธรรมอดีตส่วนใหญ่มักจะมีความสัมพันธ์กับสายน้ำ
ทั้งนี้เพราะชุมชนอดีตมักจะตั้งอยู่ริมน้ำ น้ำคือเส้นทางคมนาคมหลัก
และในวิถีที่สัมพันธ์กับสายน้ำนี่เองก่อให้เกิด
“ชุดวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสายน้ำ”
ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นชุดที่สามารถสะท้อนให้เห็นภาพความเคลื่อนไหว (movement)
ของชุมชน อันนำไปสู่การตีความ เพื่อตอกย้ำความเป็น “อดีต/เก่าแก่/โบราณ”
ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้าง
และยืนยันถึงความเป็นพื้นที่ชุมชนประวัติศาสตร์ในตัวของมันเองโดยมิต้องอธิบายเพิ่มเติม
ชุดวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสายน้ำดังกล่าวสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในงานของคณะยุววิจัยฯ
ซึ่งให้ความหมายความเป็นชุมชนอดีตจากความเป็น “ชุมชนเมืองท่า” “จุดรวมสินค้า”
“ตลาดริมน้ำ” “จุดนัดพบของคนต่างวัฒนธรรม” “เกิดประเพณีเกี่ยวกับสายน้ำ” ฯลฯ
ดังเช่นงานวิจัยดังต่อไปนี้
...ด้วยความที่ชุมชนคลองแดนอยู่ระหว่างเขตแดนของทั้ง 2 จังหวัด
ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่าง 2 จังหวัด มีผู้คนมาแวะพักมากมาย การค้า การขาย
เรียกว่าเจริญรุ่งเรืองมากทีเดียว มีร้านค้า บ้านเรือนต่างๆเต็มทั้งสองฟากคลอง
จะเรียกว่า เป็นเมืองท่าแห่งการค้าก็ไม่ปาน ร้านค้าในคลองแดนมีตั้งแต่ ร้านขายของชำ
ร้านน้ำชา – กาแฟ ร้านทอง ร้านเสื้อผ้า ร้านขายยาแผนโบราณ(ปัจจุบันยังดำเนินกิจการ)
ร้านวัสดุก่อสร้าง ร้านถ่ายรูป ร้านขายเครื่องสำอาง ร้านตัดผม ร้านขายข้าวแกง
โรงเตี๊ยม โรงสีข้าว โรงไฟฟ้า และร้านอื่นๆอีกมากมาย เรียกว่า
ในยุคนั้นชุมชนคลองแดนไม่มีคำว่ากลางวันหรือกลางคืน...
(ทีมยุววิจัยฯโรงเรียนระโนด“ย้อนรอย 100 ปีชุมชนมะขามเฒ่า”)
หรือ
มีพื้นที่ส่วนที่เรียกว่า “บ้านกะลาเสน้อย”
ซึ่งในอดีตชุมชนบริเวณนี้เป็นชุมชนใหญ่
เนื่องจากเป็นชุมชนที่ขยายตัวขึ้นจากการมีท่าเรือที่ใช้สำหรับติดต่อค้าขาย เรียกว่า
“ท่าเรือกะลาเสนุ้ย” ท่าเรือกะลาเสนุ้ยเป็นท่าเรือที่สำคัญของท้องถิ่น
มีชาวบ้านจากหลายหมู่บ้าน หลายตำบล และหลายจังหวัด
เดินทางมาแลกเปลี่ยนชื้อขายผลผลิต โดยใช้เรือเป็นพาหนะเดินทาง
และไม่เพียงเป็นท่าเรือในท้องถิ่นเท่านั้นแต่กะลาเสนุ้ยยังเป็นเหมือนท่าเรือนานาชาติด้วย
เพราะมีหลายชาตินำเรือบรรทุกสินค้าเข้ามาค้าขาย ณ ท่าเรือแห่งนี้
และซื้อสินค้าจากท้องถิ่นใส่เรือกลับไปขายยังที่อื่นหรือยังประเทศชาติของตน
(ทีมยุววิจัยฯโรงเรียนกมลศรี “ท่าเรือกะลาเสนุ้ยในอดีต : ชุมทางชีวิตของชาวกะลาเส”)
วิถีวัฒนธรรม เป็นวิถีที่สอดรับกับการสร้างอัตลักษณ์ให้กับชุมชน
ดังนั้นขนบประเพณีที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตจึงมักถูกนำประกอบสร้างลักษณะเฉพาะตัวให้เกิดขึ้นกับชุมชน
โดยใช้ “สัญญะ” บางอย่างของชุมชนมาร่วมประกอบสร้างให้เกิดเป็น “ศูนย์รวม”
และแสดงอัตลักษณ์ของชุมชนไปพร้อมๆ กัน เช่น
“ปี พ.ศ. 2414 ราษฎรบ้านโคกมะขามเฒ่า ซึ่งนับพุทธศาสนา
ได้พร้อมใจกันจัดตั้งวัดขึ้นโดยให้ต้นมะขามอยู่กลางวัด เป็นสัญลักษณ์ เรียกชื่อว่า
“วัดมะขามเฒ่า”
และใช้วัดมะขามเฒ่าเป็นศูนย์กลางในการพำเพ็ญกุศลเกี่ยวกับศาสนพิธีทุกอย่างจนตราบกระทั่งถึงปัจจุบัน”
(ทีมยุววิจัยฯโรงเรียนระโนด “ย้อนรอย 100 ชุมชนมะขามเฒ่า”)
การใช้ “สัญญะ” เป็นตัวสื่อความหมาย และสะท้อนภาพวิถีวัฒนธรรมชุมชนอดีต
ถือเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่พบว่าในความเป็นชุมชนนั้น ชุมชนจะต้องสร้าง
“ศูนย์กลาง” อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาพร้อมๆ กับวิวัฒนาการของชุมชน
เพราะศูนย์กลางดังกล่าวนี้มีสื่อนัยทางวัฒนธรรมบางประการที่เป็น
“ห่วงร้อย/เชื่อมต่อ” ความเป็นชุมชนระหว่างเก่ากับใหม่ ขณะเดียวกัน “ศูนย์กลาง”
ดังกล่าวนี้พร้อมที่จะคลี่คลาย/เปลี่ยนแปลง แล้วมีศูนย์กลางแบบใหม่เข้ามาทดแทน
การให้ความหมายของศูนย์กลางดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท
แม้ศูนย์กลางของชุมชนจะเป็น “วัตถุ” หรือ “ไม่ใช่วัตถุ” ก็ตาม
การสร้างศูนย์กลางเป็น “สัญญะ” ในงานของทีมยุววิจัยฯ เช่น
ในชุมชนบ้านท่าคุระ ในอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ได้ใช้ “แม่อยู่หัว”
(พระพุทธรูปโบราณ) เป็นสัญญะของชุมชนท่าคุระ ประเพณีสรงน้ำแม่อยู่หัว
ถือเป็นการสร้างอัตลักษณ์ชุมชนในวิถีวัฒนธรรมที่ดำรงมาอย่างสืบเนื่อง
ขณะที่ชุมชนสุนทรา ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ยืนยันถึงการใช้ “ลิเกป่า”
ที่แสดงมาแต่อดีต เป็นสื่อความหมายของชุมชน ชุมชนบ้านปากบาง อำละงู จังหวัดสตูล ใช้
“รองแง็ง”
การละเล่นที่ตราตรึงในความทรงจำของชุมชนมาสร้างภาพความเป็นชุมชนผ่าวิถีวัฒนธรรมการละเล่น
เช่นเดียวกับชาวบ้าน ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ใช้ศิลปะพื้นบ้าน “ดาระ”
มาสื่อความหมายวิถีวัฒนธรรมชุมชนอดีต เป็นต้น
ดังนั้น การสร้างพื้นที่ชุมชนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้
โดยใช้พื้นที่อันเป็นวิถีวัฒนธรรมชุมชนมาสะท้อนอดีต
โดยใช้สัญญะบางประการมาสร้างให้เกิด “ศูนย์รวม” นัยหนึ่งเพื่อสร้างอัตลักษณ์ชุมชน
และอีกนัยหนึ่งเพื่อชี้ให้เห็นความเก่าแก่ หรืออดีตกาล
ขณะเดียวกันในงานศึกษาเหล่านี้ก็พยายามชี้ให้เห็นในเชิงเปรียบเทียบระหว่าง “อดีต”
กับ “ปัจจุบัน” และสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญก็คือ
การเปลี่ยนแปลงเส้นทางคมนาคม
ดังกรณีการเปลี่ยนแปลงวิถีชุมชนริมน้ำไปสู่วิถีชุมชนริมถนน การเปลี่ยนแปลง ”แกน”
ของวัฒนธรรมประเพณีชุมชนแบบดั้งเดิมไปสู่วัฒนธรรมอุตสาหกรรม เป็นต้น